“ท่านเทียนหนิง” เสียงหวานเจือแววสั่นเครือแต่หาได้มาจากความโศกเศร้าไม่ ลมหายใจอุ่นร้อนของนางเป่ารินรดสองข้างแก้มของบัณฑิตหนุ่ม สองแขนเรียวที่โอบรอบลำคอแกร่งก็หาได้อยู่นิ่ง ปัดป่ายไปทั่วเพื่อสร้างความวาบหวามให้กับชุยเทียนหนิงที่ได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่ไหวติง
บัดนี้ชุยเทียนหนิงหวาดกลัวไปหมด เขาไม่เคยทำแต่หาใช่ว่าจะทำไม่ได้ สิ่งที่เขากลัวคือกลัวว่าจะทำให้นางต้องเจ็บ ไหนจะบุตรในครรภ์ของหานว่านอี้อีก ชุยเทียนหนิงจึงไม่กล้าที่จะแตะต้องนาง อีกทั้งหานว่านอี้ยังตั้งครรภ์ได้เกือบหกเดือนแล้ว
เขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนทำให้ไม่รู้วิธีว่าทำแบบไหนสตรีถึงจะรู้สึกดีในสิ่งที่เขาทำ ครั้นจะลองผิดลองถูกในยามนี้ก็ไม่ใช่เวลา เขาไม่เหลือเวลาในการศึกษาแล้ว
“ท่านเพียงแค่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับข้าก็พอท่านเทียนหนิง อย่าได้กังวลไป ข้ารู้วิธีที่จะทำให้รู้สึกดีได้โดยไม่อันตรายต่อเด็กในครรภ์” หานว่านอี้รู้ทุกอย่างดี แม้นางจะไม่เคยมีบุตรในชาติที่แล้วแต่นางก็เฝ้าศึกษามาตลอด ว่าสิ่งที่คนท้องควรทำหรือไม่ควรทำ
“เช่นนั้น โปรดชักนำข้าด้วย” ชุยเทียนหนิงตอบรับคำชักชวนของหานว่านอี้ ร่างหนาเอนกายพิงตั่งเตียงรับริมฝีปากบางที่ประกบทาบทับเข้ามา ความนุ่มละมุนแผ่ซ่านสัมผัสกันทำให้ทั้งคู่ต่างรู้สึกดี
เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ลิ้นร้อนของหานว่านอี้ก็เริ่มสอดใส่เข้าไปในโพรงปากของชุยเทียนหนิง บุรุษหนุ่มที่พอจับทางได้จึงตอบรับไป
จุมพิตหอมหวานดูดดื่ม อาภรณ์ถูกถอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย สองมือของทั้งคู่ต่างปัดป่ายไปบนร่างกายของกันและกันอย่างโหยหา เมื่อยามที่เนื้อแนบเนื้อให้ความรู้สึกซาบซ่านอย่างน่าแปลกใจ ก่อนที่หานว่านอี้จะผละปากออกไปแล้วเริ่มจริงจังขึ้น
“อะ...อ๊าา”
นางร้องครางเสียงหวานหลังจากที่ได้บอกถึงสิ่งที่ฝ่ายชายต้องเล้าโลมตนอย่างไร แล้วตนซึ่งเป็นฝ่ายหญิงสามารถปรนนิบัติมอบความสุขให้กับคู่ของตนได้อย่างไร ชุยเทียนหนิงสมเป็นอาจารย์ เขาเรียนรู้ได้ไว บอกเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจและสามารถทำได้เป็นอย่างดี และออกจะหัวไวทั้งฉลาดสามารถคิดได้ด้วยตนเองว่าขั้นตอนต่อไปต้องทำอย่างไรบ้าง
ดูจากตอนนี้ริมฝีปากหนาก็กำลังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมจนใจกลางหญิงของหานว่านอี้หลั่งน้ำหวานออกมามากมายให้อาจารย์หนุ่มได้ดื่มกินอย่างไม่นึกรังเกียจ ด้วยหานว่านอี้ตั้งครรภ์จึงไม่สะดวกในท่าพื้นฐาน หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายอยู่ข้างบนเพื่อไม่ให้กระทบกับบุตรในครรภ์
เมื่อยามที่กายบางกดทับลงบนกายหนาของบัณฑิตหนุ่ม ท่อนกายแข็งขืนจึงถูกสอดใส่เข้าไปในโพรงสวาทผ่านกลีบดอกไม้สีหวานที่ปิดสนิท ความร้อนรุ่มกระจายไปทั่วร่างพร้อม ๆ กับความรู้สึกสยิวที่แล่นพล่านทั้งสรรพางค์กาย
การขยับเคลื่อนค่อยเป็นค่อยไปดั่งท่วงทำนองของดนตรีแสนวิจิตร สองแขนแกร่งของชุยเทียนหนิงค่อยประคองแผ่นหลังขาวนวลเนียนดั่งงาช้างของหานว่านอี้เอาไว้
เหงื่อกาฬผุดซึมตามไรผมของนางไม่น้อยจนชุยเทียนหนิงนึกเป็นห่วงไม่ได้
“อา เจ้าอยากพักหรือไม่ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ข้าจะได้หยุด” ชุยเทียนหนิงกล่าวถาม
