ตอนที่ 15. วันแต่งงานแสนสุข

“นายหญิง ท่านยังไม่ไป ฮึก...” ถงถงน้อยร้องไห้ออกมาเมื่อยังพบว่าหานว่านอี้ยังคงอยู่ที่เรือนเฉิงอี้แห่งนี้ เมื่อวานนางเห็นว่าสามีเก่าของนายหญิงมาและมีท่าทีพูดคุยกันนานดูตึงเครียดจริงจัง ถงถงคิดว่านายหญิงของตนจะจากไปเสียแล้ว

“ท่านยังอยู่ ขอบคุณนายหญิง” จี้เหมยเองก็คาดไม่ถึงกับสิ่งนี้ ทุกคนที่นี่ชอบหานว่านอี้กันทั้งนั้น และชุยเทียนหนิงเองก็ดูจะชื่นชอบเป็นพิเศษ นางไม่อยากให้หานว่านอี้จากไปเลย เพราะสีสันในเรือนนี้คงน้อยลงมาก

“ข้ายังอยู่ แม่นมจี้กับถงถงดูแลข้าอย่างดีเช่นนี้ ข้าจะทิ้งไปได้ลงคอเช่นไร” หานว่านอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งขยับเข้าไปโอบกอดสตรีทั้งสองเอาไว้ เด็กน้อยซุกหน้ากับท้องของหานว่านอี้พร้อมร้องไห้ จี้เหมยเองก็เอ่ยขอบคุณซ้ำ ๆ

“ข้ามีอีกสองเรื่องที่ต้องบอก” เป็นชุยเทียนหนิงที่เอ่ยเสริมขึ้นมา “เรื่องแรกคือหานว่านอี้กับข้าเรารักกัน เช่นนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกลัวไปว่านางจะไม่ยอมเป็นนายหญิงของที่นี่”

“แล้วเรื่องที่สองเล่าเจ้าคะ ยังมีอะไรอีก” หานว่านอี้นึกสงสัย เรื่องที่คุยกันไว้มีเท่านี้มิใช่หรือ

“อ่า ใช่สิ ยังมีอีกเรื่อง” เมื่อว่าจบชุยเทียนหนิงก็เดินเข้าไปหาหานว่านอี้ เขาจับมือของนางเอาไว้พร้อมกับมองใบหน้างดงามด้วยสีหน้าจริงจัง

“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

“แต่งงานกับข้านะว่านอี้ มาเป็นฮูหยินของที่นี่โดยสมบูรณ์ แม้ข้าจะไม่ได้มีอะไรให้เจ้ามากมายนักเท่ากับอดีตสามีของเจ้า แต่ข้ามั่นใจว่าและยินดีที่จะหาทุก ๆ อย่างมาให้เจ้า ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นเดือนหรือตะวัน” หานว่านอี้เมื่อได้ยินก็นิ่งไป นี่นางกำลังถูกขอแต่งงานหรือ

นี่หาใช่ครั้งแรกของนางไม่ แต่นางก็ตื่นเต้นอยู่ดี หากเป็นในคราแรก หานว่านอี้คงหวาดกลัวที่จะมีความรัก แต่ในตอนนี้ชุยเทียนหนิงทำให้นางได้มั่นใจว่าเขาจะดีกับนางและลูกในท้อง ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่เดือนก็ตาม แต่เวลามันไม่ใช่สิ่งที่ยืนยันเสมอไปว่ารักกันมานาน แต่งงานกันมานานแล้วจะอยู่กันจนสีผมขาวโพลนไปด้วยกัน

“เจ้าค่ะ ข้าจะแต่งงานกับท่าน” หยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันไหลอาบสองแก้มขาว “ใยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่เมื่อวานเล่าเจ้าคะ”

หานว่านอี้นึกสงสัยว่าทำไมเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ถึงได้เก็บงำเอาไว้ไม่รีบขอนาง

“เพราะข้าคิดว่าหากขอเจ้าแต่งงานต่อหน้าแม่นมและถงถงคงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีกว่าน่ะสิ อีกทั้งยังมีสักขีพยานรักของเราอีกด้วย” สิ้นคำของชุยเทียนหนิง แม่นมจี้เหมยและถงถงก็ยิ้มออกมา พวกนางช่างมีความสุขเสียเหลือเกินที่ได้มีนายดี ๆ อย่างเช่นชุยเทียนหนิงและหานว่านอี้ที่มองพวกนางเยี่ยงครอบครัวไม่ใช่แค่บ่าวในเรือน

