วันทั้งวันของผมหมดไปกับการจัดห้องใหม่ พอเสร็จเรียบร้อย ผมก็ไม่รีรอที่จะไปซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อวัตถุดิบ ของกินของใช้ อาหารสำเร็จรูป น้ำดื่มหลากสีที่ชอบมากักตุนไว้ในห้องเสมือนว่าพรุ่งนี้จะเกิดน้ำท่วม
เท่านั้นยังไม่พอ ผมยังมีแก่ใจซื้อแป้นพิมพ์อันใหม่สำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์ราคาเฉียดสามหมื่นตามเทรนด์เกมเมอร์ชื่อดังหลายๆ คนมาไว้ด้วย ก็ถือว่าชีวิตนี้ยังต้องพึ่งพาแป้นพิมพ์ทำมาหากินไปอีกนาน จะซื้อทั้งทีก็ขอดีๆ หน่อยละกัน
ผมได้งานเป็นแอนิเมเตอร์ เป็นงานเกี่ยวกับการทำแอนิเมชันสามมิติโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยอย่างโปรแกรมมายา ซึ่งผมต้องทำงานในสตูดิโอกับทีมงานนับร้อยชีวิต ฟังดูอาจจะงงๆ แต่งานที่ผมทำก็คือสร้างการ์ตูนเหมือนพวกดิสนีย์ให้เด็กๆ ดูนั่นแหละ แค่เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่สำคัญในการทำแอนิเมชันสักเรื่องหนึ่ง
บ่นมาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มง่วงแล้วสิ หลังจากที่ทำภารกิจนับเก้าพันแปดร้อยอย่างจนเสร็จ อาบน้ำแต่งตัวเตรียมนอนเรียบร้อย จึงมานอนหน้าโซฟามองจอทีวีฉายหนังรอบดึกด้วยความง่วงงุน ตอนนี้ก็เกือบจะถึงเวลานอนจริงๆ แล้ว
ผมถือรีโมตมาปิดจอทีวี แล้วลุกขึ้นเตรียมเดินไปยังเตียงนุ่มๆ ที่ซื้อมาใหม่แกะกล่องด้วยความปรารถนาที่จะได้พักผ่อน แต่ทุกอย่างกำลังจะดี ถ้าไม่มีเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นจนผมสะดุ้งตกใจ
"โว้ววว เกือบไปแล้ว" อะไรกันเนี่ย ผมพยายามข่มกลั้นอารมณ์หงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่คิดว่าการมาอยู่คอนโดใหม่จะเจอเพื่อนบ้านไม่น่ารักแบบนี้
"อ้าาาห์ ช่วยด้วย ช่วยด้วยครับ ผมกำลังถูกพวกมันไล่"
"ก็บอกแล้วไง ผมอ่ะ โคตรเท่ห์เลยน้อนๆ"
น้อนๆ อะไรของมันวะ!? ผมที่กำลังจะนอน แต่อยู่ๆ กลับมีเสียงดังรบกวนแบบนี้ โทรแจ้งนิติฯดีปะวะ แต่จะโทรตอนนี้นิติฯก็ปิดอีก จะลงไปเรียกยามก็เสียเวลา ทำไงดีวะ
"แม่งงงง โกงว่ะ เชี่ย ทุกคนดู เห็นไหมครับว่าแม่งโกง"
เสียงยังคงดังเล็ดลอดอย่างไม่ขาดสาย ให้เดาคงจะเป็นสตรีมเมอร์อย่างแน่นอน พวกเกมเมอร์มาโชว์เล่นเกมส์ให้คนดู แต่เวลาแบบนี้ มันใช่ไหมวะ
เอาวะ ถือว่ายังอยากมีเพื่อนบ้านที่ดีอยู่ การเจรจาด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องที่น่าเกลียดสักเท่าไร ไม่จำเป็นต้องให้ถึงนิติฯหรอก เพราะการไปเรียนอเมริกามาสามปีทำให้ผมเป็นคนตรงๆ กล้าแสดงออก กับเรื่องแค่นี้ จิ๊บๆ
