ตอนที่ 7 ข้ามาอีกแล้ว!

“คุณหนูผู้นั้นมาอีกแล้ว” ภายในห้องครัวของหอบูรพามีเสียงเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งดังขึ้น เขาตะโกนลั่นทั้งห้องเพื่อบอกให้ทุกคนทราบ ราวกับว่า ‘คุณหนู’ ผู้นั้นสำคัญอย่างยิ่ง

“มาอีกแล้วหรือ วันนี้นางสั่งอะไร วันนี้พวกเราจะไม่แพ้!” เหล่าพ่อครัวลุกฮือขึ้นมา ราวกับมีไฟลุกท่วมตัว

“รอก่อน ๆ นี่ไง นางสั่งมาแล้ว ปลาราดพริก ผัดเห็ดหอม แกง…” เสียงของเสี่ยวเอ้อร์ร่ายยาว ประหนึ่งสามารถนำรายการอาหารมาทำเป็นหนึ่งบทเพลงได้ กว่าเขาจะร่ายจบพ่อครัวคนหนึ่งก็ยกจานหอมฉุยที่มีผัดเห็ดหอมอยู่ในนั้นวางไว้โต๊ะเตรียมออกอาหาร

“เร็วเข้า! มานำไปให้คุณหนูผู้นั้น”

“ท่านพ่อครัว มีรายการอาหารจากโต๊ะอื่นเข้ามาขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์อีกคนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

“แย่แล้ว คนของเราไม่พอแน่ ๆ ให้คนไปตามพ่อครัวชิง พ่อครัวหยาง พ่อครัวเมิ่งที่ได้ลาหยุดวันนี้มาให้หมด!”

“ท่านพ่อครัว แบบนี้พวกเราก็ไม่ได้พักเลยสิขอรับ” เหล่าพ่อครัวร้องโอดครวญ เมื่อพ่อครัวใหญ่ เรียกคนที่ลาหยุดกลับมาทำงานอีกแล้ว และมันเป็นอย่างนี้มาแปดปีเต็ม ๆ นับตั้งแต่คุณหนูผู้นั้นเริ่มมาที่หอบูรพาเป็นประจำ

“วันใดคุณหนูผู้นั้นไปที่โรงน้ำชา ข้าจะให้วันหยุดพวกเจ้า”

“เฮ~” เสียงพ่อครัวเฮดังลั่น ก่อนจะเริ่มวุ่นวายเพราะเสียงทำอาหารดังโช้งเช้งไปหมด

เสี่ยวเอ้อร์แอบส่ายหน้า ‘ข้าจำได้ว่าหนึ่งปีคุณหนูไปโรงน้ำชาเพียงครั้งเดียว ปีนี้พ่อครัวทั้งหลายก็จะลาหยุดอีกครั้ง นายท่านมีหวัง…เฮ้อ…คุณหนูผู้นั้น เมื่อไหร่ท่านจะเลิกมากินอาหารโดยไม่จ่ายเงินที่หอบูรพาซะทีขอรับ~’

***

ฮัดชิ่ว~ เสียงจามดังขึ้นในเรือนรับรองพิเศษบริเวณสวนด้านในของหอบูรพา แม้จะไม่สามารถชมทิวทัศน์จากชั้นสูงเพื่อดูหมอกที่ปกคลุมเมืองได้ แต่สวนแห่งนี้ก็ถูกจัดแต่งสวยงาม คุ้มค่าเงินที่จ่ายเพื่อเช่าเรือนรับรองแห่งนี้ทีเดียว

ร่างบอบบางในชุดฮั่นฝูประยุกต์สีขาวสะอาดตา ทาบทับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าน้ำทะเลซึ่งทำจากผ้าไหมเนื้อโปร่ง ส่งให้ทั้งร่างดูอ่อนโยนงดงามหยดย้อยมากยิ่งขึ้น

หญิงงามยกมือขึ้นปัดจมูกเบา ๆ ปลายจมูกรั้นเชิดขึ้นเล็กน้อยของนางกลายเป็นสีแดงระเรื่อ แก้มกลมดั่งซาลาเปาลูกน้อย ๆ สอดรับกับริมฝีปากเป็นกระจับสีอิงเถาและปลายคางแหลมน่ารัก นอกจากนี้ยังมีดวงตาหวานหยดคู่หนึ่งปลายหางตาชี้ขึ้นอย่างตาหงส์รับกับใบหน้ารูปหัวใจ เพียงเท่านี้อาจกล่าวเรียกได้ว่า หญิงงามล่มเมือง

