ตอนที่ 14 ปลุกความมั่นใจ

คืนนี้เป็นคืนแรกหลังจากย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ ที่ทุกคนได้กินดื่มอย่างเต็มที่ หลังจากที่กินมื้อเย็นเสร็จแล้ว จินเหอจึงพาเด็กๆ เข้านอน ส่วนวาวานั่งนับเงินที่ขายได้ในวันนี้ หลังจากจ่ายค่าเป็ดให้ป้าจูแล้ว เธอตั้งใจจะแบ่งเงินออกเป็นสามส่วน โดย

ส่วนแรก สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เหอวาวาให้ความสำคัญกับเงินส่วนนี้มาก เพราะคนต้องกินต้องใช้ ดั่งเช่นคำกล่าวที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าท้องอิ่มและนอนอุ่นไว้จึงมีเรี่ยวแรงทำงาน อีกอย่างลูกๆ ของเธอก็อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ความยากจน ความอดอยากครั้งที่เหอวาวายังเป็นนักศึกษาในชาติก่อน ทำให้เรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนที่จะมีความสุขเท่ากับการได้กินอิ่มนอนอุ่นแล้ว

ส่วนที่สอง คือเงินลงทุนสำหรับทำเกี๊ยวขาย พวกเธอขายเป็ดย่างเพื่อเอากำไรมาลงทุนขายเกี๊ยว หากถามว่าแล้วทำไมไม่ขายเป็ดย่างไปตลอด จะเปลี่ยนมาขายเกี๊ยวทำไม คำตอบแสนง่ายเลยคือ เป็ดย่าง ขายออกยาก เพราะราคาแพง ในยุคสมัยที่ผู้คนอดอยากและยากจนเช่นนี้ เป็นสินค้าที่เสี่ยงต่อการขาดทุนที่สุด ทั้งต้องใช้เวลาในการย่างนานกว่าจะได้แต่ละตัว ถ้าเกิดย่างไปแล้วไม่มีคนซื้อก็ต้องเข้าเนื้อ ลำบากหาเงินมาจ่ายค่าเป็ดให้ป้าจูอีก ถึงแม้ว่าจะได้เอาไว้กินเอง แต่ถ้าจะให้กินเป็ดย่างทุกวัน เหอวาวาคิดว่าตนเองคงไม่ไหว

วันนี้ที่เป็ดย่างขายดีอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นสินค้าร้านใหม่ แปลกใหม่ คนเลยยังอยากลองชิม ทว่านานไปคนไม่สามารถกินของแพงๆ ได้ตลอดไป เหอวาวาก็ไม่คิดจะขายเป็ดย่างไปตลอดอยู่แล้ว เธอทำตรงนี้เพื่อหาเงินทุนเท่านั้น

ส่วนสุดท้าย คือเงินเก็บสำหรับเอาไว้ใช้ฉุกเฉิน ถ้าไม่มีเรื่องอันใดให้ใช้มันจะถูกสะสมไว้สำหรับเอาไปคืนแม่ใหญ่

หลังจากที่ครอบครัวเธอมีทุนเอาไว้ทำร้ายขายเกี๊ยวแล้ว ส่วนของเงินที่ต้องเตรียมไว้ก็ต้องเพิ่มอีกส่วน นั่นก็คือค่าเรียนสำหรับลูกทั้งสามของเธอ การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ เธอจะไม่ยอมให้พวกเขาต้องหมดโอกาสในการเล่าเรียนแน่นอน

บนโต๊ะอาหารในจานนั้นคงเหลือเพียงเศษกับข้าวที่เด็กๆกินอิ่มแล้วเหลือทิ้งเอาไว้ วันนี้ลูกๆ ของเธอได้กินอย่างอิ่มหนำ โดยเฉพาะลี่หยางเขาเป็นคนค่อนข้างเลือกกิน ดังนั้นถ้าอาหารที่ไม่อร่อยและไม่ใช่จำพวกเนื้อสัตว์ก็แทบจะไม่แตะต้อง แต่เป็นเพราะวันนี้ขายเป็ดย่างได้มาก วาวาจึงออกไปซื้อของที่ตลาดนำมาทำกับข้าวแบบที่ลูกๆ ชอบได้อย่างครบความต้องการของทุกคน

“หลับกันหมดแล้วล่ะ ลี่จินพักนี้ดูเหมือนว่าจะแยกห้องนอนกับเราได้แล้ว” จินเหอเดินกลับมาหาภรรยาที่ยังนั่งจัดสรรเงินอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว เขาบอกภรรยาเสียงทุ้ม

“ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ลูกก็ต้องแยกห้องจากพวกเราอยู่ดีค่ะ เอาไว้ให้เรามีเงินทุนมากกว่านี้อีกสักหน่อย เราค่อยแยกห้องให้พวกเขาแต่ละคน จะได้เรียนรู้การอยู่และช่วยเหลือตัวเองแบบนี้น่าจะดีกว่า”