“ไม่! ขะ...อ๊าา ข้าสบายดี ได้โปรดอย่าหยุด ทำมันต่อเถิดข้าจะ...อึ่ก อื้ออ” เอ่ยได้เพียงเท่านั้นกายบางก็สั่นสะท้าน ฝั่งฝันของนางอยู่ใกล้แค่เอื้อมและหานว่านอี้จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายหยุดเพียงเพราะว่าเข้าใจผิดคิดว่านางเจ็บหรอก
“อ่าา แต่เจ้าดูทรมานเหลือเกิน”
“มันเป็นการทรมานที่มีความสุขเชื่อข้าสิ อื้มมม โอบกอดข้าที ข้าทนไม่ไหวแล้ว” หานว่านอี้ร้องขอ
ไม่รอช้า ชุยเทียนหนิงรีบโอบประคองกายสตรีเอาไว้แล้วสวนกายเข้าไปเป็นจังหวะ ขอบฝั่งฝันรออยู่ด้านหน้าของทั้งคู่เพียงไม่นานหานว่านอี้ก็กระตุกกายเกร็ง ช่องทางอ่อนนุ่มตอดรับบีบระรัวจนชุยเทียหนิงปวดหนึบ
เอวสอบขยับเข้าออกเร็วขึ้นแต่ยังคงยับยั้งแรงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย จนเมื่อถึงที่สุดแล้วเขาจึงได้ปลดปล่อยออกมาจนเติมเต็มช่องทางที่กำลังตอดรัดของหญิงสาว
“ข้ารักท่าน” หานว่านอี้เอ่ยทั้งที่ดวงตาใกล้จะปิดสนิทเต็มที
“ข้าก็รักเจ้า นอนเสียเถอะ เมื่อยามรุ่งเช้ามาถึงทุกคนคงรอฟังข่าวดีอยู่” ชุยเทียนหนิงกล่าวก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากมนของหานว่านอี้ แล้วกอดก่ายนางเอาไว้แนบอกตลอดทั้งคืน
รัตติกาลผันเปลี่ยนไปเป็นรุ่งอรุณอีกครา แสงแดดอ่อน ๆ รำไรสาดส่องเข้ามาภายในห้องที่ทั้งคู่หลับนอนก่อนที่หานว่านอี้จะเป็นฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อน
นางอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่อยากจะนอนนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ เช้าแล้วท่านป้าจี้คงกำลังเตรียมสำรับให้แก่นางและชุยเทียนหนิง หานว่านอี้จึงคิดจะออกไปช่วย
“อ๊ะ!”
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ลุกไปไหน ฝ่ามือหนาของชุยเทียนหนิงที่เพิ่งรู้สึกตัวตอนหานว่านอี้ขยับก็มุ่งตรงมารั้งข้อมือนางเอาไว้เสียก่อน
“จะไปไหนหรือ ยังเช้าอยู่เลย”
“ข้าจะไปช่วยท่านป้าจี้เตรียมสำรับเจ้าค่ะ” หานว่านอี้ตอบกลับไป “มิต้องห่วง ข้าไม่หนีท่านไปไหนหรอก”
“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเพราะข้าเชื่อใจเจ้า แต่เรื่องเตรียมสำรับหาใช่หน้าที่ของเจ้าไม่ เมื่อคืนเพิ่งเหน็ดเหนื่อยไป พักสักหน่อยเถิด” ชุยเทียนหนิงเพียงแค่เป็นห่วงไม่อยากให้หานว่านอี้ต้องเหนื่อยก็เท่านั้น แม้ตอนแรกที่มาจะเพิ่งตั้งครรภ์อ่อน ๆ เขาจึงยอมให้หยิบจับอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ครรภ์นางเริ่มมีอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเหนื่อยมากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบแก่บุตรในครรภ์ได้
“แค่นิดหน่อยเองเจ้าค่ะ” หานว่านอี้หน้าแดงดั่งผลมะเขือเทศสุกงอม เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เพิ่งผ่านพ้นมาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะเป็นฝ่ายรุกหน้าเข้าหาชุยเทียนหนิงเอง
คิดแล้วก็ยิ่งเขินอาย ภาพความทรงจำย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็น ฉาก ๆ ว่านางนั้นได้ทำอะไรลงไปบ้าง
“เมื่อคืนเจ้าน่ารักน่าชังมากอี้เอ๋อร์” ชุยเทียนหนิงที่รู้ว่าอีกฝ่ายเคอะเขินก็ยิ่งกลั่นแกล้งให้ใบหน้างดงามนั้นแดงเข้าไปใหญ่
“ท่านเทียนหนิง!”