“คุณหนู มาแล้วขอรับ” ประตูเรือนรับรองเปิดกว้าง อาหารจานใหญ่ถูกส่งเรียงรายเข้ามาในห้องจนวางเต็มโต๊ะกว้าง เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ยังยกโต๊ะเข้ามาวางเพิ่มจนเหลือไว้เพียงทางเดิน อาหารหลายสิบจานถูกนำส่งเป็นระยะ

จนกระทั่งถึงจานสุดท้าย เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มที่เคยวิ่งหน้าตั้งไปประสานงานในห้องครัวก็พูดกับคุณหนูผู้งดงามอย่างนอบน้อม

“วันนี้พ่อครัวของเราลาไปจำนวนหนึ่ง ขอคุณหนูโปรดยั้งมือไว้ไมตรี”

“โอ้! เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า หากข้ากินเยอะ ๆ พ่อครัวเหนื่อยล้า ท่านพ่อครัวใหญ่แห่งหอบูรพาก็อาจจะออกหน้าได้สักทีสินะ”

“คุณหนู~ บ่าวหาได้หมายความเช่นนั้นไม่” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ เขาหมายถึง ‘โปรดยั้งมือและกินน้อยลงสักนิดต่างหาก’

“ข้าไม่ได้ชอบกินของพวกนี้มากนักหรอก เป็นพวกเจ้าเองที่ออกกฎมาเช่นนั้น จะโทษก็โทษที่ข้าถูกโกงเมื่อแปดปีก่อนเถอะ เป็นหอบูรพาที่ไม่รอบคอบและปล่อยให้มีคนนำป้ายนัดหมายออกไปโกงผู้คนไปทั่วเองแล้วกัน ข้ากินอาหารที่นี่มาแปดปี ยังไม่สามารถคืนทุนที่ถูกโกงไปด้วยซ้ำ!”

“เฮือก” เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มสูดหายใจเฮือกใหญ่ เขาอยากจะร้องไห้จริง ๆ ทำไมพี่เสี่ยวเอ้อร์จางที่เคยรับหน้าคุณหนูผู้นี้ต้องลาออกไปตั้งแต่สองปีก่อน และปล่อยให้เขารับหน้านางทุกวันเช่นนี้ก็ไม่รู้ เขาอยากจะบ้าตายรายวัน!

“คุณหนูขอรับ วัตถุดิบที่หอบูรพาของเราใช้นั้นล้วนเป็นของชั้นเลิศ ช่วงนี้วัตถุดิบยังขาดแคลนเพราะเพิ่งออกหนาวมาได้ไม่นาน เราแองก็แทบไม่มีวัตถุดิบสำหรับขายเพียงพอในแต่ละวัน คุณหนูโปรดคลายโทสะและเห็นใจผู้อื่นที่ต้องการลิ้มลองรสชาติแห่งหอบูรพาด้วยเถอะขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองแก่ลงหนึ่งปีทุกครั้งที่พบหน้าคุณหนูผู้นี้ หากนับดูแล้วตอนนี้เขาน่าจะอายุเกินร้อย

“เป็นเช่นนั้น วันนี้ข้าจะสั่งของหวานจากโรงน้ำชาแทนแล้วกัน”

“คะ…คุณหนู แบบนั้น ขนมหวานโรงน้ำชาก็หมดสิขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์หน้าซีดเผือด เขามองอาหารเต็มโต๊ะด้วยความหวาดกลัว เผลอเหลือบมองเอวเล็กคอดที่ถูกผ้ารัดเอวมัดเอาไว้ของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเสียมารยาท ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น ‘บัดซบ นางกินมากขนาดนี้เอาไปไว้ที่ไหนกันหมด ทำไมเมียที่บ้านข้าไม่เป็นเช่นนี้บ้าง’

“คุณหนู…บ่าวขออภัยที่ทำให้มีน้ำโห คุณหนูโปรดถอนคำสั่งเถอะขอรับ”

