ตอนที่ 11. ขอโอกาสแก้ตัว

“เจ้าทำลงไปได้อย่างไรจิวซือ!! ตอบข้ามาสิ!” ไต้เว่ยตะคอกหยูจิว ซือเสียงดัง เขาแทบจะพุ่งเข้าไปกระชากร่างนางมาเขย่าอยู่แล้วหากไม่ติดว่าผู้เป็นมารดามาห้ามเอาไว้เสียก่อน

“นางกำลังท้องบุตรของเจ้าอยู่นะ ใจเย็น ๆ ลงเสียหน่อยเถิด”

“ว่านอี้เองก็ท้องบุตรของข้านะขอรับท่านแม่! แต่นางก็ยังจะเสี้ยมสอนโหมไฟให้ข้านั้นขับไล่ว่านอี้ออกไปเผชิญความลำบากภายนอก” ไต้เว่ยทรุดกายลงนั่ง สองมือทึ้งศีรษะตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ผสมปนเป

“แม่รู้ แต่เจ้าพลาดพลั้งมาแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าก็ควรจะมีสติให้มากขึ้น จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลังเช่นนี้”

“ข้าควรจะทำอย่างไรขอรับท่านแม่ หนทางของข้าตอนนี้มันช่างมืดมิด และว่านอี้เองก็คงจะเป็นเช่นกันในตอนที่ข้าขับไล่นางออกไป”

“ท่านพี่เจ้าคะ...ฮึก ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเสี้ยมสอนอะไรจริง ๆ นะเจ้าคะ ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการให้ท่านพี่ถูกผู้คนครหา” หยูจิว ซือแสร้งทิ้งกายลงกอดขาของไต้เว่ยเอาไว้ด้วยความคาดหวังว่าเขานั้นจะเชื่อนางอีกสักครั้ง และเห็นนางดีกว่าหานว่านอี้

“เจ้าน่ะหุบปากไปเลยจิวซือ! ความน่าเชื่อถือของเจ้ามันหมดลงตั้งแต่เมื่อข้ารู้ความจริงแล้ว!”

ด้วยประโยคนี้ของไต้เว่ย ทำให้จิวซือนั้นไม่กล้าเอ่ยอะไรต่ออีก นางได้แต่เก็บงำเอาความเคียดแค้นซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าที่ดูเสียใจ ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรหานว่านอี้ก็ยังคงกวนใจนางได้ทุกครา ทั้ง ๆ ที่ถูกขับไล่ออกไปแล้วแท้ ๆ จวบจนตอนนี้นางก็ยังไม่ได้เป็นที่หนึ่งของไต้เว่ย ทำไมกัน?

“ข้าจะเดินทางตามหาว่านอี้เพื่อขอโอกาสจากนาง...” พลันจู่ ๆ ไต้เว่ยก็เอ่ยออกมา

“แต่เจ้าหย่ากับนางไปแล้ว ทั้งยังขับไล่นางออกไปเช่นนั้นเจ้าคิดดีแล้วหรือ” บิดาของไต้เว่ยเอ่ยถาม

“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ข้าคิดว่าว่านอี้จะให้อภัยข้า อีกอย่างนางเองก็คงไม่อยากจะให้ลูกของเราต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก ข้าเชื่อว่านางจะต้องยอมกลับมาแน่ ๆ” ไต้เว่ยเอ่ยด้วยความมั่นใจ

เขาจะพาตัวหานว่านอี้กลับมาให้จงได้ และดูแลนางกับลูกให้ดีที่สุด

“ส่วนเจ้าจิวซือ เตรียมใจไว้เถิด ข้ากลับมาเมื่อไหร่จะให้เจ้ากราบแทบเท้าขอโทษว่านอี้”

“ท่านพี่!” หยูจิวซือเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดข้าต้องขอโทษนางด้วยเล่าเจ้าคะ ในเมื่อหานว่านอี้นั้นถูกขับไล่ออกไปด้วยความเข้าใจผิด หากจะมีใครถูกลงโทษก็ควรจะเป็นหมอที่ตรวจอาการผิดพลาดมิใช่หรือ”

“เจ้ามองมันเป็นการลงโทษงั้นหรือ เจ้าไม่ละอายใจบ้างเลยหรืออย่างไรจิวซือ เสียแรงที่ข้าเคยคิดว่าเจ้านั้นจะมีความคิดมากกว่านี้ ทั้งกล่าวหา พูดจาว่าร้ายว่านอี้ หนำซ้ำยังเป่าหูข้าให้เข้าใจนางผิด ๆ อีก ข้าล่ะผิดหวังในตัวเจ้าจริง ๆ!”

