ตอนที่ 2. สิ่งที่หลิงเมิ่งเหยาต้องเจอ

บ้านตระกูลหลิวตั้งอยู่ในตรอกแคบของเมืองซูโจว กำแพงสูงสีเทาเข้มที่ก่อด้วยอิฐโบราณตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงทอดยาวไปตามแนวถนน ประตูไม้บานใหญ่สลักลวดลายมังกรคู่แสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีต แม้วันนี้สีทองบนลวดลายจะเริ่มหลุดลอกและซีดจาง ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม

เมื่อก้าวผ่านประตูเข้ามา ลานกว้างปูด้วยหินสีเทาทอดยาวไปจนถึงห้องโถงกลาง ซึ่งเป็นที่สำหรับรับแขกและใช้นั่งพักผ่อนหย่อนใจของคนในครอบครัว มีโต๊ะไม้ยาวตั้งอยู่กลางห้องพร้อมกับเก้าอี้วางไว้อย่างเป็นระเบียบ

บ้านตระกูลหลิวแบ่งเรือนออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน เรือนประธานอยู่ด้านในสุด เป็นที่พักของหัวเฉินหรู ถัดมาทางตะวันออกคือเรือนของ หลิวอี้หานและจางจื่อหลาน ลูกชายคนโตกับภรรยา ส่วนเรือนตะวันตกที่ดูเรียบง่ายกว่าคือที่พักของหลิงเมิ่งเหยาและหลิวอันอัน ลูกสาว

ลึกเข้าไปด้านหลังบ้านมีสวนที่ครั้งหนึ่งเคยงดงาม ต้นเหมยและต้นบ๊วยเก่าแก่ยืนต้นสูง แต่วันนี้กิ่งก้านแห้งเหี่ยว วัชพืชขึ้นรกปกคลุมทางเดิน สระน้ำที่เคยใสสะอาดบัดนี้มีแต่ใบไม้แห้งลอยอยู่เต็มผิวน้ำ

สมาชิกของตระกูลหลิวนั่งล้อมวงอยู่รอบโต๊ะ ประกอบไปด้วย แม่เฒ่าหลิว หลิวอี้หาน และจางจื่อหลาน หลิงเมิ่งเหยาและหลิวอันอันค่อยๆ ก้าวเข้าไป แม่สามีที่นั่งเด่นอยู่หัวโต๊ะเงยหน้าขึ้น สายตาเหยียดหยามมองสองแม่ลูกที่เดินมายืนอยู่ข้างโต๊ะ

“มาเสียที” แม่สามีเอ่ยเสียงเย็น “นอนกินบ้านกินเมืองจริงๆ ฉันกับลูกหิวจะตายอยู่แล้ว รีบไปทำอาหารเร็วเข้า”

หลิงเมิ่งเหยาก้มศีรษะ ความทรงจำของโจวว่านอี้บอกให้เถียงกลับ แต่ความทรงจำของหลิงเมิ่งเหยาเตือนให้นิ่งเงียบ หลิวอันอันเกาะชายเสื้อแม่แน่น ไม่พูดอะไร

“น้องสะใภ้” จางจื่อหลานที่นั่งข้างสามีเอ่ยขึ้น รอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นบนใบหน้า “ดูสิคะแม่ หน้าตาสดใสขนาดนี้ ฉันว่าคงขี้เกียจนั่นแหละ แล้วอ้างว่าไม่สบาย”

“น้องสะใภ้อ้างว่าป่วยจนเคยตัว” หลิวอี้หานพยักหน้าเห็นด้วย พลางหัวเราะในลำคอ “เหมือนน้องชายฉันไม่มีผิด ชอบแกล้งป่วย จนสุดท้ายก็...” หลิวอี้หานยังพูดไม่ทันจบประโยค

“พอได้แล้ว!” แม่สามีปรามเสียงดัง แววตาที่หัวเฉินหรูมองมาที่หลิงเมิ่งเหยาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“จะมายืนทำบื้ออะไร ทำไมไม่รีบไปทำอาหารมา โง่เสียจริง เท่านี้ต้องให้ฉันบอก” แม่เฒ่าหลิวบ่นเสียงดังอย่างมีอารมณ์