รู้ตัวอีกที ผมก็มายืนอยู่หน้าห้องต้นตอของเสียงพร้อมกับเคาะประตูเรียก
ทันทีที่ผมเคาะประตู จากเสียงโวยวายเมื่อกี้ก็เงียบไป เปลี่ยนเป็นความสงสัยที่ผมยืนรอมาพักหนึ่งเพื่อให้เจ้าของห้องออกมาคุยกันสักนิด
"มีอะไรเหรอครับ"
ไม่นานเจ้าของห้องแปดศูนย์หนึ่งก็เปิดประตูออกมา ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้ม มองคนตัวสูงใบหน้าหล่อ เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนอนที่กำลังสวมหมอนรองคออยู่
"สวัสดีครับ คุณห้องแปดศูนย์หนึ่ง"
แต่เอ๊ะ หน้าคุ้นจัง ผมขยี้ตาตัวเองภายใต้กรอบแว่นสายตาที่สวมอยู่ มองคนเจ้าของจมูกทรงหยดน้ำ ดวงตายาวรี ใบหน้าขาวละมุน พร้อมกับผมไฮไลท์สีน้ำตาลที่กำลังทำหน้าตกใจเมื่อเห็นผมเช่นกัน
"นินิโน่"
ชื่อของผมหลุดออกจากปากคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งที่ยังไม่ได้แนะนำตัว อยู่ ๆ ความทรงจำของผมที่พยายามจะลบลืม ภาพของหนุ่มนักเรียนร่างสูงที่ชอบนอนกอดผม เดินเล่นด้วยกัน แล้วมองตากันก็ผุดขึ้นมา
"ปัณณ์เหรอ" ผมตกใจจนเสียงสั่น เตรียมหันหลังวิ่งหนีทันทีด้วยความกลัว
"เดี๋ยวนินิโน่ เดี๋ยวดิ" ผมถูกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากระชากแขนไว้ พยายามจะสลัดหรือดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
เวรเอ๊ยย!! โลกมันกลมขนาดนี้เลยเหรอวะ
"อย่ามายุ่งกับกู" ผมด่ามันไป เพราะปัณณ์เป็นคนที่ผมเกลียดไปแล้ว แม้ว่าเราจะเคยดีกันขนาดไหน แต่มันจะไม่มีวันเหมือนเดิม
"เดี๋ยวดินินิโน่ ฟังกูก่อน ขอร้อง อย่าหายไปอีกเลย กูขอ" ผมไม่ฟังคำขอนั้น รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีสะบัดตัวเองอย่างแรงจนหลุดออกจากการจับกุมของไอ้ปัณณ์แล้วรีบวิ่งเข้าห้องตัวเองทันที แต่ก่อนที่จะปิดประตู ผมก็ตะโกนด่ามันไปด้วย
"เบา ๆ หน่อยไอ้สัส คนจะนอน เกรงใจหน่อย"
เมื่อกลับเข้ามาในห้องได้แล้ว ผมกลายเป็นคนละคน อยู่ดี ๆ ก็เศร้าจนอยากจะร้องไห้ออกมา ผมรีบเดินไปที่เตียง ขึ้นไปบนที่นอนแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงด้วยความเสียใจ
"คนแบบนั้น ทำไมต้องมาเจอกันอีก ทำไมวะ" ผมร้องไห้จนตัวสั่นเทา น้ำตาไหลออกมาเพราะอดีตมันกลับมาซ้ำเติมหัวใจของผม
อุตส่าห์หนี คิดว่าจะไม่เจอกันอีกแล้ว ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ ไม่ดีเอาเสียเลย
แล้วผมก็นอนร้องไห้จนหลับไป
.
.