เหอวาวาเงยหน้าจากงานบนโต๊ะ เอ่ยแสดงความเห็นออกไป เมื่อเห็นสามีกลับมา วาวาจึงเก็บเงินทั้งหมดลงในโถปิดฝาเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปเก็บไว้ตรงชั้นในครัว ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้ว่ามันเป็นกล่องเก็บเงิน จินเหอเคยถามภรรยาว่าทำไมถึงเก็บเงินไว้ในห้องครัว วาวาตอบว่ามันไม่เป็นจุดสังเกต และคงไม่มีใครคิดว่าพวกเธอจะเก็บเงินไว้ที่นี่ เกิดมีโจรขึ้นมา เงินก็จะปลอดภัย เสร็จแล้วจึงเก็บจานไปไว้ที่อ่างล้าง

“สมัยที่ผมเป็นเด็ก ต้องนอนรวมอยู่ภายในห้องเดียวกันกับพวกพี่น้องลูกแม่ใหญ่ บางครั้งก็ถูกพวกเขารังแก บางครั้งพวกที่ทำอะไรผิดก็มักจะโยนความผิดมาให้ แต่ที่เลี่ยงไม่ได้ก็เป็นเพราะว่าอยู่ในกลุ่มคนหมู่มาก” จินเหอเห็นเช่นนั้นจึงได้เดินมาช่วยภรรยาเก็บจานบนโต๊ะไปให้ภรรยาอีกแรง

เหอวาวาวางจานที่ล้างอยู่ในมือลง นำจานทั้งหมดขึ้นผึ่งไว้ในตะแกรง หันมาพูดกับสามี

“นั่นก็เป็นเพราะคุณอยู่ผิดที่ยังไงล่ะคะ คนเราต่อให้ทำดีแค่ไหนแต่ถ้าอยู่ผิดที่ผิดทาง ก็จะไม่มีใครมองเห็นความดีของเรา ตัดสินใจถูกต้องแล้วที่ออกมาจากบ้านใหญ่ อีกอย่างตอนนี้สิ่งที่เราจะต้องมุ่งมั่นให้มากที่สุด ก็คือการเอาชนะคำดูถูกของแม่ใหญ่ให้ได้ค่ะ”

“ผมเองก็ยังคิดไม่ออก ว่าเป็นเพราะอะไรแม่ใหญ่ถึงจะต้องตามมาทวงเงินค่าเช่าทั้งที่ก็รู้ว่าบ้านหลังนี้พ่อบุญธรรมยกให้ผมแล้ว”

“นั่นสินะคะ ฉันเองก็ยังสงสัย แต่ถึงยังไงเราก็ไม่ต้องไปใส่ใจค่ะ ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานคุณจะต้องได้เอาเงินไปคืนให้แม่ใหญ่จนหมดแน่นอนค่ะ” วาวาเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ

“ผมดีใจเหลือเกินที่มีคุณเป็นภรรยา ผมไม่เคยคิดเลยว่าวาวาที่น่ารักของผมจะเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งขนาดนี้”

จินเหอเดินเข้ามากอดภรรยาด้วยความชื่นชม มันเป็นครั้งแรกที่วาวาถูกผู้ชายสวมกอดอย่างจริงจัง ก็เกิดอาการเขินขึ้นมาในทันที

“ทำไมคุณถึงยืนตัวแข็งแบบนั้น ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า”

“ปะ...เปล่าค่ะ วาวาแค่คิดว่าที่นี่ไม่ดี” คำว่าไม่ดีของภรรยาในอ้อมกอดนั้นหมายถึงว่าอากาศไม่ค่อยดี มีกลิ่นอาหารคลุ้งไปหมด

ทว่าคนเป็นสามีกลับเข้าใจไปคนละแบบ ชายหนุ่มรีบช้อนอุ้มเอาร่างของเหอวาวาขึ้นมาแนบอกในท่าเจ้าสาว

“ผมรู้แล้ว ว่าคุณก็ต้องคิดแบบเดียวกันกับผม เพราะฉะนั้นวันนี้ไหนๆ เราก็กินจนอิ่มท้อง เราสองคนถึงเวลาที่จะต้องไปดูแลกันและกันบ้างแล้ว”

กว่าเหอวาวาจะเข้าใจว่าจินเหอพูดนั้นหมายความว่ายังไง หญิงสาวก็ถูกสามีอุ้มมาจนถึงห้องนอน ชายหนุ่มบรรจงวางร่างของภรรยาลงบนเตียงด้วยความนุ่มนวล วาวาในร่างของคุณแม่ลูกสามก็ถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เมื่อรับรู้ว่าสามีกำลังจะทำอะไร

นี่เธอลืมไปได้ยังไงนะ หน้าที่ของภรรยา ความสัมพันธ์ในม่านมุ้ง แล้วจะทำยังไงดีล่ะ เธอไม่มีประสบการณ์นะ วาวาได้แต่นั่งตัวเกร็งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