หลิงเมิ่งเหยารีบก้าวเข้าครัว ทิ้งเสียงตำหนิของแม่สามีไว้ข้างหลัง ขณะที่หลิวอันอันวิ่งตามมาติดๆ ความทรงจำของร่างเดิมบอกเธอว่าครอบครัวนี้มีเมนูโปรดเป็นโจ๊กใส่ไข่ขาวและเต้าหู้อ่อน แต่สำหรับเธอ หญิงสาวจากยุค 2025 ที่เพิ่งหลุดเข้ามาในร่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่ยุคสมัยนี้ไม่ต้องถึงกับต้องใช้เตาถ่าน ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรเหมือนกัน

ท่าทีเงอะงะของมารดาทำให้เด็กหญิงเอ่ยถามขึ้น

“แม่...ให้หนูช่วยไหมคะ?”

“อันอัน หนูไปนั่งรออยู่ตรงนั้นดีกว่าจ๊ะ” หลิงเมิ่งเหยาฝืนยิ้มให้ลูกสาว พยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ชีวิตในต่างประเทศของเธอทำให้ตนเองแข็งแกร่งและทำอะไรด้วยตนเองหลายอย่าง ถึงแม้ว่าในยุคนี้จะยังมีเครื่องครัวไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับในยุคที่เธอจากมา แค่โจ๊กใส่ไข่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเกินไป

“นี่มันช้ามากแล้วนะ! จะได้กินเมื่อไรกัน” จางจื่อหลานตะโกนจากด้านนอก และตามมาด้วยเสียงถอนหายใจหงุดหงิดของแม่สามี

ขณะที่โจ๊กในหม้อเริ่มเดือด หลิงเมิ่งเหยาเผลอกัดริมฝีปากแน่น ภาพความทรงจำของหญิงสาวยุคใหม่ที่เคยยืนในห้องครัวล้ำสมัยผุดขึ้นมาอย่างเจ็บปวด

‘ขอเวลาฉันเตรียมตัวอีกนิดเถอะ’ เธอคิดในใจ

ไม่นาน โจ๊กก็ถูกตักใส่ถ้วยอย่างรีบเร่ง หลิงเมิ่งเหยาพยายามจัดวางทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุดบนถาดไม้ เธอสูดหายใจลึก ก่อนจะยกถาดออกไปยังห้องโถงใหญ่ หลิวอันอันตามแม่ออกมาจากห้องครัวด้วย

ทุกสายตาหันมามองทันทีที่เธอเดินเข้าไป หลิงเมิ่งเหยาก้มหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยการจับผิดและความไม่พอใจ เธอเริ่มวางชามโจ๊กลงตรงหน้าแต่ละคนอย่างระมัดระวัง

แม่สามีรับถ้วยที่วางตรงหน้าไปทันทีโดยไม่พูดอะไร เธอตักคำแรกเข้าปาก สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความเงียบปกคลุมทั่วห้องขณะที่แม่สามีวางช้อนลงกระแทกกับขอบถ้วย เสียงดังนั้นทำให้หลิงเมิ่งเหยาสะดุ้ง

“นี่มันโจ๊กหรืออะไรกันแน่? ทำไมรสชาติถึงแย่แบบนี้!” น้ำเสียงเย็นชาของแม่สามีเจือด้วยความดูถูก

หลิงเมิ่งเหยายืนนิ่งเม้มปากแน่น ขณะที่เสียงหัวเราะหยันๆ ของจางจื่อหลานดังแทรกเข้ามา

“น้องสะใภ้คงลืมวิธีทำอาหารไปแล้วมั้งคะ” จางจื่อหลานกล่าวประชดประชัน น้ำเสียงแหลมสูงฟังดูเย้ยหยัน

แม่สามีเหลือบมองหลิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันไปทางหลิวอี้หานที่นั่งนิ่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ “อี้หาน ลูกต้องรีบไปทำงานใช่ไหม?”

