ตอนที่ 22. พิเศษ 5- กรรมตามสนอง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

หยูจิวซือเคาะประตูอยู่สามครั้งจึงได้เปิดประตูเข้าไปยังห้องทำงานของบิดาสามีก็ปรากฏว่ามีนายท่านไต้ ฮูหยินใหญ่จงเซียน และสามีไต้เว่ย นั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยความเรียบร้อย บรรยากาศช่างน่าอึดอัดในสายตาของหยูจิวซือ แต่นางก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในท้องไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

ฮูหยินน้อยของตระกูลไต้เดินไปถึงตรงกลางก็ทำความเคารพทุกคนก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ มีอันใดกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”

“นั่งสิ อาจจะต้องมีเรื่องคุยกันนานหน่อย” เป็นนายท่านไต้เอ่ยขึ้น หยูจิวซือจึงได้เดินไปนั่งข้างไต้เว่ยอย่างสงบเสงี่ยม

“จิวซือหลังจากที่อี้เอ๋อร์จากเรือนนี้ไปเวลาก็ผ่านมากว่าสี่ปีแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” ฮูหยินใหญ่จงเซียนเอ่ยถามขึ้น

“ข้านั้นสบายกายดีเจ้าค่ะ ส่วนทางใจนั้นพวกท่านคงทราบดีอยู่แล้ว” หยูจิวซือเอ่ยตอบพลางปรายสายตาไปยังสามีที่นั่งหน้าตายไม่พูดไม่จาแม้เพียงครึ่งคำ

“นั่นสินะ เจ้านั้นอยู่ที่ตระกูลไต้มีแต่ความสุขสบาย อาเว่ยเจ้าบอกว่าจะมีเรื่องคุยกับฮูหยินของเจ้าไม่ใช่หรือ” นายท่านไต้เอ่ยบอกลูกชายเสียงเรียบ

“หยูจิวซือ นี่คือใบหย่า ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ใช่ฮูหยินน้อยของตระกูลไต้อีกแล้ว” ไต้เว่ยหยิบหนังสือหย่าบนโต๊ะส่งให้ภรรยาด้วยใบหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงที่แจ้งก็ยิ่งเหยียบเย็น

“ท่านพี่ ล้อข้าเล่นเช่นนี้ไม่ดีนะเจ้าคะ” หยูจิวซือถึงกับตกใจลุกขึ้นยืน

“ข้าดูเหมือนล้อเล่นหรือ” ไต้เว่ยเอ่ยถามเสียงเข้ม

“ท่านพี่ ข้าทำอันใดผิด ท่านถึงได้คิดมอบหนังสือหย่าให้กับข้า”

“เจ้าทำสิ่งใดผิดเช่นนั้นหรือ ต้องให้ข้าแจกแจกหรือไม่ เห็นแก่ที่เป็นมารดาของเซียนเอ๋อร์ข้าถึงไม่เอาเรื่องเจ้า” ไต้เว่ยถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามภรรยาเสียงดัง

“ไม่ ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ท่านจะมาทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้”

“เหตุใดข้าจะทำไม่ได้ ข้าก็กำลังทำกับเจ้าเหมือนกับที่เจ้าบังคับให้ข้าทำกับอี้เอ๋อร์อย่างไรเล่า นางก็ไม่มีความผิด ในเมื่อเจ้าก็ไม่มีความผิด เช่นนั้นก็เสมอกันแล้ว หากว่าเจ้าไม่ยอมรับใบหย่าแต่โดยดีข้านั้นก็ไม่ขัดข้องที่จะฟ้องร้องเจ้าที่ศาล ข้อหาใส่ร้ายและติดสินบนหมอให้โกหกว่าข้านั้นเป็นหมัน เพียงเท่านี้คงเพียงพอแล้วที่จะจับเจ้าเข้าคุก หยูจิวซือเจ้ามาแต่ตัวก็ต้องไปแต่ตัว ลี่เซียนเป็นหลานของตระกูลไต้ เจ้าไม่มีสิทธิ์นำนางไปด้วย ข้าให้เวลาเจ้าจนถึงตะวันตกดิน หากว่ายังเห็นเจ้าที่เรือนตระกูลไต้ก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย” ไต้เว่ยว่าแล้วก็เดินออกจากห้องทำงานไป นายท่านไต้กับฮูหยินใหญ่จงเซียนก็เดินตามหลังบุตรชายออกไปเช่นกัน

หยูจิวซือถึงกับทรุดลงกับพื้นเนื่องจากเหตุการณ์ในวันนี้ช่างเหมือนกับวันนั้น วันที่หานว่านอี้ต้องถูกขับไล่ออกจากตระกูลไต้ แต่นางไม่มีบ้านเดิมให้กลับแล้ว ชีวิตข้างหน้าของตนจะเป็นเช่นไร ตั้งแต่แต่งเข้ามาเป็นฮูหยินรองจนได้เป็นฮูหยินเอก นางก็ไม่เคยได้ตกระกำลำบากอีกเลย

ชีวิตที่เคยสุขสบายมาตลอดหลายปีจนเกิดความเคยชินแล้วต้องกลับไปลำบากเช่นนี้ มิใช่ว่าพวกเขากำลังลงโทษนางอยู่หรอกหรือ หยูจิวซือถึงกับร้องไห้ออกมาเสียงดังโดยไม่สนใจพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างหลังแม้แต่น้อย

“แม่นางหยู เจ้าจะร้องไห้เช่นนี้ตลอดไปหรือ นายน้อยบอกว่าแม่นางต้องออกจากตระกูลไต้ก่อนค่ำนะขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยเตือน พลางคิดในใจว่าเหตุการณ์นี้ช่างเหมือนกับตอนอดีตฮูหยินเอกหานว่านอี้มิมีผิด

