ตอนที่ 8. ขอคำปรึกษา

“นายหญิง นายหญิงมาจากที่ใดหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยถงถงเอ่ยถามหานว่านอี้ด้วยสีหน้าอยากรู้ หลัง ๆ มานี้ถงถงติดหานว่านอี้เสียยิ่งกว่าท่านย่าผู้เลี้ยงดูตนเองมาเสียอีก เพราะความใจดีและรักเด็กของหานว่านอี้ล้วน ๆ

“เจ้าอย่าได้ถามซอกแซกถึงเรื่องส่วนตัวของนายหญิงไปถงถง มันเสียมารยาท หากอาจารย์ชุยมารู้เข้าคงได้ถูกตำหนิ”

จี้เหมยตำหนิเด็กน้อยด้วยใจที่นึกเป็นห่วงความรู้สึกของหานว่านอี้ นางรับรู้ได้ว่าสตรีที่ชุยเทียนหนิงพามาด้วยนั้นผ่านพ้นเรื่องโศกเศร้ามานับไม่ถ้วน จึงคิดว่านี่มันไม่เหมาะที่ถงถงไปถามไถ่เรื่องราวในอดีตที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจของอีกฝ่าย นางเห็นมาบ่อยครั้งที่ห่านว่านอี้มักจะลุกขึ้นมานั่งร้องไห้กลางดึก แววตาเศร้าสร้อยนั้นทำเอานางสงสารจับใจ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะเข้าไปก้าวก่าย

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านป้าจี้ ข้ายินดีจะเล่า” หานว่านอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเด็กน้อยถงถง และรอยยิ้มขอบคุณจี้เหมยในความเป็นห่วงเป็นใยนี้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของหญิงสาว ความใส่ใจของผู้คนที่นี่่ช่วยเยียวยาจิตใจของนางได้อย่างดี ทั้งถงถง จี้เหมย และชุยเทียน หนิง ทุกคนดูแลนางเหมือนเป็นคนในครอบครัวซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่นางรู้สึกขอบคุณที่สุด และชดใช้เท่าไหร่ก็คงไม่พอ

“ข้าขออภัยแทนถงถงด้วยเจ้าค่ะ นางยังเด็กนักเลยอาจล่วงเกินนายหญิงไปบ้าง”

“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ เด็ก ๆ ก็มักจะอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา มิได้มองว่ามันเป็นการล่วงเกินอันใด ให้นางถามดีแล้วเจ้าค่ะ หากสงสัยก็ต้องถามไถ่ให้รู้ความ อย่าเก็บงำความสงสัยเอาไว้แล้วทำให้ตนเองจมปลักอยู่ภายใต้ความไม่รู้” หานว่านอี้ตอบ

“มานั่งใกล้ ๆ ข้าสิถงถง แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”

“ขะ ข้าไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ จะให้ข้าไปนั่งเทียบเทียมนายหญิงได้อย่างไร” เด็กหน่อยก้มหน้างุด ไม่กล้าไปตามที่หานว่านอี้เอ่ย

“มาเถิด ข้าหาใช่นายหญิงของที่นี่ไม่ ข้าเป็นเพียงแค่ผู้อยู่อาศัย”

“พูดอย่างนั้นได้เช่นไรกันเจ้าคะ นายหญิงคือคนที่ท่านอาจารย์พามา” จี้เหมยเอ่ย หานว่านอี้มักจะถ่อมตัวอยู่เสมอจนจี้เหมยหนักใจ

“ได้สิเจ้าคะ ข้าเคารพท่านป้าจี้เหมือนป้าแท้ ๆ ส่วนถงถงเองข้าก็เอ็นดูเหมือนน้องสาว เพราะฉะนั้นอย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ มาเถิดถงถง หรือเจ้าไม่อยากฟังแล้ว” หานว่านอี้แกล้งเอ่ยกับเด็กน้อย ทำให้ถงถงนั้นต้องหันไปขอความเห็นกับจี้เหมย

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะถงถง อย่าให้นายหญิงท่านรอนาน”

“เจ้าค่ะท่านย่า” ถงถงคลานเข่าเข้าไปหาหานว่านอี้ก่อนที่นางจะจับร่างของเด็กน้อยให้มานั่งตักของตนเอง

“ขอข้ากอดเจ้าเช่นนี้สักครู่เถอะนะ แล้วข้าจะเล่าทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้ให้ฟัง” เมื่อว่าจบหานว่านอี้ก็โอบกายของเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน การได้กอดใครสักคนมันเป็นเช่นนี้นี่เอง ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านพ้นมานางไม่เคยได้กอดใครที่อบอุ่นเช่นนี้มาก่อนเลย