เช้าวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาตอน 6:00 น. ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนเร็วหรือความเสียใจยังคงค้างคาอยู่ในความรู้สึกของตนเอง แต่ก็ดีอย่างหนึ่งที่การไปทำงานวันแรกของผมจะได้ไม่สาย
เมื่อคืนหลังจากที่ผมเจอกับมันแล้วก็ด่ามันไป เสียงของสตรีมเมอร์แฟนเก่าก็เงียบไปโดยปริยาย ส่วนตัวผมก็หลับไปเหมือนคนหมดสติ
แต่เพราะความสงสัยที่วกวนอยู่ภายในใจ ทำให้ผมจำเป็นต้องหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาและสวมวิญญาณเป็นนักสืบ เสิร์จชื่อของไอ้นักสตรีมเกมส์เมื่อวานในอินเทอร์เน็ต ไม่นานก็พบข้อมูลเพจ Punnano มาให้ผมได้สอดส่อง
"ปันนานิโน่" ชื่อเพจของมันแอบมีชื่อของผมสะกดอยู่ในนามสมมุติ โปรไฟล์เป็นตัวการ์ตูนใบหน้าหล่อเหลาใส่หมอนรองคอ พร้อมกับกำลังกดจอยอยู่ในมือ ผมขมวดคิ้วด้วยความอยากรู้จึงส่องต่อ ดูวีดีโอที่เจ้าตัวเคยสตรีมมาแล้วกว่าร้อยคลิป แถมยังมีผู้ติดตามแสนกว่าคน ผมไม่อยากจะเชื่อ นี่มันผันตัวไปเป็นนักสตรีมเกมส์ตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่อยู่ ๆ มีบางสิ่งที่ทำให้ผมหันมาสนใจกับเพจของมัน เมื่อเก้าชั่วโมงที่แล้ว เจ้าของเพจโพสต์ประโยคที่ว่า 'เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เขาก็ยังโกรธผมอยู่' พร้อมกับยอดไลก์ และคอมเมนท์นับพันจนผมตกใจ
ใช่แน่ว่ามันจะต้องโพสต์ถึงผมเพื่อเรียกร้องความสนใจ แม้ว่าผมจะบล็อกเฟสส่วนตัวของเจ้าตัวไปนานแล้ว แต่มันก็ยังสมัครใหม่มาสิบกว่าเฟสและทักมาไม่เลิก จนผมต้องเปลี่ยนเฟสของตัวเองและปิดการเข้าถึง แต่เพจเป็นอย่างเดียวที่ผมยังไม่บล็อกและยังคงดูได้อยู่
"มึงทำกับกูไว้ขนาดนั้น ทำไมกูต้องหายโกรธวะ" ผมพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเหวี่ยงโทรศัพท์ของตัวเองลงบนที่นอน แล้วลุกไปอาบน้ำเพราะกลัวเสียเวลา
สิบนาทีให้หลัง ผมก็จัดการตัวเองเสร็จ วันนี้ผมหล่อเป็นพิเศษเพราะตื่นเต้นกับการทำงานวันแรก เริ่มตั้งแต่ผมที่เซ็ตเป็นทรงปัดขึ้นนิดหน่อย ริมฝีปากที่ทาลิปมันให้ดูน่าสัมผัส และก็ไม่ลืมฉีดสเปร์ยเพิ่มกลิ่นตัวให้น่าเข้าหานิดหนึ่ง
วันนี้ช่างพิเศษ ผมมองตัวเองที่หน้ากระจกห้องน้ำ เช็คความหล่อของตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนรีบไปหยิบกระเป๋าเป้โน้ตบุ๊คกับโทรศัพท์บนเตียงแล้วออกจากห้องไปทันที
แต่คนที่ผมพยายามจะลืมกลับเสนอหน้ามาทำให้ผมจำ เมื่อผมเห็นมัน คนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นคล้ายคนพึ่งตื่น มันกำลังยืนถือตะกร้าผ้าเดินเข้าห้อง แต่ในจังหวะที่มันหมุนตัวกำลังจะเข้าห้องก็หันมาสบตากับผมพอดี