“คุณหนู ช่วงนี้กินของหวานเยอะเกิน ไม่ดีนะเจ้าคะ” ราวกับเสียงสวรรค์ดังขึ้น เมื่อสาวใช้เสี่ยวหลานของคุณหนูซึ่งปกติมักจะมานั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากขึ้น เสี่ยวเอ้อร์นึกอยากหันไปโขกหัวให้อีกฝ่ายใจแทบขาดแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้

“เอาล่ะ ในเมื่อเสี่ยวหลานว่าอย่างนั้น เช่นนั้นก็เหลือวัตถุดิบไว้สักหน่อย แล้วที่เหลือก็ทำมาให้ข้าทั้งหมดเลยแล้วกัน”

‘นั่นไม่ต่างจากคราวก่อน ๆ เลยนี่ขอรับ’ เสี่ยวเอ้อร์ได้แต่ร้องไห้ในใจ ขณะที่ผงกศีรษะรับคำอย่างจำยอม

“ข้าจะแจ้งพ่อครัวให้ทราบขอรับ” ว่าแล้วเขาก็แทบจะปิดตาวิ่งไปที่ห้องครัวในทันที พร้อมกับรายการอาหารที่คุณหนูผู้นั้นเลือกในวันนี้ และวัตถุดิบในจานทั้งหมดต้องทำส่งไปที่ห้องนางในวันนี้ คนอื่นอย่าหวังว่าจะได้กินอาหารจานนี้อีกในสามหรือสี่วันหลังจากนี้ไป

“ทุกท่าน คุณหนูผู้นั้นเลือกอาหารแล้ว เร่งมือเร็วเข้าก่อนที่นางจะสั่งขนมจากโรงน้ำชา หากเป็นเช่นนั้นหอบูรพาของเราได้เจ๊งแน่ ๆ ”

“โอ้!” พ่อครัวขานรับ

เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มได้แต่ก้มหน้าร้องไห้กระซิก ๆ เงียบ ๆ ด้วยความคับข้องใจ ‘คุณหนูผู้นั้นเมื่อใดท่านจึงจะหมดความแค้นกับหอบูรพา มาทีไรก็เลือกอาหารจานหนึ่งสั่งจนวัตถุดิบของจานนั้นหมดจึงจะพอใจ แล้วยังเว้นเอาไว้ราวกับรู้ว่าต้องใช้เวลาหา สรุปแล้วท่านตั้งใจใช่หรือไม่’

‘นายท่านจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแค่ไหนกันนะ เจ๊งมาแปดปีติดเช่นนี้…’

***

ชายชุดดำดิ้นทองคำเป็นลายเมฆคล้อยยืนอยู่ท่ามกลางดงดอกไม้สีม่วงที่หาได้ยาก ยามเมื่อลมพัดพาให้กลีบดอกไม้ถูกม้วนขึ้นมาราวกับเต้นระบำไปตามสายลม

“นายท่าน…” เสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลังไม่ได้ทำให้เขาหันกลับไป เพียงยกมือขึ้นและสะบัดเบา ๆ ทุกสิ่งก็นิ่งสงบ กระทั่งคนที่เคยยืนอยู่เบื้องหลังก็หายไป

“...” ชายชุดขาวที่กำลังจะเข้าไปรายงานผลประกอบการรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หน้าอก หากยังปล่อยไว้เช่นนี้มีหวังโรงเตี๊ยมขาดทุนสะสมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ ๆ ยังไงเขาก็ต้องแจ้งให้นายท่านทราบ แต่จะทำอย่างไรล่ะ?

ชายชุดขาวเป็นคนสนิทของ ‘นายท่าน’ เขาจึงพอจะรู้ว่านายท่านที่ยืนอยู่ในสวนแห่งนี้ดูจะไม่ค่อยสนใจความเป็นไปของโลกภายนอก ปกติก็แล้วไป ในช่วงสิบปีมานี้ท่านแทบไม่เชื่อมสิ่งใดออกไป ราวกับรอบางสิ่งบางอย่าง

มีเพียงทางเดียวที่คนสนิทเช่นเขาจะทำได้เพื่อยังยั้งการขาดทุนเรื้อรังมาแปดปีของหอบูรพา สีหน้าของเขาราวกับมีการเตรียมใจอะไรบางอย่าง