เมื่อว่าจบไต้เว่ยก็เดินออกไปทันที เขาสั่งให้คนรับใช้เตรียมรถม้าและข้าวของจำเป็นบางส่วนมาให้ ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปยังเมืองบ้านเกิดของหานว่านอี้

ณ เมืองผาซาน

“ข้าซื้อสิ่งนี้มาให้เจ้า”

ชุยเทียนหนิงเอ่ย พร้อมกับยื่นปิ่นปักผมลวดลายงดงามให้กับหานว่านอี้ หลังจากที่ชุยเทียนหนิงได้รับคำแนะนำจากเหยียนฟงลูกศิษย์คนโปรดเวลาก็ผ่านมาได้เกือบเดือนแล้ว ด้วยหนึ่งตนเองยังไม่กล้า สองงานที่สำนักศึกษาก็ยุ่งเกินไป อาจารย์หนุ่มจึงยังไม่มีเวลาทำตามที่ลูกศิษย์แนะนำสักทีจนกระทั่งมาวันนี้ที่เขาพอมีเวลาว่างบ้างแล้ว

“งดงามมากเจ้าค่ะ ขอบคุณนะเจ้าคะ แต่ท่านไม่เห็นจะต้องสิ้นเปลืองเพื่อข้าเลย” ว่านอี้กล่าว

“ข้าเพียงแค่คิดว่ามันเหมาะสมกับเจ้าดีก็เท่านั้น...” ชุยเทียนหนิงเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเสสายตาหลบไปมองทางอื่น หูของเขาแดงขึ้นนิดหน่อยด้วยอาการขัดเขิน ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมาเขินสตรี

“ขอบคุณมาก ๆ เลยเจ้าค่ะ ข้าชอบมันมาก” หานว่านอี้ยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอ่ยขอบคุณไป

“ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าแบบจริงจังด้วย...”

สิ่งที่ได้ยินทำให้หานว่านอี้ต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย มีเรื่องจะคุยแบบจริงจังงั้นหรือ หรือว่าเขาอยากจะขับไล่นางออกไปกันนะ บางทีนางอาจจะรบกวนเขาเกินไปแล้วก็ได้...

“หากว่าท่านต้องการให้ข้าออกไป...”

“ข้ามีใจให้เจ้า!”

ทั้งคู่เอ่ยออกมาพร้อมกันพอดิบพอดีก่อนที่จะเงียบไป ฝ่ายชุยเทียนหนิงเขานั้นกลั้นใจเอ่ยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้นางเตรียมใจก่อน เพราะกลัวว่าตนเองนั้นจะถูกปฏิเสธ

ส่วนฝ่ายของหานว่านอี้ที่คิดจะบอกเขาว่าถ้าหากนางรบกวนเขามากเกินไปนางก็จะยอมออกไปอยู่ที่อื่นแต่โดยดีกลับต้องชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน

ใบหน้าหวานงดงามแดงก่ำขึ้นมาทันที นี่คือสิ่งที่นางแทบไม่เคยได้สัมผัสในชีวิตที่แล้ว ความทรงจำของนางจำได้เพียงแค่ว่าตนเองนั้นโดนสามีขอหย่าและเจ็บปวดกับความรักชนิดที่ว่าไม่คิดอยากจะมีอีก แต่ตอนนี้กลับมีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังบอกชอบนางอย่างจริงใจ

“ข้า...”

“นายหญิงเจ้าคะ”

ยังไม่ทันที่หานว่านอี้จะได้ตอบกลับอะไรชุยเทียนหนิง แม่นมจี้เหมยก็เข้ามาเรียกพอดิบพอดี

“ว่าอย่างไรหรือท่านป้าจี้” หานว่านอี้เอ่ยถาม

“มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ เห็นว่าชื่อไต้เว่ย”

“....”