“ข้าขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะเจ้าคะ ยังเหลือหน้าที่อีกเยอะที่ต้องทำในวันนี้ ถงถง เจ้าดูแลนายหญิงดี ๆ เล่า”

“เจ้าค่ะท่านย่า”

หลังจากว่าจบจี้เหมยก็ชิงออกไปทำงานของตนเองทันที ส่วนหนึ่งก็เพราะนางไม่อยากจะอยู่ละลาบละล้วงเรื่องของหานว่านอี้ด้วย ถงถงยังเด็กนักฟังไปก็ไม่เป็นอะไร แต่นางแก่ชราแล้ว นางไม่อยากให้หานว่านอี้ต้องไม่สบายใจที่มีคนอื่นมารับรู้เรื่องส่วนตัวของตนเองเพิ่ม

“เจ้าอยากรู้อะไรบ้างหรือถงถง”

“นายหญิงมาจากเมืองใดเจ้าคะ” เด็กน้อยถามด้วยดวงตาใสแป๋ว

“เมืองหลวง เจ้าเคยไปหรือไม่”

“เกิดมาข้าก็อยู่ที่ผาซานมาตลอดเลยเจ้าค่ะ เมืองหลวงสวยงามหรือไม่เจ้าคะ” เด็กน้อยส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะถามต่อ

“สวยสิ ที่นั่นงดงามมากเลยล่ะ หากมีโอกาสข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวดีหรือไม่” แม้ว่าอานเมิ่งเหยาจะมาอยู่ในร่างนี้ตอนที่เดินทางออกมาจากเมืองหลวงแล้ว แต่นางก็ยังคงเหลือเศษเสี้ยวของความทรงจำจากเจ้าของร่างอยู่บ้าง ว่าที่นั่นนั้นงดงามเพียงใด

“จริงหรือเจ้าคะ สัญญากับข้านะเจ้าคะ”

“อื้ม ข้าสัญญา” หานว่านอี้ตอบพลางเกี่ยวก้อยกับเด็กน้อยเพื่อทำสัญญา แม้ว่านางจะไม่รู้ก็ตามว่าสัญญาที่ว่านั่นจะได้ทำเมื่อไหร่ แต่นางก็คิดว่าหากมีโอกาสนางจะไม่ผิดสัญญาแน่นอน

ฝ่ายชุยเทียนหนิง เขายืนมองหานว่านอี้ที่นั่งพูดคุยอยู่กับถงถงด้วยสายตาอ่อนโยน หานว่านอี้ไม่เคยแม้แต่จะดูถูกหรือดูแคลนคนที่ต่ำต้อยกว่าเลยสักนิด ซ้ำยังมีความเกรงอกเกรงใจ วางตัวดีอยู่เสมอ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ในที่นี้คงมิมีสตรีนางใดเข้าตาเขาไปมากกว่านางแล้ว

ชุยเทียนหนิง เคยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกท่านอาจารย์ใหญ่รับเป็นบุตรบุญธรรมแล้วมอบวิชาความรู้ต่าง ๆ ให้หวังเพียงให้สืบทอดตำแหน่งอาจารย์ใหญ่เมื่อตนเกษียณอายุออกไป อาจารย์หนุ่มจึงมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่หวังเพียงตอบแทนบุญคุณของบิดาบุญธรรม เขาจึงไม่เคยมีความรักแม้เพียงครั้ง ถึงแม้ว่าจะอายุใกล้สามสิบปีไปแล้วก็ตาม ทั้งที่เขาไม่ใช่คนหน้าที่ขี้เหร่แม้แต่น้อย แต่ด้วยความเย็นชาและภูมิฐานตามฐานะหน้าที่ของอาจารย์จึงไม่ค่อยมีหญิงนางใดกล้าโยนผ้าเช็ดหน้าให้

เมื่อเห็นนิสัยใจคอของหานว่านอี้มากยิ่งขึ้นจึงทำให้ชุยเทียนหนิงเริ่มที่จะวางแผนเกี้ยวนาง และเขาต้องการผู้ช่วยในการให้คำปรึกษาเรื่องนี้...

“มีเรื่องอันใดหรือขอรับท่านอาจารย์” เหยียนฟงเอ่ยกับชุยเทียน หนิง เมื่อถึงเวลากลับแล้วแต่อาจารย์ของเขายังคงรั้งตัวเอาไว้

“เจ้าเคยเกี้ยวหญิงหรือไม่” ไม่รอช้า ชุยเทียนหนิงรีบเอ่ยถามเข้าประเด็นทันที

“ถามข้าเช่นนี้่ ท่านอาจารย์มีความรักแล้วหรือขอรับ” เหยียนฟง ยิ้มกริ่ม ช่างเป็นเรื่องที่หายากยิ่งนัก ท่านอาจารย์ของเขามีความรักกับหญิงใดกันนะ