"นินิโน่" มันเอ่ยชื่อผม แต่ผมกำลังสับเท้าเดินหนี เพราะไม่อยากคุย "กูไม่ได้ตั้งใจจะแย่งทุนมึงเลยนะ"
"เหรอ" ผมหยุดเท้า เบะปากตอบกลับ หันหลังไม่ยอมมองหน้ามัน
"กูกดดัน กูทั้งรู้สึกไม่ดี กูเครียดหลายอย่างตอนนั้น แต่กูรักมึงนะ กูพยายามจะบอกเหตุผล แต่มึงกลับหายไปจากชีวิตกูแบบนี้ แล้วจะให้กูทำไงถ้าไม่ยอมมาคุยกันดีๆ" ผมข่มตาตัวเองแล้วมองไปที่มัน
ไอ้ปัณณ์ อดีตแฟนของผมที่แย่งทุนมหาวิทยาลัยคณะที่ผมอยากเรียนในกรุงเทพฯไปอย่างหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่มันรู้ และเข้าใจดีว่าทุนนั้นเป็นทุนที่ผมตั้งตาคอยมากแค่ไหน ทุนที่จะได้เรียนในคณะนิเทศศาสตร์กับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่กลับถูกแย่งไปโดยแฟนของตัวเองด้วยความไม่ยุติธรรม เพราะมันเป็นลูกของ ผอ.
พอนึกถึงทีไร มันก็ทำให้ผมหงุดหงิดทุกที
"ก็ชัดเจนแล้วนี่ว่ามึงตั้งใจ มึงก็ได้เรียนที่คณะนั้นทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นที่ของกู แถมยังมีความสุขกับชีวิตดีนี่" ผมกระแทกกระทั้นน้ำเสียงไม่พอใจ แต่มันกลับยืนนิ่งสงบอารมณ์เพื่อพยายามพูดกับผม
"กูเคยส่งข้อความอธิบาย มึงเคยอ่านบ้างไหม ก็เป็นซะแบบนี้ไง เอาแต่บล็อกหนี" ผมเงียบลงบ้าง เพื่อรอมันพูดให้จบ
"แล้วมันจะจบได้ไง ถ้ามึงไม่ฟังในสิ่งที่กูอยากจะบอก มันไม่ได้ง่ายเลยที่ต้องโดนพ่อบังคับให้โกงสอบชิงทุน เพื่อเอาทุนที่ไม่โปร่งใสเป็นของตัวเอง มึงก็รู้อ่ะว่าพ่อกูเป็นผู้อำนวยการ แม่กูก็เป็นคนมีชื่อเสียง เขาอยากให้กูได้ทุนนั้น กูเคยปฏิเสธแล้ว อยากสอบด้วยตัวเอง แต่พวกเขาไม่เชื่อว่ากูจะทำได้ เลยต้องโกง ถ้ากูไม่ทำตามเขา เขาก็จะตีกูอ่ะ"
ไอ้คนร่างสูงพูดแทบจะไม่หายใจ มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่เศร้าเหมือนคนจะร้องไห้ แต่ผมไม่อยากปักใจเชื่อ เพราะเหตุผลมันฟังไม่ขึ้น
"กูก็เห็นด้วยกับพ่อมึงนะ ที่เขาไม่ไว้ใจมึง เพราะถ้ามึงสอบเอง มึงก็ไม่ติดหรอก เพราะมึงโง่" ผมพูดแทงใจดำก่อนหันหลังเดินจากไป เพราะต้องรีบไปทำงาน แล้วก็ไม่อยากเสียเวลาทะเลาะด้วย
"เออ กูโง่ ถึงตอนนี้กูก็ได้เกรดแค่สองกว่าไงนิโน่ กูไม่ตั้งใจเรียน แคสเกมส์บ้าๆ ในห้องคนเดียว มึงฟังกูต่อได้ไหม"
ใครจะบ้าฟังผมไม่ฟังอะไรต่อทั้งนั้น แล้วก็ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วด้วย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?