ในคาเฟ่ใกล้มหาวิทยาลัย ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้าไปสั่งกาแฟก่อนจะเลือกมุมสงบๆ นั่งลงเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาผู้คน
แต่ถ้าถามว่าจะหลีกเลี่ยงได้ขนาดนั้นไหม... ก็ไม่อยู่ดีนั่นแหละ เพราะแค่ก้าวเท้าเข้ามา สายตาของหญิงสาวในชุดนักศึกษาหลายโต๊ะก็พากันจับจ้องมาที่เขาแล้ว
“นั่นมันเดือนคณะแพทย์หรือเปล่าแก”
“ฉันว่าใช่นะ”
“ตัวจริงหล่อดีเนอะ”
และอีกมากมายที่เป็นคำชมเรื่องความดูดี แน่นอนว่ามันได้ไหลเข้ามาในหูเขาทั้งหมด
แต่นนท์รทีชินกับเสียงและสายตาที่จับจ้องมาแล้วล่ะ... ก็ได้ยินมาตั้งแต่ตอนที่ประกวดเดือนคณะแล้วนี่
“ว่าไงคุณเดือนสุดหล่อ~”
จะมีที่ทำให้รำคาญมากขึ้นหน่อย ก็เป็นเสียงแหลมๆ ของยัยเพื่อนสนิทนี่แหละ
“ไม่ต้องมาแซวกูเลยไอ้แพร คราวก่อนกูยังไม่ทันได้คิดบัญชีกับมึงเลย”
พอเห็นนนท์รทีหันมาค้อนวงใหญ่ให้ แพรก็ต้องขมวดคิ้วยุ่งชี้หน้าตัวเอง “กูไปทำอะไรให้มึง?”
“เรื่องผู้หญิงชัวร์”
นั่นเป็นเสียงของซันที่เดินตามมาติดๆ ก่อนจะลากเก้าอี้นั่งลง จิบกาแฟทำหน้าเนือยแต่ดูรู้ว่ากำลังรอฟังอย่างตั้งใจ
“ไอ้ซันเดาถูก” นนท์รทีเฉลยก่อนหันกลับมามองคาดโทษที่เพื่อนผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มซึ่งนั่งลงโดยมีสีหน้าฉงนไม่หาย
“เพราะมึง กูกับพี่ไอเลยทะเลาะกันเลย”
“หา?... กูเนี่ยนะ?” แพรทำหน้ายุ่งหนักกว่าเดิม “ไหนเล่ามาซิ”
ดูสีหน้าของเธอไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย นั่นทำให้นนท์รทีรู้สึกอยากจะด่าให้ลืมเลขที่ห้องเช่าสักที
“เพราะว่ามึงลากกูไปกินอาหารญี่ปุ่นเมื่อวันก่อน แล้วพี่ไอดันมาเห็นเลยเข้าใจผิด กว่ากูจะง้อได้แทบกระอักเลือดเลย”
“แล้วทำไมไม่กระอักเลือดตายไปจริงๆ เลยวะ”
แพรว่าออกมา นนท์รทีก็ยื่นมือไปผลักหัวเธอจนแทบล้มจากเก้าอี้
“โอ๊ย! กูเพื่อนมึงนะ” แพรหันมาโวย
“แล้วไง มึงทำกูเข้าใจผิดกับพี่ไอ นี่เขาคิดว่ากูเอาไอ้น่าลิงอย่างมึงเป็นกิ๊ก”
“โถ... กลับไปบอกพี่ไอของมึงด้วยนะ ว่ากูก็ไม่เอาไอ้หน้าหมาอย่างมึงเหมือนกันแหละ”
“พวกมึงหยุดทะเลาะกันสักที”
ซันต้องเข้ามาแทรกกลางพร้อมกับจับมือที่เตรียมผลักหัวอีกฝ่ายของทั้งคู่ลง ก่อนที่จะกลายเป็นจุดสนใจของคนในคาเฟ่มากไปกว่านี้
พักหนึ่งตอนที่ทั้งคู่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว ซันก็เริ่มไล่เรียงเรื่องราวจากที่ฟังนนท์รทีเกริ่นก่อนหน้านี้
“มึงบอกว่าพี่ไอหึงมึง?” ซันถามย้ำ
“ใช่ โกรธหนักเลยด้วย”
“แล้วไหนมึงบอกว่ามึงกับพี่เขาแค่เล่นๆ กัน”
แต่พอถามย้ำอีกทีแบบนี้ นนท์รทีก็กลับนิ่งไป
“เออ ถ้าเล่นๆ กันแล้วทำไมหึงได้วะ?”
