“ลูก...ลูกของข้า” นี่คือคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของหานว่านอี้ นางเอ่ยร้องหาลูกในทันทีที่ลืมตาขึ้น
“เจ้าค่อย ๆ ลุกอย่าได้รีบร้อนไปอี้เอ๋อร์ ลูกของเราปลอดภัยดี และข้าเชื่อว่าเจ้าต้องดีใจแน่ ๆ หากได้เห็นหน้าพวกเขา” ชุยเทียนหนิงเอ่ย พร้อมกับค่อย ๆ ช่วยประคองกายของหานว่านอี้ให้ลุกขึ้นนั่ง
“พวกเขา ท่านใช้คำว่าพวกเขาหรือเจ้าคะ” หานว่านอี้ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงใช้คำว่าพวกเขา
พวกเขาหมายความว่ามีมากกว่าหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าเห็นแล้วก็จะรู้เอง ท่านป้าจี้ ถงถง พาทั้งสองคนเข้ามาหน่อย ว่านอี้ฟื้นแล้ว” ชุยเทียนหนิงเอ่ยเรียกคนรับใช้ทั้งสองที่ทำหน้าที่ดูแลบุตรทั้งสองตั้งแต่คลอดออกมา
“มาแล้วเจ้าค่ะนายหญิง ท่านอาจารย์” ถงถงเอ่ยก่อนที่จะเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขน
“ฮึก นั่นลูกเราหรือเจ้าคะท่านพี่” หานว่านอี้ถึงกับกลั้นน้ำตาแห่งความปิติเอาไว้ไม่อยู่ ช่างน่ารักน่าชังเสียนี่กระไร สายตาแห่งความรักความเอ็นดูทอดมองเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังหลับตาพริ้ม หานว่านอี้รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่โชคชะตาทำให้นางได้สมหวัง ต่อให้เอ่ยคำขอบคุณอีกสักกี่ครั้งมันก็คงไม่พอ
“เจ้ามีชื่อในใจหรือยัง” ชุยเทียนหนิงเอ่ยถามหานว่านอี้
“ยังเลยเจ้าค่ะ ท่านพี่ล่ะเจ้าคะ” หานว่านอี้ถามกลับ
“ข้าก็ยังไม่มี เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ลูกชายข้าให้เจ้าตั้ง ส่วนลูกสาวข้าจะเป็นคนตั้งเอง” ชุยเทียนหนิงเสนอ
“เป็นความคิดที่ดีเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนหานว่านอี้ได้อยู่ไฟจนครบกำหนด ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นเยอะจนนับว่าฟื้นตัวเร็วมากทีเดียว ขนาดท่านหมอและแม่นมอย่างจี้เหมยยังต้องตกใจ
แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะหานว่านอี้นั้นอยากจะดูแลบุตรด้วยตนเองไว ๆ
เรือนเฉิงอี้ที่เคยเงียบเหงาเองก็ครึกครื้นขึ้น มีเสียงกระจองอแงของเด็กทารกทั้งสองเป็นสีสันในเรือนแห่งนี้ ทำให้ถงถงและแม่นมจี้เหมยแทบจะต้องวิ่งวุ่นอยู่ทั้งวันเพื่อดู
บุตรสาวของหานว่านอี้และชุยเทียนหนิงนั้นไม่ค่อยร้องสักเท่าไหร่ ส่วนบุตรชายกลับร้องไห้ไม่หยุดหย่อน แต่แม้จะเหนื่อยแม่นมจี้เหมยและถงถงก็เต็มใจจะดูแล หานว่านอี้เองก็เช่นกัน นางมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในทุกยามที่ได้มองหน้าของเด็กน้อยทั้งสองที่กินนมจนแก้มยุ้ยแล้วนอนหลับตาพริ้มยิ้มหวานช่างน่ารักน่าชัง
