ตอนที่ 1.ชีวิตที่ไม่เคยเลือก

เสียงไก่ขันแว่วมาจากบ้านข้างเคียง ปลุกให้หญิงสาวลืมตาขึ้นในห้องที่ไม่คุ้นเคย แสงยามเช้าลอดผ่านกระจกบานเล็ก เธอยกมือขึ้นบังแสงแดดที่ส่องแยงตา

ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความแปลกประหลาด นิ้วมือที่เห็นตรงหน้าช่างไม่คุ้นเคย ผิวคล้ำและหยาบกว่าที่จำได้ ไม่ใช่มือที่เคยสเกตช์แบบเสื้อด้วยปากกาดิจิทัลในสตูดิโอแฟชั่นที่ปารีส

เธอพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำสองชุดปะทะกันในหัว ภาพของโจวว่านอี้นักออกแบบแฟชั่นวัยยี่สิบหก เธอในชุดเดรสแบรนด์เนมกำลังเดินทางกลับจีนแผ่นดินใหญ่ หลังประสบความสำเร็จจากแฟชั่นโชว์ที่ปารีส เครื่องบินสั่นสะเทือนรุนแรงกลางพายุฝน สายฟ้าฟาดแสงจ้าวูบหนึ่ง

แท็บเล็ตที่วาดแบบเสื้อค้างไว้พลันหล่นจากมือ ก่อนทุกอย่างจะดับวูบลงในความมืด ภาพความทรงจำอีกชุดเป็นของ หลิงเมิ่งเหยา หญิงหม้ายวัยยี่สิบห้าปี ที่อาศัยอยู่ในบ้านสามีพร้อมลูกสาววัยหกขวบ

สายตาของหญิงสาวกวาดมองไปรอบห้องแคบๆ ผ่านเครื่องเรือนไม้เก่าที่มีรอยแตก ม่านผ้าฝ้ายสีซีดจางปลิวไหวตามแรงลม บนโต๊ะเล็กข้างเตียงมีกรอบรูปไม้วางอยู่ ในนั้นคือภาพถ่ายขาวดำของชายหนุ่มที่แต่งชุดเครื่องแบบพนักงานโรงงาน ใบหน้าเรียบง่ายแต่มีรอยยิ้มอบอุ่น สามีที่จากไปของหลิงเมิ่งเหยา

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากระเบียงไม้นอกห้อง ตามด้วยเสียงแหลมของหญิงชรา

“หลิงเมิ่งเหยา! ตื่นหรือยัง ป่านนี้แล้วยังไม่ออกมาทำอาหารเช้าอีก อย่ามัวแต่สำออย เจ้าตัวขี้เกียจนี่ ต้องให้บ่นทุกวัน!” น้ำเสียงแฝงแววดูถูก นั่นคือเสียงของแม่สามี หัวเฉินหรู ผู้ที่คอยกดขี่ข่มเหงหลิงเมิ่งเหยามาตลอดหลายปีหลังสามีเสียชีวิต

เธอลุกขึ้นยืน เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ เปิดบานตู้ออกเห็น เสื้อผ้าสีหม่นหลายชุดห้อยอยู่บนราวไม้ ผ้าฝ้ายธรรมดาที่ตัดเย็บอย่างเรียบง่าย ไม่มีแม้แต่ชุดสีสันสดใส แตกต่างจากตู้เสื้อผ้าแบรนด์เนมในคอนโดหรูที่เธอเคยมี

กระจกบานเล็กสะท้อนภาพใบหน้าแปลกตา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความอ่อนล้า ริมฝีปากบางซีดเผยให้เห็นร่องรอยของความทุกข์ที่ผ่านมา นี่คือใบหน้าของหลิงเมิ่งเหยา หญิงสาวที่ถูกบังคับแต่งงานตั้งแต่อายุยังไม่ครบยี่สิบปี และต้องทนทุกข์กับครอบครัวสามีมาตลอด

“แม่...” เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเล็กๆ ของเด็กหญิง เธอหันขวับไปมอง นั่นคือเสียงของ หลิวอันอัน ลูกสาวของหลิงเมิ่งเหยา เด็กน้อยที่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกับผู้เป็นแม่

ประตูไม้เก่าเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นร่างเล็กในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีซีด หลิวอันอันยืนอยู่ตรงนั้น กอดตุ๊กตาผ้าตัวโปรดไว้แนบอก ดวงตากลมโตฉายสั่นไหวไม่มั่นใจ

“อันอัน” เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบา แปลกหูแม้กระทั่งสำหรับเจ้าของเสียงเอง วิญญาณของโจวว่านอี้ยังคงสับสนกับเสียงใหม่ที่ดังออกมาจากลำคอ

“แม่” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง บอกเล่าถึงเมื่อคืนที่ผ่านมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เมื่อคืนแม่ตัวร้อนมาก นะ...หนูเอาผ้าชุบน้ำมาวางที่หน้าผากแม่ เหมือนที่แม่เคยทำตอนหนูไม่สบาย แต่แม่ก็ไม่ยอมลืมตา”