คราวนี้แพรเสริมขึ้นมา นนท์รทีก็ยิ่งต้องหลบสายตา ดูดกาแฟกลบเกลื่อนระหว่างคิดคำตอบ
“คือ...กูว่าความจริงมันก็เริ่มจะไม่ค่อยเหมือนแค่เล่นๆ กันแล้วล่ะ”
พอโดนสายตากดดันมากๆ เข้า สุดท้ายนนท์รทีก็ต้องยอมบอกออกไป
และนั่นก็ทำให้ซันกับแพรต้องตบเข่าพร้อมกัน
“กูว่าแล้ว ไอ้ที่บอกว่าเล่นๆ มันเป็นอย่างนี้ทุกราย” ซันพูดเหมือนเห็นอนาคต ส่วนแพรก็ส่ายหน้า “แล้วอย่างนี้มึงก็ต้องยุติความสัมพันธ์อะดิ”
“จะบ้าเรอะ! ใครจะไปยอมเลิกวะ!”
แต่พอได้ยินอย่างนั้น นนท์รทีก็โวยขึ้นมาทันที เรียกว่าไม่ใช้เวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
เพราะว่าเขาเองก็หึงหวงไอรดาเหมือนกัน ยังแสดงออกมากกว่าเธอด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้หรือจะไปกล้ายุติความสัมพันธ์
“มึงก็รู้สึกเหมือนพี่คนนั้นสินะ”
ซันดูดกาแฟไปพลางส่งสายตาเหมือนรู้ทันมาให้ ซึ่งนนท์รทีก็ต้องถอนหายใจยอมรับเต็มเสียง “เออดิ รักจนจะเป็นบ้าตายแล้ว”
“อ้าว... ถ้างั้นมึงจะรอพ่อตัดริบบิ้นรึไงล่ะ ไม่ขอคบไปให้มันจบๆ เลยวะเพื่อน”
แพรเอียงคอถามแต่กลับยิ่งทำให้นนท์รทีมีสีหน้าเหนื่อยใจมากกว่าเดิม
“นี่ไอ้แพร ถ้ามันง่ายขนาดนั้น กูไม่มานั่งกลุ้มจะตายห่าอย่างนี้หรอก”
“แล้วมันมีอะไรยากล่ะ? ใจตรงกันก็คบเลยสิ” แพรเชียร์อย่างออกหน้าออกตา
“คือ...พี่เขากลัวว่าถ้าผูกมัดกันแล้วจะต้องมานั่งเสียใจทีหลัง อีกอย่าง กูอายุน้อยกว่าพี่เขาตั้งเจ็ดปี เขาคงกลัวเรื่องความไม่มั่นคงนั่นแหละ”
ความจริงแล้วถึงไอรดาจะไม่เคยบอกเหตุผลที่เธอไม่ยอมคบกับนนท์รทีให้รู้ แต่ด้วยความที่เขารู้จักเธอดี ถึงได้เดาออกว่าทำไมเธอถึงไม่อยากสานต่อความสัมพันธ์นี้
ถ้ามองในมุมกลับ ตัวเขาเองเป็นแค่นักศึกษาปีสอง ยิ่งหน้าตาดีคารมเป็นเลิศแบบนี้ ไอรดาจะระแวงก็ไม่เห็นแปลกเลย
“งั้นมึงก็ต้องแสดงให้เขาเห็นสิว่ามึงจริงจัง”
แพรแนะนำ คราวนี้นนท์รทีก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาทำตาวาว “ยังไง?”