หัวใจของนางรู้สึกเต็มตื้นอย่างถึงที่สุด มีทั้งบุตรที่ไม่เคยมีและเฝ้าคะนึงหาอยากจะมีอยู่ตลอด มีทั้งสามีที่ดีต่อนาง รักใคร่ดูแลอย่างดี มีทั้งแม่นมจี้เหมยที่นางเคารพเหมือนป้าแท้ ๆ มีทั้งถงถงน้อยแสนน่ารักที่สดใสและเหมือนกับน้องสาวในไส้ของนาง ชีวิตนี้หานว่านอี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากการได้อยู่แบบนี้ตลอดไป นางพอใจกับสิ่งที่มีแล้วเพราะชาติก่อนนางไม่เคยไขว่คว้าสิ่งพวกนี้เอาไว้ได้เลย
“แม่รักลูกทั้งสองนะ พวกเจ้าเกิดมาทำให้แม่รู้ว่าความหมายของชีวิตคืออะไร” หานว่านอี้กระซิบกับลูกน้อยของตนเอง
“เจ้าเองก็ทำให้พี่ได้รู้ว่าความหมายของชีวิตคืออะไร พี่รักเจ้ากับลูกนะอี้เอ๋อร์” ชุยเทียนหนิงที่เดินเข้ามาพอดีเอ่ยกับหานว่านอี้ ก่อนที่สี่คนพ่อแม่ลูกจะนั่งกอดกันกลมอยู่บนตั่งเตียงแสนสุข เอาอะไรมาแลกทั้งคู่ก็คงไม่ยอมเสียพื้นที่ตรงนี้ไป ซึ่งชุยเทียนหนิงขอให้สัตย์สาบานต่อหานว่านอี้และบุตรของตนเอง ณ ที่นี้ ว่าเขาจะดูแลปกป้องนางและลูก ๆ ให้ดีที่สุด
แม้ว่าจะไม่ได้สุขสบายนักแต่เขาจะพยายามให้มันดีขึ้น แม้จะไม่ได้เลิศเลอเท่าคนอื่น ๆ แต่ชุยเทียนหนิงก็จะทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่บิดาและสามีคนหนึ่งจะทำเพื่อสตรีนางนี้ได้
สองปีผ่านไป
เจ้าลูกลิงทั้งสองของชุยเทียนหนิงและหานว่านอี้ก็เติบโตขึ้น ตอนนี้พวกเขามีอายุได้สองขวบปีแล้ว อยู่ในวัยที่กำลังซุกซนเสียจนแม่นมจี้เหมยปวดหัว แม้กระทั่งถงถงเองยังรับมือกับสองแสบยาก
“ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ แฮ่ก...” ถงถงหอบแฮ่กออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่ต่างอะไรจากแม่นมจี้เหมย
“ตอนเด็ก ๆ ข้าเลี้ยงเจ้ายังไม่ซุกซนเท่าคุณหนูน้อยทั้งสองเลย” จี้เหมยบ่นอุบออกมาเช่นกัน นางแก่ปูนนี้แล้วยอมรับตามตรงว่าการวิ่งไล่จับเด็ก ๆ เป็นเรื่องที่แสนจะไกลตัวและยากเข็ญ
“ถือว่าเป็นโชคดีของท่านย่านะเจ้าคะที่ข้าเป็นเด็กเรียบร้อยว่านอนสอนง่าย” ถงถงยืดอกรับ
“เจ้าไม่ซนตอนเด็ก แต่มาซนเอาตอนโตน่ะสิ ไปได้แล้ว เราต้องรีบพาคุณหนูทั้งสองอาบน้ำเสียก่อนที่แดดจะหมด ข้ากลัวว่าหากรีรอกว่านี้ไข้จะถามหาเอาได้”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งถงถงและแม่นมจี้เหมยก็ไล่จับสองแฝดอีกครา คราวนี้ถงถงต้อนหน้า จี้เหมยต้อนหลัง ดักกันไปดักกันมาแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทันจริง ๆ
“คิก ๆ”
“ฮ่า ๆ ๆ”
เด็กน้อยทั้งสองหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ คิดว่าแม่นมวัยชราและพี่เลี้ยงถงถงกำลังวิ่งเล่นหยอกล้อกับตนอยู่ ก่อนที่ชุยเทียนหนิงจะเดินเข้ามาหา
“มีอะไรกันหรือ เหตุใดจึงได้วิ่งเล่นกันเสียทั่วเรือนเช่นนี้ แล้วเสื้อผ้าของเจียอีกับเจียหาวเล่าแม่นม”
