ตอนที่ 14. แยกบ้าน

“กะ...แก” หัวเฉินหรูพูดได้เพียงเท่านั้น ก็ต้องหันไปมองประตูเมื่อมีเสียงเปิดเข้ามา

เป็นหลิวอี้หานกลับมาจากทำงาน เขาเดินเข้าบ้านมาคนเดียวด้วยท่าทางอิดโรย กระเป๋าเอกสารห้อยอยู่ที่ข้อมือ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เคยรีดจนเรียบตึงยับย่นไปตามเวลาทำงานอันยาวนาน

ใบหน้าที่เคร่งเครียดอยู่แล้วของเขายิ่งบึ้งตึงขึ้นไปอีกเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติ สายตากวาดมองไปยังแม่และน้องสะใภ้ที่กำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่กลางลาน

“เกิดอะไรขึ้นครับแม่?” เขาเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงความหงุดหงิดที่ต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายหลังเลิกงาน

“นังเมิ่งเหยามันมาขอแยกบ้าน!” หัวเฉินหรูหันขวับมาทางลูกชาย ดวงตาและน้ำเสียงฉายแววโกรธจัด

“แยกบ้าน?” หลิวอี้หานขมวดคิ้ว สายตาที่เคยมองแม่เบนไปที่น้องสะใภ้ “แยกออกไปทำไม?”

หลิงเมิ่งเหยายืนตัวตรง สายตามั่นคงไม่หลบเลี่ยง

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของพี่ใหญ่” น้ำเสียงเยือกเย็นของเธอทำให้ทั้งแม่และพี่ชายสามีชะงัก “ฉันไม่ได้มาขออนุญาต ฉันแค่มาบอกเท่านั้น”

เธอจูงมือหลิวอันอันเดินกลับเข้าห้องของเรือนตะวันตก เสียงฝีเท้าของสองแม่ลูกดังก้องในความเงียบ ทิ้งให้หลิวอี้หานและแม่ของเขายืนอึ้งอยู่กลางลานบ้านที่เริ่มมืดลงทุกที

ในเรือนตะวันตก หลิวอันอันนั่งลงบนเตียงไม้เก่า เสียงลั่นเอี๊ยดดังขึ้นตามน้ำหนักตัวของเด็กน้อย ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าของแม่ที่กำลังวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ

“แม่คะ...” เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลิวอันอันลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “แม่จะแต่งงานใหม่เหรอคะ?”

คำถามนั้นทำให้หลิงเมิ่งเหยาชะงัก รู้สึกใจหายเมื่อได้ยินน้ำเสียงกังวลของลูก เธอวางมือที่กำลังจัดของบนโต๊ะ หันมาคุกเข่าลงตรงหน้าหลิวอันอัน จับมือเล็กๆ ที่กำลังสั่นเทาของลูกสาวไว้แน่น

“อันอัน หนูอย่าไปฟังคำพูดของย่า” หลิงเมิ่งเหยากล่าวเสียงนุ่ม ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเมื่อครู่อ่อนโยนลง “คนนั้นเป็นแค่เจ้านายของแม่”

หลิวอันอันเงยหน้ามองแม่ แววตาฉายความเข้าใจที่เกินวัย เธอพยักหน้าช้าๆ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของหลิงเมิ่งเหยาอุ่นวาบ

เด็กน้อยขยับเข้ามากอดแม่ ซุกใบหน้าลงกับไหล่ของหลิงเมิ่งเหยา กลิ่นอายคุ้นเคยของแม่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ความกังวลที่มีเริ่มจางหาย

เสียงทะเลาะและบ่นว่าจากห้องโถงแว่วเข้ามาเบาๆ แต่ในห้องของสองแม่ลูกกลับเต็มไปด้วยความสงบ ราวกับเป็นโลกอีกใบที่แยกออกมาจากความวุ่นวายภายนอก โลกที่มีเพียงความรักและความเข้าใจระหว่างแม่ลูกคู่นี้

หลิวอี้หานเดินวนไปมา เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นไม้ดังเป็นจังหวะ สายตาของเขากวาดมองนาฬิกาแขวนผนังเป็นระยะ เข็มนาฬิกาที่เดินเรื่อยๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ยความอดทนของเขา