“อืม แต่นางยังไม่รู้หรอกว่าข้าชอบ”

“ได้อย่างไรกันขอรับ ท่านไม่ได้บอกนางหรือ” ลูกศิษย์คนสนิทเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ อาจารย์ของเขาอ่อนประสบการณ์เรื่องความรักหรือนี่ หากทุกคนในสำนักศึกษารู้ล่ะก็มีหวังโดนล้อชั่วลูกชั่วหลาน ท่านอาจารย์ที่หน้าตาดูดีเช่นนี้กลับเกี้ยวสตรีไม่เป็น

“ข้า...ยังไม่กล้า” ชุยเทียนหนิงกลัวว่าการที่เขาบอกไปจะทำให้หานว่านอี้รู้สึกอึดอัด หากนางไม่ได้คิดเช่นเดียวกับเขาล่ะก็คงเป็นการยากนักหากจะให้อยู่ร่วมชายคากันต่อได้อย่างสบายใจ

“อย่าได้กังวลไปเลยขอรับ ทำตามที่ใจของท่านต้องการ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ขอรับ วันนี้ข้ามีธุระต้องทำต่อ มะรืนนี้ท่านอาจารย์ค่อยมาพบข้าที่โรงน้ำชาแล้วข้าจะให้คำแนะนำเรื่องนี้เอง” เหยียนฟงมองท้องฟ้าแล้วเอ่ยกับชุยเทียนหนิง วันนี้เขามีเรื่องที่จะต้องทำจึงไม่อาจให้คำปรึกษาอาจารย์ของตนเองได้ แต่หากเป็นวันมะรืนแล้วล่ะก็ สำนักศึกษาเองก็ปิดพอดี เขาคงมีเวลาว่างมากพอจะพูดคุยกับท่านอาจารย์

“เอาเช่นนั้นก็ได้” ชุยเทียนหนิงตอบตกลง ในเวลานี้คงมีแต่เหยียนฟงที่จะขอความช่วยเหลือได้

หลังจากตกลงวันและเวลากับศิษย์รักอย่างเหยียนฟงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชุยเทียนหนิงก็มุ่งหน้าตรงกลับไปยังเรือนในทันที ช่วงนี้ไม่รู้เขาเป็นอะไรเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเพลาไหนก็อยากแต่จะเห็นหน้าของหานว่านอี้อยู่ตลอด

ชุยเทียนหนิงคงต้องเริ่มทำคะแนนบ้างแล้ว ก่อนที่นกกาจะคาบเอาไปกินเสียก่อน

ที่เรือนเฉิงอี้ ตอนนี้หานว่านอี้ก็กำลังช่วยจี้เหมยเตรียมสำรับมื้อเย็น นางตื่นตาตื่นใจกับครัวในยุคสมัยนี้อย่างมาก ช่างแตกต่างจากที่ที่นางจากมา

อาหารแต่ละอย่างหรือก็ประณีตน่าทาน แถมยังเลิศรสอย่าบอกใคร

“ทำอะไรกันหรือ กลิ่นหอมไปถึงหน้าเรือนเชียว” ชุยเทียนหนิงเอ่ยถามเมื่อเขาเดินเข้ามาแล้วพบจี้เหมยกับหานว่านอี้กำลังเตรียมสำรับอาหาร

“ท่านป้าจี้เหมยสอนข้าทำซุปไก่ตุ๋นเครื่องเทศกับหมั่นโถวเจ้าค่ะ”

“มิน่าล่ะ กลิ่นหอมฟุ้งขนาดนี้ ฝีมือเจ้าใช้ได้เลยนะว่านอี้”

“ยังไม่ทันได้ชิมเลยนะเจ้าคะ ชมเสียแล้วหรือ”

ทั้งสองคนหัวร่อต่อกระซิกกันท่ามกลางสายตาของแม่นมจี้เหมย นางไม่เห็นชุยเทียนหนิงดูมีความสุขขนาดนี้มานานมากแล้ว หานว่านอี้นั้นมีผลต่อใจของอาจารย์หนุ่มเสียจริง ๆ

ความร่าเริงที่เหมือนจะหายไปเริ่มกลับมาทีละนิดจนนางนึกไปถึงตอนชุยเทียนหนิงยังเป็นเพียงนายน้อยตัวเล็ก ๆ ด้วยตนเองเป็นคนเลี้ยงดูชายหนุ่มตรงหน้ามาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่าจะเป็นแม่นมแต่ก็คล้ายกับบ่าวในเรือนเสียมากกว่า ท่านอาจารย์ใหญ่ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับชุยเทียนหนิง ท่านอยู่ของท่านที่เรือนใหญ่ มีอันใดก็เพียงส่งคนมาเรียกหาให้ไปพบเท่านั้น

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