หยูจิวซือทำสิ่งใดไม่ได้จึงได้แต่จำใจลุกขึ้นแล้วเดินไปเก็บของตามที่พ่อบ้านบอก นางเชื่อแล้วว่ากรรมนั้นมีจริง ตอนนี้สำนึกเสียใจก็ช่วยอันใดไม่ได้แล้ว

เซียนเอ๋อร์ แม่ขอโทษ เจ้าอยู่ที่นี่ชีวิตจะมีความสุขมากกว่า

เวลาผ่านไปสามเดือนไต้เว่ยก็ปรับปรุงตนเองเสียใหม่ เขาเลิกดื่มสุราแล้วหันมารักษาและบำรุงตนเอง หลังจากกลบกลิ่นสุราออกไปได้หมดในสิบวันให้หลังเขาก็เริ่มทำความรู้จักกับบุตรสาวตัวน้อยเป็นครั้งแรก ไต้ลี่เซียนที่เคยหวาดกลัวบิดาก็เปลี่ยนมาให้กำลังใจไต้เว่ยได้อย่างน่ารัก

“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านแม่ไปไหน ข้าไม่เห็นท่านแม่เลยเจ้าค่ะ”

ลี่เซียนน้อยเอ่ยถามถึงมารดาเนื่องจากนางไม่เห็นหน้ามารดามานานแล้ว ถึงแม้ว่ามารดาจะไม่รักและมักทุบตีตนอยู่เสมอแต่ลี่เซียนก็อยากให้ท่านแม่กอดและรักนางบ้าง ถึงแม้ว่าตนเองจะได้ความรักจากท่านปู่ ท่านย่าแต่ลึก ๆ เด็กน้อยเช่นนางก็อยากได้รับความรักจากบิดาและมารดาตามประสาเด็กทั่วไป

“เซียนเอ๋อร์ ท่านแม่ของลูกนั้นบวชชีและเข้าสู่ร่มธรรมไปแล้ว ถ้าเซียนเอ๋อร์โตกว่านี้อีกหน่อยพ่อสัญญาว่าจะพาเซียนเอ๋อร์ไปหาท่านแม่ดีหรือไม่” ไต้เว่ยเอ่ยบอกลูกสาวเสียงอ่อนโยน พ่อบ้านได้มาแจ้งข่าวของอดีตฮูหยินให้เขารับรู้ไว้ตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว เขานั้นดีใจกับนางด้วยที่สุดท้ายก็สามารถหาทางออกให้กับชีวิตตนเองได้

“จริงนะเจ้าคะ ข้าอยากไปหาท่านแม่เจ้าค่ะ” ลี่เซียนเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ นางรู้ว่านักบวชหญิงนั้นมักเป็นคนจิตใจดี หากไปหาท่านแม่ครั้งนี้ท่านแม่อาจจะไม่ทุบตี ไม่ดุด่านาง ถ้าหากว่าจะขอกอดท่านแม่สักครั้งไม่รู้ว่านางจะขอมากไปหรือเปล่านะ

“จริงสิ รอให้เซียนเอ๋อร์โตกว่านี้อีกหน่อยนะ ทางไปที่วัดบนเขาลำบากมาก รถม้าไปไม่ถึง” ไต้เว่ยเอ่ยอธิบาย

“เซียนเอ๋อร์จะรีบโตเจ้าค่ะ” เด็กน้อยกอดคอไต้เว่ยพลางซบใบหน้าเล็ก ๆ ลงบนบ่าของบิดาอย่างให้สัญญา

“เซียนเอ๋อร์ยังไม่ต้องรีบโต ให้พ่อได้ชดเชยเวลาที่เสียไปก่อน ต่อไปนี้พ่อสัญญาว่าเซียนเอ๋อร์จะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของพ่อ” ไต้เว่ยหันหน้าจูบลงไปบนหน้าผากของบุตรสาวอย่างประทับคำสัญญา

“เซียนเอ๋อร์รักท่านพ่อเจ้าค่ะ”

“พ่อก็รักเซียนเอ๋อร์เหมือนกัน”

สองพ่อลูกนั่งกอดกันท่ามกลางศาลาบึงบัวขนาดใหญ่ ลมเย็น ๆ ที่พัดโชยทำให้รับรู้ถึงความสงบ ยิ่งได้ดอกบัวใหญ่ในบึงส่งกลิ่นหอมอ่อนยิ่งทำให้สายตาเล็ก ๆ นั้นพร้อมจะหลับลงไปทุกเมื่อ สุดท้ายก็ฝืนทนไม่ไหวคอพับลงไปบนอกของบิดา

“เซียนเอ๋อร์ พ่อขอโทษต่อไปนี้พ่อจะเป็นพ่อที่ดีของเจ้าตลอดไป”

ไต้เว่ยเอ่ยให้สัญญากับร่างเล็กในอ้อมแขนพลางลุกขึ้น เขาจัดการอุ้มนางไปส่งที่ห้องของบุตรสาวแล้วเดินกลับไปยังห้องของตนเอง ในนั้นมีปิ่นหยกชุดหนึ่งที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของแทนใจที่เขาได้มอบให้กับหานว่านอี้

“อี้เอ๋อร์ พี่ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พี่ขอภาวนาให้เจ้าจงมีแต่ความสุข พี่จะรักเจ้าตลอดไป” ไต้เว่ยนอนลงไปบนเตียงพร้อมกับกำปิ่นหยกวางไว้บนอกด้วยความทะนุถนอม พร้อมกับหลับตาลงด้วยใจที่สงบ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