ฝีเท้าของ ‘ผู้ดูแล’ ดูกระสับกระส่ายขณะเดินขึ้นไปบนชั้นสี่ของหอบูรพา

“ท่านพ่อครัวใหญ่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษา ขอเข้าไปได้หรือไม่”

“วันนี้มีแขกเมืองมาหลังจากไม่ได้มาถึงแปดปี ข้าเพิ่งออกจากการกักตน มีเรื่องอะไร!” เสียงของชายร่างใหญ่ดั่งหมีบนแท่นยกสูง ส่งผลให้ผู้ดูแลคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทานแรงกดดันที่อีกฝ่ายส่งมากับคำพูดได้

“ท่านพ่อครัวใหญ่ คือ…ท่านลงไปตัดสินเองเถิดขอรับ ข้าไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน”

“เช่นนั้นเริ่มจาก ทำไมตรงหน้าข้าจึงมีแต่ตัวหนังสือสีแดง”

“เฮือก!” ผู้ดูแลราวกับจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อ เขาเหลือบมองสมุดบัญชีที่จู่ ๆ ก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเจ้านาย

“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าเรียกข้าลงมาใช่หรือไม่”

“ท่านพ่อครัว…ข้า…”

“นำทางไป ข้าจะดูซิว่าใครทำอะไรกับครัวของข้า ขณะที่ข้ากักตนอยู่!” ว่าแล้วชายร่างใหญ่ก็สะบัดแขนเสื้อ เดินลงจากชั้นสี่ของหอบูรพา ครุ่นคิดในใจว่าจะจัดการกับผู้ที่มาเหยียดหยามเหลาอาหารของตนอย่างไรดี มีวิธีร้อยแปดเพื่อทรมานคนผู้นั้นจนอยู่ไม่สู้ตาย!

“คุณหนูผู้นั้นมาอีกแล้ว!” เสียงตะโกนแว่วมาจากทางห้องครัว พ่อครัวใหญ่แห่งหอบูรพาที่กักตนมาหลายปีได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น

‘ความวุ่นวายพวกนี้คืออะไรกัน ดูเหมือนข้ากักตนไปแปดปีจะทำให้เกิดความหย่อนยานขึ้นมา ดูท่าคงต้องติดต่อหออื่น ๆ เพื่อตรวจสอบแล้ว’

“นาย…นายท่าน…พอดีเลยขอรับ คุณหนูผู้นั้นมาพอดีเลย”

“คุณหนูผู้นั้น?” ท่านพ่อครัวหยุดชะงัก ปัญหาที่เกิดไม่ใช่เพราะความหย่อนยานของหอบูรพาเช่นนั้นหรือ แล้วเกี่ยวอันใดกับคุณหนูผู้นั้น

“นางกล้ามาหาเรื่องหอบูรพาทั้งที่รู้ว่าทั้งสี่หอเป็นสถานที่สำคัญของเมืองหมอกแห่งนี้เช่นนั้นหรือ ช่างกล้าไม่กลัวตายนัก!”

“ไม่… ไม่ใช่ขอรับท่านพ่อครัวใหญ่ คือเรื่องเป็นเช่นนี้…” ชายชุดขาวรู้สึกเหมือนตนเองแก่ชราขึ้นหลายปี เชิญผีเชิญเทพว่ายากแล้ว เชิญกลับยิ่งยากกว่า ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจที่เข้าไปหานายท่านก่อนมาหาท่านพ่อครัว ดูอารมณ์หงุดหงิดของท่านสิ

“อ้อ พวกเจ้าก็เลยปล่อยให้นางพาคนมาล้างผลาญเต็มที่ ไป ข้าจะไปดูว่าใครกันกล้ามากระตุกหนวดมังกร งูดินที่ใดกัน!”