“เรียกข้าว่าท่านพี่เถิด ตอนนี้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว คงมิมีเรื่องให้เรียกชื่อสักเท่าไหร่” ชุยเทียนหนิงเปลี่ยนเรื่องยอมยกมือถอยให้แก่หานว่านอี้ เพราะนางนั้นเขินมากเกินกว่าจะพูดคุยต่อดี ๆ ได้แล้ว
“เจ้าค่ะ...อย่าแกล้งข้าเช่นนี้บ่อยนักนะเจ้าคะ หัวใจข้าจะวายเอา ท่านก็รู้ว่าข้าอาย”
“ข้ารู้ แต่ที่ข้าชมนั้นมาจากใจจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพราะอยากแกล้ง”
“ท่านพี่พอเถอะเจ้าค่ะ ตัวข้าจะระเบิดอยู่แล้ว” ใบหน้าหวานงดงามแดงปลั่ง อุณภูมิร่างกายสูงยิ่งกว่าคนเป็นไข้เสียอีก
“ฮ่ะ ๆ ข้าขอโทษ เจ้ามานี่มา” วงแขนหนาอ้ารอรับหานว่านอี้
ทั้งสองโอบกอดกันด้วยความรักใคร่ ช่วงนี้ชุยเทียนหนิงรู้สึกว่าตนเองนั้นยิ้มบ่อยกว่าทั้งชีวิตที่เกิดมาเสียอีก ตั้งแต่มีหานว่านอี้เข้ามาทุก ๆ อย่างมันก็สดใสไปหมด เขายิ้มง่าย หัวเราะง่าย มีความสุขมากขึ้น ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวเช่นแต่ก่อน
หานว่านอี้เองก็เคยคิดว่าบางทีตนเองอาจจะยิ้มไม่ออกไปตลอดชีวิตแล้วก็ได้ แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกเต็มตื้นมีความสุขและยิ้มได้ทุกวัน ทั้งหมดเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้และผู้คนแสนใจดีทั้งสิ้น นางอยากจะอยู่กับชุยเทียนหนิง ท่านป้าจี้เหมย และถงถง รวมทั้งบุตรในครรภ์ไปตลอด อย่าได้ให้มีอะไรเข้ามาพรากรอยยิ้มนี้ไปอีกเลย
“ข้าว่าเราควรบอกทุกคนเรื่องนี้กันเถิด” ชุยเทียนหนิงกล่าว
“ตอนไหนหรือเจ้าคะ”
“หลังมื้อเช้านี้เป็นอย่างไร” บัณฑิตหนุ่มเสนอด้วยความตื่นเต้น
“เรียกท่านป้าจี้กับถงถงมากินด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านจะติดอันใดหรือไม่” หานว่านอี้ยื่นข้อเสนอเพิ่ม นางอยากเล่าในตอนที่ทุกคนมีความสุขที่สุด
“เช่นนั้นก็ดีนะ ข้าคิดว่าทุกคนคือครอบครัว เพราะฉะนั้นการร่วมมื้ออาหารกันหาใช่เรื่องใหญ่ ไปเถิดอี้เอ๋อร์ ข้ารอไม่ไหวแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ดังนั้นทั้งสองคนจึงออกจากห้องนอนของตนเองไปยังชานระเบียง อันเป็นที่กินอาหารในยามเช้าของเรือนเฉิงอี้ ฝ่ายหานว่านอี้นั้นมีเรื่องจะบอกก็แค่ว่านางจะอยู่ที่นี่ต่อไป ส่วนฝ่ายของชุยเทียนหนิงเขามีเรื่องในใจอีกเรื่องหนึ่งที่คิดจะเอ่ยเช่นกัน แต่นั่นเป็นเรื่องที่หานว่านอี้ยังไม่รู้ และถ้าหากรู้ก็คงตกใจไม่น้อย...
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?