“แฮ่ก ๆ ขะ ข้ากำลังจะพาคุณหนูทั้งสองอาบน้ำเจ้าค่ะ” จี้เหมยตอบ
“แต่คุณหนูทั้งสองแสนจะซุกซนไม่ยอมให้พวกข้าจับได้ง่าย ๆ เลยเจ้าค่ะท่านอาจารย์” ตามด้วยถงถง
“งั้นพวกเจ้าไปทำอย่างอื่นเถิด เดี๋ยวข้าจัดการตรงนี้เอง” ชุยเทียน หนิงเมื่อได้ยินแล้วจึงกล่าวออกไป หากรอให้จี้เหมยและถงถงจัดการตรงนี้ต่อไปกว่าจะเสร็จ มีหวังเรือนเฉิงอี้คงไร้อาหารเย็นวันนี้กระมัง
“เจียหาว เจียอี มาหาพ่อได้แล้ว” ชุยเทียนหนิงเอ่ยพร้อมย่อกายนั่งลงรอรับสองแฝดมาไว้ในอ้อมกอด
“พ่อ/อาา” แม้เจียหาวจะยังออกเสียงไม่ชัดสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าใช้ได้สำหรับเด็กน้อยวัยสองขวบปี ส่วนเจียอีนั้นไม่ค่อยพูดเป็นคำ
“อย่าแกล้งท่านย่าจี้กับพี่สาวถงถงเช่นนี้อีกรู้ไหม พวกนางทำงานอย่างอื่นก็เหนื่อยพอแรงแล้ว พวกเจ้าต้องเชื่อฟังพวกนาง” ชุยเทียนหนิงสอนสั่งบุตรทั้งสอง
“อื้อ/อื้อ” เจียอีและเจียหาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะกอดคอผู้เป็นบิดาเอาไว้ หลังจากนั้นชุยเทียนหนิงจึงรับหน้าที่อุ้มเด็กทั้งสองคนไปยังบริเวณที่อาบน้ำและเริ่มลงมือชำระล้างร่างกายให้แก่สองแฝด
เสียงหัวเราะคิกคักดังลั่นไปทั่วจนทำให้หานว่านอี้นึกสงสัยว่าสามคนพ่อลูกกำลังทำอะไรกัน นางที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่จึงละความสนใจจากสิ่งของในมือแล้วเดินออกไปดูนอกตัวเรือน
“ท่านพี่! ทำอะไรกันเจ้าคะ เลอะเทอะไปหมดเชียว” หานว่านอี้แทบลมจับ สามพ่อลูกเล่นน้ำกันจนเปียกโชกไปหมด อาภรณ์ผมเผ้าชุ่มแนบลู่ลำตัว นางได้แต่ส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า “จะสร้างงานให้ท่านป้าจี้เพิ่มอีกหรือเจ้าคะ เลอะไปหมดแล้ว”
“ไหน ๆ ก็เลอะแล้วงั้นเจ้ามาเลอะด้วยอีกคนดีหรือไม่” ชุยเทียน หนิงกล่าวก่อนจะใช้ขันตักน้ำสาดไปทางหานว่านอี้
ซ่า!
“ว๊ายย! ท่านพี่แกล้งข้าหรือเจ้าคะ มานี่เลย พวกเจ้าด้วย เจียอี เจียหาว นี่แหน่ะ!” หานว่านอี้ที่เปียกปอนไปด้วยอีกคนมีหรือจะยอม นางเข้าร่วมวงแล้วตักน้ำวิดใส่สามพ่อลูกเช่นกัน ทั้งสี่คนเล่นกันอย่างสนุกสนานและมีความสุขภายใต้สายตาของจี้เหมยและถงถง
“ข้าวาดหวังเอาไว้นะเจ้าคะท่านย่า” ถงถงเอ่ย
“เรื่องอันใดหรือ” จี้เหมยถามกลับ
“ขอให้เรือนเฉิงอี้มีแต่ความสงบสุขและรอยยิ้มจากคุณหนูน้อยแสนแสบทั้งสองตลอดไปเจ้าค่ะ” สิ้นคำของถงถงจี้เหมยก็หลุดยิ้มออกมา
“ข้าก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน”
ในเมืองผาซานแห่งนี้คงมิมีที่ใดเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนสุขและเสียงหัวเราะได้เท่าเรือนเฉิงอี้อีกแล้ว
-.จบบริบูรณ์.-
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?