ดังนั้นเมื่อจินเหอเริ่มจูบลงไปบนริมฝีปากบาง วาวาจึงเอาแต่นั่งตัวเกร็ง ไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้แต่น้อย

“วันนี้คุณดูแปลกไป ไม่สิ คุณแปลกไปตั้งแต่เป็นลมหัวฟาดพื้นแล้ว คุณเบื่อผมแล้วใช่ไหม ที่ผมเป็นสามีไม่เอาไหน ไม่สามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ทำให้คุณกับลูกต้องลำบาก” จินเหอผละใบหน้าออกมาจากริมฝีปากของวาวา พลางเอ่ยออกมาด้วยความน้อยใจ

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะจินเหอ คุณเป็นสามีที่ดีที่สุดรู้บ้างหรือเปล่า ในตอนที่ฉันทำงานยุ่งวุ่นวายคุณก็ยังพยายามดูแลลูกๆ แทนฉันได้อย่างเต็มที่ แบบนี้จะเรียกว่าไม่ใช่สามีที่ดีได้ยังไงกัน” เหอวาวายกมือขึ้นมาปิดปากสามีอย่างอ่อนโยน

“ผมปวดใจทุกครั้งที่เห็นคุณทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือว่าเมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านใหญ่ และยังเป็นคุณที่คิดทำการค้าเป็นร้านของบ้านเรา ผมนี่มันไม่เอาไหนอย่างที่แม่ใหญ่ว่าจริง ๆ”

เมื่อรู้ว่าสามีรู้สึกยังไง เหอวาวาก็ยิ่งตกหลุมรักสามีคนนี้ยิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่ด้วยกันยังไม่นาน แต่อาจจะเป็นเพราะความผูกพันของร่างนี้ รวมถึงความเอาใจใส่ที่จินเหอแสดงออกมาตั้งแต่เหอวาวาได้มาอาศัยอยู่ในยุคนี้

เธอเข้าใจความรู้สึกของจินเหอได้เป็นอย่างดี ใครจะอยากเป็นคนไม่เอาไหน เป็นผู้ชายที่ดูแลภรรยาและลูกๆ ไม่ได้ งานก็ไม่มีทำ หัวทางการค้าก็ไม่มี อีกทั้งตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาก็คล้ายจะเป็นตนเองที่เป็นต้นคิดเรื่องต่างๆ แล้วจินเหอผันตัวไปดูแลลูกๆ แทน

มันเหมือนหน้าที่หัวหน้าครอบครัวกับหน้าที่ของภรรยาจะสลับตำแหน่งกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จินเหอสูญเสียความมั่นใจและรู้สึกปวดใจลึกๆ วาวาจึงคิดอยากจะปลุกความมั่นใจของสามีให้กลับคืนมา เธอไม่ได้ต้องการสามีที่เก่งกาจอะไรมากมาย ขอเพียงแค่รักและซื่อสัตย์กับเธอเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว สำหรับสาวยุคสองพันที่ทำงานหนักมาตั้งหลายปี เรื่องแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก

แต่ก่อนอื่นจะต้องทำยังไงถึงจะปลุกความมั่นใจของสามีกลับคืนมาให้ได้ จินเหอมีอะไรที่ทำได้ดีบ้างไหมนะ วาวาครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย

มันต้องมีสักอย่างสิที่สามีของวาวาทำได้ดี

เหอวาวาเพื่อที่จะปลอบใจสามีของเธอจึงระงับความเขินอาย ยกมือทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบคอของชายหนุ่ม พร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน ทั้งยังหอมแก้มของจินเหอไปอีกทั้งสองข้าง

เอาแก้มไปก่อนนะ ก็คนมันไม่เคย มันเขินอะ วาวาได้แค่ข่มความเขินอายไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยปลอบใจสามี

“คุณเป็นสามีที่ดีที่สุดของฉัน ทุกคนย่อมจะต้องมีเรื่องที่ถนัดและไม่ถนัดเป็นของธรรมดา อย่าคิดอะไรให้มันมากเกินไป คุณเองก็น่าจะมีเรื่องที่ทำได้ดีที่สุดอยู่เหมือนกัน จริงไหมคะ”

จินเหอยิ้มออกมาพร้อมกับรีบพยักหน้า

“ผมมีเรื่องหนึ่ง ที่เคยได้รับคำชมเชยจากคุณเสมอ จำไม่ได้หรือ” จินเหอว่าพลางยกมือขึ้นโอบบั้นท้ายของภรรยาอย่างอ่อนโยน

เรื่องเมื่อก่อนคงไม่ต้องถามเพราะมันไม่ได้อยู่ในสมอง เมื่อมาเกิดเป็นวาวาคนใหม่ เธอก็ย่อมไม่หลงเหลือความทรงจำของวาวาคนเก่า แต่หญิงสาวก็ยังทำท่าทางพยักหน้าคล้ายเข้าใจ

“นั่นสินะคะแล้วคุณจะเครียดทำไมกัน ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าทำได้ดีที่สุดก็พอแล้ว”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