“นายท่านเดี๋ยวก่อน…” ไม่ทันแล้ว พ่อครัวใหญ่ของหอบูรพาขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่เพราะรสฝีมือราวกับสวรรค์สร้างคนอื่นจึงไม่สนใจนิสัยของเขา

ตอนนี้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแล่นไปห้องรับรองของคุณหนูผู้นั้น ไม่แน่…แค่คิดผู้ดูแลก็เสียวสันหลังแล้ว พ่อครัวใหญ่ยังเป็นท่านเซียน มีพลังเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา หากคุณหนูผู้นั้นต้านรับไม่ได้ขึ้นมา มีหวังความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหมอกกับหอสมุนไพรมีปัญหาอย่างแน่นอน

คิดได้แบบนั้นผู้ดูแลก็รีบวิ่งตามไปด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาเห็นหลังของท่านพ่อครัวใหญ่เข้าไปในเรือนรับรองไว ๆ “ไม่ได้นะนายท่าน!” ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดโศกอนาฎกรรม

“นายท่าน! เอ๊ะ” ผู้ดูแลวิ่งเข้าไปด้วยหน้าตาตื่น แต่ภาพที่เห็นทำให้ความเข้าใจทั้งสามของเขาพังทลายลง นอกจากคุณหนูผู้นั้นยังอยู่ดีแล้ว อีกฝ่ายยังหันมาโบกมือให้เขาอย่างร่าเริงอีกด้วย

“ท่านผู้ดูแล ไม่เจอกันไม่กี่ปี ท่านเป็นยังไงบ้าง มา ๆ มานั่งกินข้าวด้วยกันดีกว่า ข้าเลี้ยง!”

คำพูดของคุณหนูผู้นี้ทำเอาผู้ดูแลเกือบกระอักเลือดออกมา เขารีบหันไปมองนายท่านที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อมองเด็กหญิงคีบอาหารเข้าปาก ‘นายท่าน ช่วยข้าด้วย ข้าถูกรังแก’ แต่ดูเหมือนนายท่านจะไม่สนใจมองเขาแม้แต่น้อย

“ท่านผู้ดูแล จะยืนอยู่ใย มานั่งก่อน ๆ หรือท่านคิดว่าอาหารเท่านี้ไม่พอ”

“พอแล้ว พอแล้วคุณหนู” ผู้ดูแลรีบตอบด้วยเสียงสั่น กลัวคุณหนูผู้นี้บ้าดีเดือดสั่งอาหารมาจนหมดเหลาอาหารอีกครั้ง เหมือนอย่างช่วงแรก ๆ ที่นางมาถึง ทำเอาวุ่นวายกันไปหมด

“ผู้ดูแล เช่นนั้นก็มานั่งเถอะ” ว่าแล้วก็วางตะเกียบลง หยิบจอกชาขึ้นมาจิบแล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อผ่อนคลายชั่วคราว

เห็นอย่างนั้นพ่อครัวใหญ่ที่นั่งมองแก้มป่องของเด็กหญิงมาตลอดก็ราวกับได้สติ เขาหันไปมองผู้ดูแลที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตูด้วยตาขวาง

“ยังไม่เข้ามานั่งอีก!” เสียงเข้มนั้นราวกับผสมพลังปราณเข้าไปด้วย ผู้ดูแลถึงกับเลือดไหลออกมาจากมุมปากแต่ก็ต้องกดเก็บไว้ไม่กล้ากระอักเลือดออกมา รีบกระเสือกกระไสตัวเองมานั่งโต๊ะด้านหลังกับอาหลานทันที

“ท่านผู้ดูแลก็กินด้วยกันสิ เสี่ยวเอ้อร์นำจานชามมาอีกชุด อาหลานเจ้าอยากได้อะไรเพิ่มไหม ข้าเลี้ยงเอง”

“คุณหนู ข้าไม่อยากเจ้าค่ะ” สีหน้าของอาหลานบ่งบอกว่า ‘เบื่อแล้ว’ อย่างเห็นได้ชัด

ในหนึ่งเดือนคุณหนูมาที่หอบูรพาเสียยี่สิบวัน สิบวันที่เหลือก็วนเวียนไปอาหารร้านใหม่ร้านดังในเมือง อาหลานจึงกลายเป็นเบื่อหน่ายอาหาร ไม่ใช่เพียงอาหารที่เหลาบูรพาเท่านั้น แต่รวมถึงอาหารที่กินลงไปด้วยปากทุกชนิด

“เช่นนั้น กลับบ้านไปข้าจะทำปลาย่างที่เจ้าชอบให้กิน หรือจะเอากุ้งผัดเผ็ดดี ช่วงนี้น่าจะมีกุ้งให้จับ”