“ป่านนี้แล้ว ทำไมจื่อหลานยังไม่กลับบ้านอีก” เขาบ่นพึมพำ น้ำเสียงแฝงความหงุดหงิด ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้

หัวเฉินหรูนั่งกอดอกอยู่อีกมุมหนึ่ง ใต้แสงไฟสลัวใบหน้าเหี่ยวย่นของหล่อนยิ่งดูบึ้งตึง

“ตั้งแต่นังเมิ่งเหยามันไม่ทำงานบ้าน ฉันต้องทำเองทุกอย่าง” หล่อนบ่นเสียงแหบแห้ง มือเหี่ยวย่นลูบหัวเข่าที่ปวดตึง “หลังก็ปวด เข่าก็เสื่อม”

พัดลมเพดานหมุนช้าๆ ส่งเสียงครืดคราดเป็นจังหวะ คลอเคล้าไปกับเสียงบ่นของหัวเฉินหรู การวิพากษ์วิจารณ์ของสองแม่ลูกดำเนินต่อไปราวสามสิบนาที พวกเขาพูดถึงทุกเรื่อง ตั้งแต่ความไร้น้ำใจของหลิงเมิ่งเหยา ไปจนถึงความดื้อดึงของหลิวอันอัน

จนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์ดังแว่วมาจากหน้าบ้าน หลิวอี้หานพรวดพราดลุกจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ไปที่หน้าต่าง ภาพที่เห็นทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ กำมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด

แสงจากหลอดไฟหน้าบ้านส่องให้เห็นว่าจางจื่อหลานก้าวลงจากรถด้วยท่าทางราวกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ กระโปรงรัดรูปทรงดินสอสีฟ้าอ่อนขยับตามจังหวะก้าวเดิน ในมือถือถุงหลายใบ เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นซีเมนต์ผสานกับเสียงฮัมเพลงเบาๆ จางจื่อหลานเปิดประตูเข้าบ้าน จังหวะที่จะเดินผ่านห้องโถงจำต้องหยุดฝีเท้า

“นี่มันหมายความว่ายังไงจื่อหลาน?” หลิวอี้หานพุ่งเข้าไปคว้าแขนภรรยาไว้แน่น ความโกรธที่สะสมมาทั้งวันระเบิดออกมาในน้ำเสียง “ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร?”

จางจื่อหลานยืนนิ่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนจะสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของสามี

“พี่อี้หาน มันจะมากไปแล้วนะ” น้ำเสียงเยือกเย็นของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “เขาเป็นลูกค้าที่ฉันดูแลอยู่ เห็นว่าเย็นแล้วเลยมาส่งแค่นั้นเอง”

ถุงในมือของจางจื่อหลานส่ายไปมาตามแรงสะบัด กระดาษห่อของสีทองสะท้อนแสงไฟวูบไหว ยิ่งเป็นเหมือนเชื้อไฟที่จุดความโกรธของหลิวอี้หานให้ลุกโชน

“มันแค่นั้นจริงเหรอ?” เขาชี้ไปที่ถุงในมือภรรยา เส้นเลือดที่ขมับปูดโปน “นี่เธอซื้อชุดกับรองเท้าอีกแล้วเหรอ? ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าต้องประหยัด เพราะเราต้องเก็บเงินมาซ่อมบ้าน!”

“ฉันใช้เงินส่วนตัวซื้อเอง พี่จะเอาอะไรกับฉันอีก?” จางจื่อหลานหัวเราะเยาะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ฉันเหนื่อย อย่ามายุ่งได้ไหม!”

เธอสะบัดตัวอีกครั้ง ส้นรองเท้ากระทบพื้นดังกึกๆ ก่อนจะเดินจากไปไม่เหลียวกลับ ทิ้งให้หลิวอี้หานยืนกำมือแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและความอับอาย

หัวเฉินหรูที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองอย่างเงียบๆ ทิ้งให้ลูกชายยืนนิ่งอยู่กลางห้องโถง

เสียงทะเลาะเบาะแว้งดังมาจากเรือนตะวันออกตลอดทั้งคืน เป็นเสียงที่คุ้นเคยเกินกว่าจะทำให้ใครในบ้านรู้สึกแปลกใจ ค่ำคืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่ความสัมพันธ์ของผู้คนที่อาศัยในบ้านกำลังพังทลายลงทีละน้อย

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