ตอนที่ 1

ตลอดระยะเวลาการไปเรียนที่อเมริกาสามเกือบสี่ปี ชีวิตของผมเหมือนถูกกลืนกินเข้าไปในห้วงอากาศตลอดเวลา นับตั้งแต่ก้าวเท้าไปเรียนที่นั่น ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตในสถานที่ใหม่มันไม่ง่ายเลย 

ชีวิตที่ปราศจากเพื่อน คนที่รัก และสิ่งที่ชอบ นับเป็นความทรมานเหลือเกิน ขนาดความฝันที่ทุกคนต้องมี ผมยังแทบไม่มีเวลานึกเลยด้วยซ้ำ วันๆ ต้องหัดพูดภาษาอังกฤษเพื่อเอาตัวรอด ตอนซื้ออะไรกินก็ไม่ต่างกับการต้องเล่นเกมส์ด่านยากๆ เพื่อให้ผ่านไปได้ในแต่ละครั้ง

แต่ถึงอย่างนั้น สี่ปีในที่แห่งใหม่ คนใหม่ วัฒนธรรมใหม่ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เพราะสิ่งเหล่านี้เองทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น และเก่งขึ้นเหมือนมีพลังอยู่ในตัว 

แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่าจะรอดมาได้จนถึงตอนนี้

"เก่งมากเลยนะนิโน่" เสียงของพี่เนม พี่ชายของผมที่เอ่ยขึ้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ขณะที่ตัวเองกำลังยืนเหม่อเมื่อกี้ 

"ครับ เก่งอะไรครับ" ผมขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย สายตากวาดมองรอบคอนโดฯ ใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะเป็นบ้านใหม่ของผมด้วยความตื่นเต้น 

"เรียนจบแล้วไง ตอนแรกนึกว่าน้องชายพี่จะไม่รอดแล้ว" 

"อ๋อครับ พอดีมีเพื่อนช่วย มีโฮสต์น่ารักแล้วก็ใจดีด้วย คิดไม่ออกเหมือนกันครับว่าถ้าผมไม่มีเพื่อน ไม่มีโฮสต์ที่คอยดูแลตลอดสามปีจะเป็นยังไง"

ถึงผมจะบ่นว่าการใช้ชีวิตที่นั่นมันยาก แต่การปรับตัวในสังคมใหม่ก็ยังมีเรื่องดีเกิดขึ้นบ้าง ทุกที่มีพื้นที่ปลอดภัย เราแค่ต้องหาให้เจอ ง่ายๆ เลยก็แค่เริ่มต้นจากการเลือกคบเพื่อน หรือคอยดูแลเอาใจใส่คนที่จริงใจกับเรา เราก็จะได้สิ่งนั้นตอบแทน เลือกคบเพื่อนดี ก็จะได้สิ่งดีกลับมา 

"ดีแล้ว ถึงบอกไงว่าเก่ง" พี่เนมเอ่ยชมพร้อมกับส่งยิ้มให้กับผมก่อนจะเท้าสะเอวมองรอบห้องที่เขาเป็นคนซื้อให้ ไม่สิ พ่อกับแม่ด้วยที่ซื้อให้เป็นของขวัญต้อนรับกลับบ้านและที่ผมเรียนจบ แถมยังได้งานในสตูดิโอแอนิเมชันชื่อดังแถวสามย่าน ทุกคนเลยลงขันกันซื้อคอนโดฯให้ผมใกล้ที่ทำงานเสียเลย น่ารักจัง

"ชอบห้องไหม เนี่ย ทุกคนเลือกห้องมุมที่สวยที่สุดให้เลยนะ" 

ผมมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง ทุกอย่างบ่งบอกความเป็นตัวผม ห้องตกแต่งสไตล์มินิมอล มีชั้นหนังสือไม้ สมาร์ททีวีจอใหญ่ เครื่องซักผ้าพร้อมครัวน่าใช้ แถมมีตู้เย็นกับไมโครเวฟอีกด้วย เพียงเท่านี้ผมก็พอใจแล้ว เหลือก็แค่เอาของ ของตัวเองที่ขนมาจัดห้องเพิ่มเติม 

"ชอบครับ ขอบคุณนะครับพี่เนม" ผมตอบพร้อมรอยยิ้มประดับทั่วใบหน้า

"อืม น้องชอบพี่ก็ดีใจละ" พี่เนมชูนิ้วโป้งให้ก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไปจากห้อง