“ขอบคุณคุณหนูที่ใส่ใจ บ่าวจะเฝ้ารออาหารมื้อนั้น”

“ว่าแต่…” สายตาของหญิงงามผู้เป็นนายหันกลับมามองชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามแต่เอาแต่จ้องนางกินมาได้สักพักแล้ว

“พี่ชาย ท่านไม่กินด้วยกันหรือเจ้าคะ เห็นท่านโผล่พรวดพราดเข้ามา ข้าจึงชวนท่านกินข้าวด้วยกันเสียเลย ท่านไม่ต้องเกรงใจ เนื่องจากหอบูรพาทำผิดต่อข้า ท่านกินสักจานสองจานพวกเขาก็ไม่ขาดทุนหรอก”

‘ไม่ขาดทุนแต่ตัวแดงเถือกเลยขอรับคุณหนู ขาดทุนสะสมแปดปีเชียวนะขอรับ!’ ผู้ดูแลโอดครวญในใจ แต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำออกมา เมื่อเห็นเจ้านายของเขาเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

“นาย…” เมื่อนายท่านกำลังหยิบตะเกียบขึ้นมา ผู้ดูแลอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นห้าม แต่ไม่ทันเสียแล้ว

“ขยะ!” เสียงสากของชายร่างใหญ่ดังขึ้น เขายังไว้หนวดเคราดูไม่สนใจรูปลักษณ์ แม้จะรักษาความสะอาดร่างกาย สวมใส่เสื้อผ้าสะอาดปกติ แต่ก็ให้ความรู้สึกว่าเขาช่างไม่น่าดู ซ้ำน้ำเสียงก็ไม่ได้น่าฟัง เมื่อสบถออกมาถึงกับทำให้ ‘หญิงงาม’ สะดุ้ง

“พี่ชาย ท่านไม่ชอบอาหารของที่นี่หรือ ล้วนเป็นอาหารชั้นเลิศของหอบูรพาทั้งสิ้น หากจะหาที่อร่อยกว่านี้ก็คงมีเพียงฝีมือของท่านพ่อครัวใหญ่แห่งหอบูรพาเท่านั้นแล้ว”

พูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็ใช้ตะเกียบกลางที่อยู่บนจานอาหารคีบชิ้นเห็ดหอมให้ชายหนุ่มด้วยท่าทางเอาใจ

“พี่ชาย นี่เป็นเห็ดหอมชั้นเลิศ จานนี้อร่อยที่สุดพ่อครัวใหญ่คงเป็นผู้ทำเอง” พ่อครัวใหญ่ที่หญิงสาวหมายถึง ย่อมเป็นพ่อครัวที่คุมอยู่ในเหลาอาหาร

“ทำไม…” ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธ เมื่อเห็นหญิงสาวเปลี่ยนไปใช้ตะเกียบตนเองคีบอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ก็เหมือนทำให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูอ่อนกำลังลง เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นชิม

“...” ไม่เห็นอร่อยเลย สีหน้าของชายหนุ่มบอกอย่างนั้น แต่เมื่อเห็นเด็กหญิงงามแก้มตุ่ยมองมาด้วยสายตาคาดหวัง เลยทำได้แค่เคี้ยวและกลืนลงไปอย่างฝืดคอ

“พี่ชาย ท่านไม่รู้อะไร” เมื่อเห็นชายหนุ่มกินอาหารลงไปจนหมด ‘เฟิงเหยา’ ก็เริ่มเม้าท์ราวกับป้าข้างบ้าน

“จริง ๆ ข้าไม่ได้ผิดต่อใคร หากเขาไม่ผิดต่อข้าก่อน หอบูรพายังบอกให้ข้ากินอาหารเหล่านี้โดยไม่เสียเงินเอง พี่ชาย ข้าก็ไม่ได้อยากให้วุ่นวายหรอก ใช่หรือไม่ท่านผู้ดูแล ข้าแค่ชอบอาหารของหอบูรพามาก ๆ เท่านั้นเอง”

“เจ้าชอบขนาดนั้นเชียว” ดวงตาคมปราบเหลือบมองผู้ดูแลทีหนึ่ง เขาตัวสั่นราวกับลูกนกไม่กล้ากระทั่งเงยหน้าขึ้นอีกแล้ว

