ตอนที่ 9. บางครั้งอาจจะไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว

หลิงเมิ่งเหยาก้าวออกจากห้องโถงของบ้านหลิวด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ความเจ็บปวดและความโกรธเกาะกินหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ทว่าความปวดร้าวยังคงอยู่ เหมือนก้อนหินที่กดทับอยู่ในอก

เมื่อมาถึงเรือนตะวันตก มือที่สั่นเทาพลันเปิดประตูไม้เก่าที่มีรอยปริแตก เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเบาๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หัวใจที่กำลังเจ็บปวดพลันอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย หลิวอันอัน ลูกสาวตัวน้อยกำลังนั่งเล่นกับหลานอิง พวกเขาสมมติบทบาทเป็นแม่ค้ากับลูกค้า เสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กน้อยเป็นเหมือนบาดแผลที่ทิ่มแทงหัวใจของหลิงเมิ่งเหยา ลูกของเธอสมควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้

“เมิ่งเหยา!” เสียงของหลานอิงเต็มไปด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำและร่องรอยน้ำตาบนใบหน้าของเพื่อนใหม่ เธอรีบลุกขึ้นเข้าไปประคอง “เกิดอะไรขึ้น มานั่งตรงนี้ก่อนนะ”

“ไม่...ไม่มีอะไรค่ะ พี่หลานอิง” หลิงเมิ่งเหยาพยายามปาดน้ำตาและฝืนยิ้ม แต่ริมฝีปากกลับสั่นระริก น้ำเสียงแหบพร่าของเธอทรยศความตั้งใจที่จะแสร้งเข้มแข็ง

หลิวอันอันวิ่งเข้ามากอดแม่ทันที ความอบอุ่นจากร่างเล็กทำให้หลิงเมิ่งเหยายิ่งสะอื้นไห้หนักขึ้น เธอโอบกอดลูกสาวแน่น ราวกับลูกคือสมอที่ยึดเหนี่ยวในยามที่ชีวิตพลิกผัน

“เมิ่งเหยา” หลานอิงเอ่ยเสียงนุ่ม มือที่อบอุ่นวางลงบนบ่าของเพื่อนรุ่นน้อง “ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เธอเป็นเพื่อนกับเหม่ยจู ก็เหมือนเป็นเพื่อนกับพี่ อีกอย่างในอนาคตเราก็จะทำงานด้วยกันแล้ว มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ คิดเสียว่าพี่เป็นพี่สาวคนหนึ่งก็ได้”

ความจริงใจในน้ำเสียงของหลานอิงทำให้กำแพงที่เธอพยายามสร้างไว้พังทลาย น้ำตาไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสะอื้นดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดผ่านหน้าต่างและเสียงนกกระจอกร้องแว่วมาแต่ไกล

หลิงเมิ่งเหยานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเก่า เธอรู้สึกถึงสายตาอบอุ่นของหลานอิงที่จับจ้องมาด้วยความห่วงใย และมือน้อยๆ ของหลิวอันอันที่กุมมือผู้เป็นแม่เอาไว้

“ฉัน...” หลิงเมิ่งเหยาเริ่มต้นเสียงแผ่ว ก่อนจะสูดหายใจลึก ราวกับกำลังรวบรวมความกล้า “ฉันกำลังกลุ้มใจมากค่ะ พี่หลานอิง”

หลานอิงไม่พูดอะไร เพียงแต่วางมือลงบนไหล่ของหลิงเมิ่งเหยาเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ

“อย่างที่พี่รู้...ฉันเป็นหม้าย” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย “ตั้งแต่สามีจากไป ชีวิตของเราสองคนแม่ลูกก็เหมือนใบไม้แห้งที่ปลิวไปตามลม”

เธอเหลือบมองหลิวอันอันซึ่งนั่งฟังอย่างเงียบๆ ดวงตาใสซื่อของลูกสาวทำให้หัวใจของเธอบีบรัด

“แม่สามีหาว่าพวกเราไร้ประโยชน์ เป็นภาระของบ้าน กินอยู่โดยไม่ต้องเสียเงิน” หลิงเมิ่งเหยาเล่าต่อ สายตาจับจ้องพื้นไม้เก่าซึ่งมีรอยผุพังเหมือนชีวิตของเธอ “เดือนที่แล้วแกเริ่มเก็บค่าเช่าจากเราห้าสิบหยวน ฉันไม่ได้ว่าอะไร…ฉันเข้าใจ”

หลิงเมิ่งเหยาหยุดพูดชั่วขณะ มือลูบผมลูกสาวเบาๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“ฉันพยายามทำงานหนัก เย็บผ้า ทำทุกอย่างที่พอจะหาเงินได้” เธอกลืนน้ำลายที่ขมฝาด “แต่วันนี้...วันที่ต้องจ่ายค่าเช่า แกกลับเปลี่ยนใจ บอกว่าต้องจ่ายหนึ่งร้อยหยวน”

เสียงหายใจของหลานอิงสะดุดเล็กน้อย แต่เธอยังคงนั่งฟังอย่างตั้งใจ

“ถ้าฉันหาเงินมาไม่ได้ภายในสามวัน...” เสียงของหลิงเมิ่งเหยาแผ่วลง “แกจะไล่เราออกจากบ้าน”

ห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงนาฬิกาเก่าที่ยังคงเดินต่อไป เหมือนเวลาที่ไม่เคยรอท่า และชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเจออุปสรรคเพียงใดก็ตาม

หลิวอันอันกอดแม่แน่นขึ้น ราวกับเข้าใจความหนักหน่วงของสถานการณ์ แม้จะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจทุกอย่าง แต่เด็กน้อยก็รับรู้ได้ถึงความทุกข์ของแม่

“ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี” หลิงเมิ่งเหยาส่ายหน้า น้ำเสียงที่กล่าวสั่นเครือ “ห้าสิบหยวนก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว แต่หนึ่งร้อยหยวน…ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะหาเงินจากไหน”

ดวงตาของหลานอิงฉายแววครุ่นคิด ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบางเบา

“เมิ่งเหยา...” หลานอิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวา “พี่มีความคิดหนึ่ง...”

หลิงเมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมอง แววตาที่หม่นหมองเริ่มมีประกายความสงสัยใคร่รู้

“มาอยู่กับพี่ไหม?” หลานอิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนี้พี่อยู่กับน้องสาว แต่เขากำลังจะย้ายไปอยู่เมืองหลวงสิ้นเดือนนี้ บ้านพี่มีห้องว่างพอดี เราแบ่งค่าเช่ากันคนละครึ่ง”

หลิงเมิ่งเหยานิ่งอึ้ง หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นระคนกังวล รู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ของหลิวอันอันที่กำมือเธอแน่นขึ้น

“แถมห้องว่างนั่นเราก็เอามาทำเป็นห้องทำงานด้วยกันได้” หลานอิงพูดต่อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “เธอออกแบบ พี่ตัดเย็บ แบ่งรายได้กัน คิดดูสิ มันจะวิเศษขนาดไหน”

คำพูดของหลานอิงเหมือนแสงสว่างที่ลอดผ่านเมฆหมอกหนาทึบ แต่หลิงเมิ่งเหยาก็ยังลังเล “แต่...แต่ว่าก่อนถึงสิ้นเดือน...พวกเราจะ...”

“พี่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง...ห้าสิบหยวนที่ขาดพี่ช่วยออกให้ เธอเอาไปจ่ายค่าเช่าให้แม่สามีไปก่อน พอให้อยู่ไปได้อีกเดือน พอถึงตอนนั้นบ้านพี่ก็ว่างพอดี” หลานอิงเสนอทางเลือก พร้อมส่งยิ้มอบอุ่นให้

“พี่หลานอิง...มันเกินไปแล้ว...ฉัน...” หลิงเมิ่งเหยาน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ

“เมิ่งเหยา” หลานอิงขยับเข้ามาใกล้ วางมือลงบนไหล่ของเพื่อนรุ่นน้อง “ก่อนจะปฏิเสธ ลองคิดถึงอันอันให้มากๆ นะ”

เธอหันไปยิ้มให้เด็กน้อยที่กำลังมองด้วยดวงตากลมโต “เธอเป็นผู้ใหญ่ ยังไงก็ทนได้ แต่อันอันยังเด็ก”

หลิงเมิ่งเหยามองลูกสาว หัวใจบีบรัดด้วยความรักและความห่วงใย เด็กน้อยต้องทนทุกข์มาพร้อมกับเธอตลอดหลายปีหลังจากที่สามีของร่างนี้เสียชีวิตไป

“เมิ่งเหยา เหม่ยจูเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว...เรื่องที่เธอต้องสู้ชีวิตคนเดียว เรื่องที่เธอทำทุกอย่างเพื่อลูก” หลานอิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็กล่าวต่อ “บางทีเราอาจจะช่วยเหลือกันได้นะ”

หลิงเมิ่งเหยานั่งนิ่ง มือยังกุมมือลูกสาวแน่น ความคิดมากมายวนเวียนในหัว ทั้งความกังวล ความกลัว และความหวังเล็กๆ ที่เพิ่งผลิบาน หลิวอันอันเองก็มองหน้าแม่ ดวงตาใสแจ๋วแฝงแววกังวลไม่น้อย

“พี่ก็อยู่คนเดียวมานาน” หลานอิงเอ่ยเบาๆ “บางทีการมีเพื่อนร่วมบ้าน มีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ก็อาจทำให้บ้านมีชีวิตชีวาขึ้น”

มุมปากของหลิวอันอันเริ่มมีรอยยิ้มบางเบา เธอเขยิบเข้าไปใกล้หลานอิง ท่าทางต่างไปจากปกติของเด็กน้อยที่มักขี้อาย หลิงเมิ่งเหยามองภาพตรงหน้า รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ ก่อขึ้นในอก...ความอบอุ่นที่เธอแทบลืมไปแล้วว่ามันเป็นอย่างไร

“ขอบคุณมากนะคะ พี่หลานอิง” หลิงเมิ่งเหยาเสียงสั่นเครือด้วยความซาบซึ้ง

เมื่อเวลาล่วงเข้ายามสาย หลานอิงลงมือช่วยหลิงเมิ่งเหยาจัดการกับชุดที่ต้องเร่งทำ เพื่อส่งให้ลูกค้าที่จ่ายเงินมัดจำมาแล้ว ทั้งสองคนช่วยกันตัดเย็บคนละไม้คนละมือ เสียงพูดคุยเบาๆ ทำให้ห้องเล็กๆ นี้อบอวลไปด้วยความหวังและมิตรภาพ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