"งั้นพี่กลับแล้วนะ มีอะไรอยากได้อะไรก็โทรมาบอกแล้วกัน" 

"ครับ มาพี่ เดี๋ยวผมลงไปส่ง"

"ไม่ต้องๆ อยู่จัดห้องไปเนี่ยแหละ"

ผมที่วิ่งไปหาพี่ชายดันถูกปฏิเสธ กะจะไปส่งแต่ถูกห้าม ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

"ครับพี่ ว่างแล้วอย่าลืมชวนพ่อกับแม่มาเยี่ยมด้วยนะ" 

ผมพูดเหมือนพ่อกับแม่ตัวเองอยู่ไกล ทั้งที่ในความเป็นจริง นั่งเครื่องบินมาแป๊บเดียวก็ได้กอดกันอย่างอบอุ่นแล้ว

เนื่องจากครอบครัวของผมพื้นเพเป็นคนขอนแก่น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ที่บ้านซื้อคอนโดฯให้ผม ก็เพราะได้งานที่กรุงเทพฯเนี่ยแหละ

"อืม ๆ เออนิโน่ ตอนพี่เก็บพวกหนังสือให้อ่ะ เจอรูป โพลารอยด์อยู่ในซอกชั้นหนังสือ"

พี่เนมที่กำลังจะกลับอยู่แล้วหมุนตัวมาทางผมเหมือนคนที่เผลอนึกอะไรได้ก่อนจะหยิบรูปออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นส่งมาให้ ผมเลิกคิ้วเพราะไม่รู้ว่าพี่เนมหมายถึงอะไร 

รูปโพลารอยด์สามใบถูกยื่นมาตรงหน้า ภาพถ่ายสีสันจืดจางไปตามกาลเวลา ในภาพคือผมในชุดนักเรียนกำลังกระโดดกอดคอคนตัวสูงกว่าอยู่

คนๆ นั้นที่ผมกอดคอ เป็นคนที่ผมเกือบจะลืมไปแล้ว 

"ที่บอกว่าอยู่ที่นั่นได้เพราะเพื่อนกับโฮสต์ดี กลับมาที่นี่ก็ต้องปรับตัวใหม่รู้ไหม ถ้าคิดถึงเพื่อน คิดถึงครอบครัวก็กลับมาได้นะ"

"โธ่พี่ พรุ่งนี้เข้าทำงานวันแรกไง ถ้าอยากกลับคงกลับไปนานแล้ว" ผมเสียงสั่นขณะที่เอื้อมมือไปรับภาพโพลารอยด์ที่ผมอุตส่าห์ซ่อนมันไว้ในชั้นบนสุดของชั้นหนังสือที่บ้าน ลืมไปแล้วว่ามันยังอยู่ ถึงแม้ว่ารูปจะเก่า แต่คนในภาพกลับทำให้ผมรู้สึกใจสั่นไม่ต่างอะไรกับตอนแรกเจอ 

"หาเพื่อนที่ไทย หาให้ได้เหมือนปัณณ์นะ" 

พี่เนม!! 

ผมเรียกชื่อพี่ชายตัวเองในใจที่รื้อฟื้นความทรงจำที่เจ็บปวดของผม หลังจากประโยคนั้น พี่ของผมก็โบกมือลาแล้วเดินจากไปอย่างหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมยืนถือรูปโพลารอยด์ด้วยความเจ็บปวด

ปัณณ์ แฟนเก่าของผม 

มีบางเรื่องที่ทำให้เราต้องเลิกลากันไป 

เราไม่ได้เอ่ยขอโทษกัน หรือแม้แต่จะบอกลาในวันที่จากไกล 

เกือบสี่ปีแล้ว ที่ผมพยายามจะไม่นึกถึงคน ๆ นั้น

"ชิ ใครสน"

ผมเบะปาก ทำเป็นไม่สนใจมันอีก ผมโยนรูปเหล่านั้นทิ้งในถังขยะหน้าห้องน้ำ แล้วไปจัดห้องต่อ 

ชีวิตคนเราต้องเดินต่อ อย่ามัวแต่ยึดติดกับอดีต 

เพราะผมคือนิโน่คนใหม่

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