“พี่ชาย ข้าก็ไม่ได้อะไรกับอาหารการกินมากนักหรอก ใช่ว่าข้าจะขาดอาหารไม่ได้เลย เพียงแค่ชอบกินอาหารอร่อย ๆ เท่านั้นเอง”

“...” สายตาคมเหลือบมองอาหารนับสามสิบจานบนโต๊ะ แถมยังหมดไปแล้วมากกว่าครึ่ง เหลือเพียงไม่กี่จานที่วางไว้ตรงหน้าเขาเท่านั้น ‘นี่คือกินไม่มาก’ ราวกับหน้าเขาเขียนคำนี้ไว้

“พี่ชาย เห็นเช่นนี้ข้าก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน แต่ละคนมีวิถีที่แตกต่าง ข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายหอบูรพาจริง ๆ ท่านผู้ดูแลคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้มุ่งเป้ามาที่พวกท่านเสียหน่อย”

“คุณหนูของข้า มีวิชาการฝึกตนที่แตกต่างจึงต้องกินอาหารมากเป็นธรรมดา” เสี่ยวหลานเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อได้จังหวะ

“ใช่ ๆ พวกท่านก็…ไม่ต้องกังวลไป ขอเพียงข้าได้กินอาหารของท่านพ่อครัวใหญ่ สักจาน ข้าก็…”

“เจ้าอยากกินอาหารของพ่อครัวใหญ่หอบูรพา” สีหน้าของชายหนุ่มไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนสดใสขึ้นทันตาเห็น

ผู้ดูแลก้มหน้าก้มตา ไม่เข้าใจความคิดของนายท่านตนแม้แต่น้อย

“พี่ชาย หากข้าไม่อยากกิน ก็คงไม่หลงกลคนโกงเมื่อแปดปีก่อน”

“แปดปี” ชายหนุ่มพึมพำ เริ่มคาดเดาได้แล้วว่าตัวแดงที่เขาเห็นมาจากไหน ไม่ใช่การละเลยหน้าที่ หรือหย่อนยานของพนักงาน แต่เป็นเพราะ…เด็กน้อยตรงหน้าเช่นนั้นหรือ

“ใช่แล้ว ข้าถูกโกง แต่หอบูรพามีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน แม้ข้าจะขอร้องยังไงก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายข้าเลยต้องมากินอาหารที่นี่แก้ขัด…เอ้ย! ฆ่าเวลาไปก่อน”

“ฆ่าเวลา…คุณหนูผู้นั้นแค่ฆ่าเวลาเท่านั้น” เสียงพึมพำของผู้ดูแลดังขึ้นราวกับวิญญาณคนหลุดลอยออกจากร่าง

“ได้ เช่นนั้นเจ้าก็มากินอาหารวันพรุ่ง”

“ไม่ ๆ ๆ พี่ชายท่านเข้าใจข้าผิดไปแล้ว แม้ท่านจะเป็นเจ้าของหอแห่งนี้ เจ้าเมือง หรือผู้ยิ่งใหญ่จากไหนก็ตาม แต่ที่ข้าพูดกับท่านไม่ใช่เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ตลอดแปดปีมานี้ ข้าได้รับการชดเชยมากพอแล้ว”

“...” ในดวงตาของพ่อครัวใหญ่แห่งหอบูรพามีความไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นแก้มป่องเคี้ยวตุ้ย ๆ ในใจพลันกระตุกวูบ

“เจ้าชอบกิน?”

“ไม่ ๆ ข้าแค่กินเพราะหิวเท่านั้น เวลาไม่หิวข้าก็ไม่กิน”

“เช่นนั้น ข้าจะรอเจ้ามากินอาหารที่ชั้นสี่ของหอบูรพา” เมื่อเห็นหญิงสาววางตะเกียบลง ชายร่างใหญ่ก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไปโดยไม่บอกกล่าว

“คุณหนู ข้าขอตัวก่อน” ผู้ดูแลรีบวิ่งตามนายท่านไป เขายังสั่นเล็กน้อย นายท่านคิดอะไรอยู่ถึงชวนตัวตะกละน้อยเช่นนั้นมาที่ชั้นสี่ เขาไม่อาจคาดเดาความคิดนายท่านได้จริง ๆ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