“ก็จีบสิวะเพื่อน นี่มึงมีหน้าหล่อๆ ไว้ประดับโปรไฟล์อย่างเดียวรึไง? ถามอะไรโง่ๆ”
แนะนำอย่างเดียวน่ะพอทน แต่ไอ้คำด่าที่พ่วงท้ายมาเป็นชุดนี่มันอะไรกัน
นนท์รทีได้รับคำตอบจากแพรแล้วก็กัดฟันแน่น แต่เขาไม่อยากจะด่าออกไปเพราะเดี๋ยวจะทำให้ยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นกูคงได้เป็นแฟนพี่ไอไปแล้วล่ะไอ้แพร”
ที่ผ่านมานี่มันไม่พอหรือไงล่ะ? นนท์รทีทั้งซื้อของมาจีบ ทั้งหยอดคำหวาน ทั้งเอาตัวเข้าแลก ออดอ้อนเอาใจสารพัด เรียกว่าเขาลองมาทุกวิถีทางแล้วด้วยซ้ำ เหลือก็แต่ไม่ได้ให้ของชิ้นใหญ่ๆ อย่างพวกบ้านรถหรือที่ดินเท่านั้นเอง
พอเห็นนท์รทีทำหน้าหงอยซึม จากที่ด่าอยู่เมื่อครู่ก็กลายเป็นแพรยื่นมือมาตบหลังเพื่อนเบาๆ เป็นการปลอบใจเสียอย่างนั้น
“เอาน่ะไอ้นนท์ มึงไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกกันว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน...”
“สุดท้ายหินบอกว่าหยดอยู่ได้ทุกวัน รำคาญจะตายชัก”
อันนี้เป็นซันที่พูดขัดขึ้นมา ให้แพรต้องหันขวับส่งสายตาคาดโทษพร้อมว่าเสียงเขียว “ไอ้ซัน เพื่อนมึงซึมเป็นหมาโดนยาเบื่อแบบนี้ยังมีกะใจมาช็อตฟีลอีก!”
“โทษที จังหวะมันได้”
ซันยักไหล่ว่าเหมือนไม่ค่อยรู้สึกผิดเท่าไหร่
แต่ช่างเถอะ ความจริงนนท์รทีรู้วิธีการอยู่แล้ว เขาแค่ต้องการให้เพื่อนๆมานั่งฟังเขาระบายแค่นั้นเอง
“จริงๆกูก็ใช้หลักการอย่างที่ไอ้แพรบอกอยู่นั่นแหละ แต่คงต้องรอดูกันไปก่อนว่าสุดท้ายแล้ว...หินจะทนกูได้ไหม”
เขาทิ้งคำพูดไว้อย่างนั้น เมื่อยกข้อมือดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าถึงเวลาไปรับไอรดา ก็หยิบกระเป๋าลุกขึ้นทันที
“ไปนะ กูไม่อยากให้พี่ไอรอนาน”
“เออๆ โชคดีแล้วกัน”
ทั้งซันและแพรต่างก็โบกมือพร้อมส่งคำอวยพรสั้นๆ ตามประสาเพื่อน
เมื่อร่างสูงของเดือนคณะแพทย์เดินออกไปจนหายลับไปจากระยะสายตาแล้ว แพรก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ซัน มึงว่าไอ้นนท์จะจีบพี่คนนั้นสำเร็จไหม”
“จะไปรู้เรอะ กูหน้าเหมือนหมอดูรึไง”
“อย่างน้อยมึงก็เรียนหมอมานะ”
แพรมีรอยยิ้มทะเล้น นั่นทำเอาซันต้องส่ายหน้ารัวอีกหน “เลิกเล่นมุขฝืดๆ สักที มึงจะทำกูปวดกบาลยิ่งกว่าสอบไฟนอลอยู่แล้วเนี่ย”
โดนคนขี้รำคาญว่าเสียงเนือยอย่างนี้ แพรกลับยิ่งหัวเราะชอบใจกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไป
“คืนนี้มึงไปนอนห้องกูอีกนะ กูเหงา”
“กูนอนมาสามอาทิตย์แล้ว มึงยังไม่หายเหงาอีกเหรอ”
“ยัง”
ตั้งแต่ที่เธอเลิกกับแฟน ก็ได้ซันนี่แหละที่คอยปลอบใจ
ถึงแม้จะเย็นชาปากร้ายไปหน่อย แต่ผู้ชายคนนี้ก็คอยอยู่ข้างเธอไม่ไปไหนมาตั้งนานแล้วนี่นะ
จากนี้...คิดว่าคงขาดไม่ได้ซะแล้วล่ะ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?