“ครับแม่” อี้หานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“งั้นก็ทนกินไปก่อน จะได้ไม่สาย” แม่สามีพูดพลางปรายตามองหลิงเมิ่งเหยาและหลิวอันอันด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ “ส่วนพวกแก รีบออกไปให้พ้น ฉันเห็นหน้าแล้วกินข้าวไม่ลง ยืนขวางหูขวางตาอยู่ได้!”

คำพูดเหล่านั้นเสียดแทงเหมือนมีด หลิงเมิ่งเหยาก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกที่กำลังปะทุอยู่ข้างใน เธอยกถาดเปล่าออกไป หลิวอันอันก้าวตามหลังแม่โดยไม่ปริปาก ในครัวที่มืดสลัว มีเพียงข้าวเย็นชืดกับผักดองเก่าเหลือจากเมื่อวาน หลิงเมิ่งเหยารู้ดีว่ามื้อนี้คือบทลงโทษสำหรับ “ความผิดพลาด” ของเธอ

หลังจากอาหารเช้าจบลง เมื่อพี่ชายสามีและพี่สะใภ้ออกไปทำงาน แม่สามีก็เริ่มสั่งงานบ้านต่อทันที เธอให้สองแม่ลูกช่วยกันเก็บโต๊ะและล้างจานในครัว

“อันอัน ช่วยแม่ถือชามนี่ไปวางตรงอ่างหน่อยนะ” หลิงเมิ่งเหยาพูดพร้อมยิ้มให้ลูกสาว

“ค่ะ แม่” เด็กหญิงตอบเสียงใส

หลังจากล้างจานเสร็จ แม่สามีเดินผ่านมาพลางพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “อย่ามัวเสียเวลา รีบไปกวาดลานบ้าน แล้วก็อย่าลืมซักผ้าที่กองอยู่ในตะกร้านั่นด้วย!”

หลิงเมิ่งเหยาพยักหน้าเบาๆ ก่อนพาลูกสาวเดินออกไปที่ลานบ้าน จัดการทำงานตามที่ได้รับคำสั่งมา

หลังจากซักผ้าและเก็บลานบ้านเรียบร้อย แม่สามีก็หายตัวไปในห้องนอนของเธอ หลิงเมิ่งเหยาถอนหายใจเบาๆ เธอใช้ช่วงเวลานั้นพาลูกสาวกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง เธอนั่งลงบนพื้นไม้เก่า มือทั้งสองข้างจับกรอบรูปเล็กๆ ที่หยิบขึ้นมาจากลิ้นชัก

ในกรอบรูปนั้นคือภาพของหลิวอี้หยาง สามีผู้ล่วงลับของร่างนี้ เขาคือคนเดียวที่เคยเป็นกำลังใจและแสงสว่างในชีวิตที่ผ่านมา หลิงเมิ่งเหยาสูดลมหายใจลึก พลิกภาพถ่ายดูด้านหลัง พบข้อความเขียนด้วยหมึกจางๆ ว่า ‘เพื่อครอบครัวของเรา ฉันจะทำงานให้หนักขึ้น’ คำเหล่านี้กระตุ้นให้เธอคิดถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อลูกสาว

เสียงฝีเท้าเล็กๆ ดังขึ้น หลิวอันอันเดินเข้ามานั่งข้างแม่ เธอยื่นมือเล็กๆ จับแขนหลิงเมิ่งเหยาเบาๆ

“แม่...เราต้องทำงานอีกไหมคะ” เด็กหญิงถามด้วยเสียงไม่มั่นใจ

“ไม่ต้องแล้วจ้ะ พักกันก่อนเถอะ” เธอกล่าวพลางลูบหัวหลิวอันอันเบาๆ ความรู้สึกในใจของเธอแน่วแน่มากขึ้น

‘อันอัน ขอเวลาแม่เตรียมตัวและหาทางสักหน่อยนะ รับรองว่าหนูกับแม่จะไม่ต้องเจอและทนกับพวกใจร้ายเหล่านี้แน่นอน แม่สัญญา’ หลิงเมิ่งเหยาคิดในใจ ขณะที่กอดลูกสาวแน่นขึ้น

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