“คนรู้จักเจ้าหรือ”

“เจ้าค่ะ เป็นสามีเก่าของข้าเอง” หานว่านอี้ตอบกลับไป นางไม่คิดเลยว่าจะต้องวนมาเจอกับไต้เว่ยอีก ซ้ำร้ายคนในร่างนี้ยังไม่ใช่หานว่านอี้ตัวจริง แต่เป็นวิญญาณของนางเอง อานเมิ่งเหยา แล้วนางควรจะทำหน้าอย่างไรดีล่ะ

“ให้ข้าขับไล่ให้หรือไม่” ชุยเทียนหนิงเอ่ยถาม เขารู้สึกไม่ชอบใจอีกฝ่ายเท่าไรนักที่ขับไล่หานว่านอี้ออกมาแล้วยังกลับตามมารังควาน

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวสักหน่อยจะได้หรือไม่”

“หากเจ้าต้องการเช่นนั้นล่ะก็ ข้าจะไปเชิญเขาเข้ามาเอง รออยู่ตรงนี้เถิด” ชุยเทียนหนิงว่าจบก็เดินออกไปทันที เขาเองก็อยากจะปฏิเสธคำขอของนางอยู่หรอก แต่เมื่อมันเป็นการตัดสินใจของหานว่านอี้เขาก็คงไม่มีสิทธิ์อะไรจะเข้าไปก้าวก่าย

อีกอย่าง เรื่องราวในอดีตของทั้งสองคนชุยเทียนหนิงก็ไม่ได้รับรู้ด้วย ตอนนี้สถานะของเขามันก็เพียงแค่ผู้มีพระคุณของหานว่านอี้ หึงหวงออกไปคงจะไม่ดีนัก

ฝ่ายของไต้เว่ย เขาเดินทางมาจนถึงเมืองผาซานอันเป็นบ้านเกิดของหานว่านอี้เรียบร้อยแล้วก็ไปหานางที่เรือนเก่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่เจอ พบแค่เพียงซากเรือนที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น การตามหาตัวนางจึงยากเย็นเข้าไปอีก

“ท่านรู้จักแม่นางที่ชื่อหานว่านอี้หรือไม่ขอรับ” ไต้เว่ยถามหานางจากร้านรวงขายของใกล้ ๆ

“อืมม เหมือนจะคุ้น ๆ แต่ข้านึกไม่ออก มันติดอยู่ที่ปลายปาก”

“เอ่อ...สตรีตั้งครรภ์ที่มีเรือนผมยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวนวล สูงประมาณไหล่ข้าน่ะขอรับ พอจะคุ้นบ้างหรือไม่ อายุนางราว ๆ สิบแปดปี” ไต้เว่ยพยายามอธิบายลักษณะของหานว่านอี้ให้พ่อค้าคนนั้นฟัง

“อ้อ ถ้าเป็นสตรีที่ตั้งครรภ์อายุประมาณนี้ข้าพอจะคุ้นอยู่”

“นางอยู่ที่ไหนหรือขอรับ!”

“เรือนเฉิงอี้ ตั้งอยู่ในสำนักศึกษาฝูเถา อาศัยอยู่กับอาจารย์ชื่อชุยเทียนหนิง”

“บุรุษหรือขอรับ...”

“อ้อ ใช่แล้ว เห็นว่าอาจารย์ชุยเพิ่งพานางมาอยู่ด้วยได้ไม่นาน ผู้คนฮือฮากันใหญ่เชียวล่ะ ไม่รู้ไปแอบตกแต่งฮูหยินมาตอนไหน”

“ขอบคุณมากขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ไต้เว่ยไม่รอช้ารีบเดินทางไปยังบ้านของชุยเทียนหนิงในทันที ความไม่พอใจตีรวนอยู่ในอก เพียงแค่นึกว่าหานว่านอี้กับลูกในท้องตกไปเป็นของชายอื่นก็แทบรับไม่ได้แล้ว

กล้าดีอย่างไรมาสวมรอยเป็นสามีของหานว่านอี้ ทั้งที่เพิ่งจะหย่ากับเขาได้ไม่ถึงปีก็มีใหม่เสียแล้วหรือ เขาจะต้องไปพูดคุยให้รู้เรื่องและพานางกลับไปด้วยให้ได้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