บรรยากาศในการทานอาหารเช้ามื้อนี้เป็นไปได้ด้วยดีและแสนอบอุ่น ถงถงที่ปกติมักจะกินน้อยด้วยความเป็นเด็กหญิงร่างเล็ก วันนี้กลับเจริญอาหารและทานได้เยอะเสียจนจี้เหมยอดบ่นไม่ได้

“เจ้าอย่ามูมมามไปถงถง”

“ไม่เป็นไรหรอกแม่นม ถงถงวัยกำลังโต ท่านเองก็ควรจะกินเยอะ ๆ เข้าไว้ เพราะหากบุตรของข้าและว่านอี้เกิดมาคงจะเหนื่อยน่าดู” ชุยเทียน หนิงเอ่ย

“เรียกเสียเต็มปากเต็มคำเชียวนะเจ้าคะ” หานว่านอี้เอ่ยเย้าอีกฝ่าย

“แน่นอนสิ ในเมื่อข้าเป็นคนต่อแขนต่อขาก็ควรจะเป็นข้าที่ได้เป็นพ่อเด็ก” ชุยเทียนหนิงยืดอกรับ “คงจะดีมิใช่น้อยถ้าหากบุตรของเจ้ากับข้าออกมาแล้วได้แม่นมจี้ช่วยดูแล ส่วนถงถงก็คอยเป็นพี่เลี้ยง”

“ข้าอยากเป็นพี่เลี้ยงให้คุณหนูน้อยเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลคุณหนูน้อยให้ดีเลย” ถงถงเอ่ย นางนั้นตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อคิดว่าจะได้เป็นพี่เลี้ยงบ้างแล้ว เพราะตอนนี้นางก็เพิ่งจะอายุแค่สิบขวบปี ไม่มีพี่น้อง

“นั่นสินะ หากลูกออกมาถงถงก็คงจะไม่เหงาแล้ว” หานว่านอี้ยิ้มเอ็นดู “ข้าฝากเจ้าด้วยนะถงถง”

“เจ้าค่ะนายหญิง!”

วันเวลาผ่านไปอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีในการจัดงานแต่งแล้ว ชุยเทียนหนิงเลือกที่จะจัดแต่พอดี ไม่เชิญคนเยอะแยะมากมายจนเกินไปเพราะเขาเองก็ไม่ได้มีญาติพี่น้อง บิดามารดาก็เสียชีวิตไปนานแล้ว ฝ่ายของหานว่านอี้ก็ไร้เครือญาติผู้ใหญ่

“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน” เสียงของผู้รับหน้าที่ดำเนินพิธีแต่งงานให้แก่ทั้งสองเอ่ยขึ้น ก่อนที่หานว่านอี้และชุยเทียนหนิงจะก้มลงคำนับฟ้าดิน

“สอง คำนับบิดามารดา” เมื่อทั้งสองคนไม่มีพ่อและแม่ให้คำนับในตอนนี้จึงใช้วิธีการคำนับผู้ใหญ่ที่เคารพแทน ซึ่งแม่นมจี้เหมยรับหน้าที่นั้นทางฝั่งเจ้าสาว และท่านอาจารย์ใหญ่ซึ่งเป็นบิดาบุญธรรมรับหน้าที่ทางฝั่งเจ้าบ่าว

“สาม คำนับกันและกัน” ทั้งสองคนต่างหันหน้าเข้าหากันและก้มคำนับให้แก่อีกฝ่าย

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการคำนับแล้วก็ไปต่อที่การยกน้ำชา มันไม่ได้วุ่นวายอันใดนักและใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้น ก่อนจะไปถึงงานเลี้ยงดื่มเหล้ามงคลของเหล่าแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ภายในห้องส่งตัวหลังงานเลี้ยงเสร็จสิ้นนั้นเหล่าญาติผู้ใหญ่ของชุยเทียนหนิงซึ่งก็เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษานั่นเองเข้ามาหยอกล้อพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะความเชื่อที่ว่ามันจะช่วยขับไล่วิญญาณร้ายหรือปีศาจออกไปได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงเป็นการอวยพรไปในตัวด้วย

ผ้าคลุมหน้าสีแดงของหานว่านอี้ถูกชุยเทียนหนิงนำพัดมาเปิดมันออกก่อนที่ทั้งสองคนจะถือจอกเหล้าขึ้นมา ที่แตกต่างคือของหานว่านอี้นั้นเป็นน้ำชา เพราะนางตั้งครรภ์อยู่จึงไม่สามารถจะดื่มเหล้าได้ และชุยเทียนหนิงเองก็รู้ดี การดื่มหลังแต่งงานนับเป็นการสิ้นสุดการดื่มเหล้าในพิธีมงคลสมรสของวันนี้ หากหานว่านอี้ไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่และต้องดื่มเข้าไป นางคงนึกว่ามันเป็นการมอมเมานางเสียอีก กว่าจะจบพิธีคงเล่นเอาร้อนปากร้อนคอไปหมด