ความทรงจำหวนคืนมาอีกครั้ง ภาพของหลิงเมิ่งเหยาที่นอนป่วยเป็นไข้สูง แม้จะมีไม่สบาย แม่สามีก็ยังบังคับให้ทำงาน กระทั่งร่างกายทรุดหนัก

“ย่าไม่ยอมให้หนูไปตามหมอ” เด็กน้อยยังคงเล่าต่อ น้ำเสียงขมขื่น “ย่าบอกว่าแม่แค่ขี้เกียจ เหมือนที่ย่าชอบพูดว่าพ่อก็ขี้เกียจ” น้ำตาเด็กหญิงเริ่มไหล

ความทรงจำของหลิงเมิ่งเหยาผุดขึ้นมาอีกระลอก ไม่มีใครพาเธอไปหาหมอ มีเพียงเสียงสะอื้นของลูกสาวที่คอยเช็ดเหงื่อให้ยามค่ำคืน ก่อนที่ความมืดมิดจะค่อยๆ กลืนกินสติรับรู้

ภาพของสามีของร่างนี้ที่ทำงานในโรงงานทอผ้า ถูกเครื่องจักรหนีบจนเสียชีวิต เพราะต้องทำงานล่วงเวลาติดต่อกันหลายวัน แม้จะป่วยไข้ แต่แม่ของเขาก็บังคับให้ไปทำงาน กล่าวหาว่าขี้เกียจเป็นข้ออ้างอยากหยุดงานเท่านั้นเอง

“แล้วย่าก็ให้ลุงใหญ่หามแม่มาทิ้งไว้ในห้อง” เด็กน้อยพูดต่อ “ย่าบอกว่าแม่ไร้ประโยชน์ คลอดแต่ลูกผู้หญิง แถมยังหาเงินเข้าบ้านไม่ได้อีกต่างหาก”

หัวใจของเธอบีบรัด ไม่แน่ใจว่าเป็นความรู้สึกของใคร ระหว่างโจวว่านอี้ที่โกรธแค้นความอยุติธรรม หรือหลิงเมิ่งเหยาที่เจ็บปวดกับการถูกดูถูกมาตลอดหลายปี นับตั้งแต่ให้กำเนิดลูกสาว

“อันอัน มาหาแม่สิจ๊ะ” เธอคุกเข่าลง เปิดอ้อมแขนรับร่างเล็กๆ ที่วิ่งเข้ามากอด ความอบอุ่นจากอ้อมแขนเล็กๆ ของหลิวอันอันทำให้ความเศร้าในใจเจือจางไปชั่วขณะ แต่ยังไม่ทันที่สองแม่ลูกจะได้กอดกันให้หายตกใจ เสียงแหลมจากข้างนอกก็แทรกเข้ามา

“หลิงเมิ่งเหยา! สายป่านนี้แล้ว อาหารเช้าของพวกฉันอยู่ไหน อย่ามาทำสำออย ลูกชายฉันต้องไปทำงานนะ ออกมาเร็วๆ” เสียงแหลมหูของแม่สามีดังขึ้น “เอานังอันอันมาด้วย! อย่าให้นังเด็กขี้เกียจนั่นอยู่เฉยๆ!”

“แม่...ย่าเรียกพวกเราแล้ว” หลิวอันอันสะดุ้งเฮือก มือเล็กๆ กำชายเสื้อแม่แน่น น้ำเสียงของเด็กน้อยแผ่วเบาและแฝงด้วยความหวาดกลัว

หลิงเมิ่งเหยาหลับตาลง สูดหายใจลึก ราวกับพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา ทั้งสองความทรงจำในหัวปะทะกันอย่างรุนแรง ภาพของโจวว่านอี้หญิงสาวที่เคยมีชีวิตหรูหราท่ามกลางแฟชั่นโชว์ในปารีส ตัดสลับกับภาพของหลิงเมิ่งเหยา หญิงหม้ายผู้ถูกดูถูกเหยียดหยามในบ้านหลังนี้

เธอลืมตาขึ้น มองดูมือน้อยๆ ที่จับมือเธอไว้แน่น ความรู้สึกหนักอึ้งถาโถมเข้ามา ‘ชีวิตแบบนี้...ไม่ใช่ชีวิตที่ใครควรต้องเจอ’ เธอคิดในใจ

หลิงเมิ่งเหยาลุกขึ้นยืน ในใจปวดร้าวกับชะตากรรมของเด็กหกขวบที่ต้องทำงานหนัก หลิงเมิ่งเหยาสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้าจากทั้งสองชีวิต

“ไปกันเถอะ” เธอบีบมือเด็กน้อยเบาๆ ให้กำลังใจ ในใจนึกสาบานว่า ด้วยความรู้และประสบการณ์ของโจวว่านอี้เธอจะต้องพาตนเองและลูกสาวของหลิงเมิ่งเหยาออกไปจากบ้านหลังนี้ให้ได้ ให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหงของครอบครัวที่ไร้หัวใจนี้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