“เจ้าเหนื่อยมากหรือไม่” ชุยเทียนหนิงถามหานว่านอี้เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน และคืนนี้เขากับนางจะต้องเข้าหอกัน

“นิดหน่อยเจ้าค่ะ แต่ก็มีความสุข” หานว่านอี้เอ่ยตอบ นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนาง แม่นมจี้เหมยเองก็ยังแอบสงสัยว่าทำไมหานว่านอี้ที่เคยแต่งงานมาแล้วกลับไม่รู้ว่าต้องทำอะไรในพิธีบ้าง โชคดีที่นางโกหกไปว่าลืมเลือนไปแล้วเนื่องจากมันผ่านมานาน

“ข้าเองก็มีความสุข” ชุยเทียนหนิงยิ้ม “ขอบคุณนะที่วันนั้นเจ้ายอมรับความช่วยเหลือจากข้า มิเช่นนั้นคงไม่มีวันนี้ของเรา”

“ข้าสิเจ้าคะที่ต้องขอบคุณท่านพี่ หากไม่มีท่านปานนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าบอกแล้วว่าข้านั้นยินดี ในเมื่อโชคชะตานำพาเจ้ากับข้าให้มาเจอกันแล้วข้าก็ได้แต่หวังอย่าให้โชคชะตาต้องพรากเราไกลจากกันไปไหนอีก”

“ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าเชื่ออย่างนั้นว่าโชคชะตาจะเป็นใจให้เราทั้งสอง”

หานว่านอี้ลูบท้องของตนเองแล้วเอนหัวทุยพิงซบบ่าของชุยเทียน หนิง นับแต่นี้เป็นต้นไปนางคือส่วนหนึ่งในตระกูลชุยแล้ว และบุตรของนางเองก็เช่นกัน

“ข้ารักเจ้านะอี้เอ๋อร์”

“ข้าก็รักท่านพี่เจ้าค่ะ”

คำว่ารักที่ทั้งสองคนเอ่ยให้แก่กันแม้จะเอ่ยอยู่ทุกวี่วันก็ไม่มีทางเบื่อ เพราะนั่นคือการแสดงออกว่านางและชุยเทียนหนิงรักกันมากเพียงใด เป็นการย้ำตัวเองเอาไว้ว่าต่อไปนี้หานว่านอี้จะไม่ตัวคนเดียวอีกแล้ว และชุยเทียนหนิงเองก็เช่นกัน

ค่ำคืนสุดแสนพิเศษกำลังจะเริ่มต้นขึ้นด้วยความพร้อมใจของทั้งสองคน คู่รักข้าวใหม่ปลามันกำลังเร่งต่อแขนต่อขาให้แก่บุตรในครรภ์ และแน่นอนว่าต่อให้คลอดแล้วชุยเทียนหนิงก็คงเร่งผลิตบุตรมาเพิ่มอีกแน่นอน

ทำเอาหานว่านอี้ถึงกับเพลียสลบไสล นางคิดว่าไม่น่าต้องให้รุกเร้าอันใดแล้วด้วยซ้ำในตอนแรกหากชุยเทียนหนิงจะคึกคะนองเช่นนี้ เขาดูราวกับว่ารู้ทุกอย่างดีอยู่แล้วด้วยซ้ำเพียงแต่ติดเขินอายไปหน่อย เมื่อได้มีคนพาเริ่มแล้วถึงได้หยุดยาก

“พอก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านพี่ คืนนี้ก็สามรอบแล้วนะเจ้าคะ” ห่านว่านอี้แทบจะคลานลงจากเตียงเมื่อสามีของตนนั้นยังคงพันพัวไม่เลิก

“ข้าจะเร่งต่อแขนต่อขาให้ลูกอย่างไรเล่า เจ้าจะได้เห็นหน้าลูก ไว ๆ” ช่างเป็นเหตุผลที่น่าหยิกหลังเสียจริง

“ข้ออ้างหรือเจ้าคะ อย่างไรลูกก็ไม่ออกมาเร็วขึ้นอยู่ดี” หานว่านอี้ตีไหล่หนาไปทีหนึ่งด้วยความมันเขี้ยว

“หึ ๆ เจ้าก็รู้ว่าพี่อ้าง แต่ก็ยังยอมมิใช่หรือ”

“อ๊ะ! ท่านพี่ อ๊า!!”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