ตอนที่ 4 เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

เมืองหมอกอยู่ใกล้กับเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยน ไม่ได้ขึ้นตรงกับแคว้นเพราะตกอยู่ใต้อำนาจของสำนัก ‘ม่านหมอก’ สำนักที่โดดเด่นมานานหลายร้อยปี

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหมอกครึ่งหนึ่งเป็นคนของสำนัก อีกครึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาและผู้ที่ผ่านทางมา รวมถึงเหล่าทาสและบ่าวรับใช้ที่ขึ้นมาจากแดนชั้นสามเพื่อแสวงโชคลาภ

เช่นเดียวกับเมืองของกองกำลังอื่น ๆ แต่ละแห่งมีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะเข้าเมืองจึงต้องศึกษาข้อมูลไว้พอตัว บางเมืองมีกฎกระทั่งว่าผู้มาเยือนห้ามขัดใจผู้อยู่อาศัยด้วยซ้ำ ซึ่งตัวเอกของนิยายชั้นเชิงยอดยุทธ์มักจะเข้าไปหาเรื่องในเมืองที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้นบ่อย ๆ เพื่อโชว์ความเทพของตัวเอง

โครก~ เสียงท้องร้องดังขึ้น ทำให้ชาวบ้านที่กำลังต่อแถวเข้าเมืองชะโงกเพื่อมองว่าผู้ใดกันที่ส่งเสียงน่าอับอายออกมา แต่พอได้เห็นเจ้าของเสียงก็ปิดปากหัวเราะด้วยความเอ็นดู เมื่อพบว่าผู้ส่งเสียงน่าอับอายเป็นเพียงเด็กวัยแปดขวบคนหนึ่งเท่านั้น

“พี่ชาย...ข้าหิวแล้ว ปล่อยข้าเข้าเมืองเถอะ” เฟิงเหยาหน้าเบ้งอแงเล็กน้อยพอเป็นพิธี เมื่อถึงลำดับของนางเพื่อตรวจสอบตัวตนก่อนเข้าเมือง

“เด็กน้อย พ่อแม่เจ้าอยู่ไหนกันล่ะ เข้าเมืองมาคนเดียวได้อย่างไรกัน” ทหารหนุ่มเมียงมองเด็กน้อยตรงหน้า นางอายุราวแปดขวบใบหน้าเลอะเทอะเช่นขอทานน้อยทั่วไป แต่กลับสวมเสื้อผ้าเนื้อดี หากไม่สังเกตดีดีคงไม่เห็นเพราะตอนนี้เสื้อผ้านั้นเปื้อนดินโคลนเต็มไปหมด

“พี่ชาย ท่านพ่อท่านแม่ข้า...จากไปแล้ว เหลือเพียงตัวคนเดียวลำพัง ข้าเข้าเมืองเพื่อหวังนำของป่าไปขาย หาเงินประทังชีวิตเท่านั้นเอง”

ทหารหนุ่มพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ ขอทานน้อยที่เข้าออกเมืองเพื่อหาของป่ามาขายก็มีมาก เขาจึงไม่ได้คิดตรวจขันมากไปกว่านั้น แต่ระเบียบก็ต้องเป็นระเบียบ

“เด็กน้อย หากอยากเข้าเมืองหมอกเจ้าต้องมีสิบหยกขาวเป็นค่าเข้า ค่าออกไม่ต้องจ่าย...คราวหน้าเข้ามายื่นป้ายไม้ชื่อเจ้าที่นี่ ...เจ้ามีนามว่าอะไร” ทหารหนุ่มคว้าพู่กันของวิเศษระดับสอง เมื่อเขียนชื่อจะสลักว่าเคยเข้าออกเมืองใดกี่ครั้ง ตอบสนองกับค่ายกลของเมืองหมอก ยังมีอีกหลายเมืองที่ใช้แผ่นป้ายนี้ได้

“ข้ามีนามว่าเฟิงเหยา แต่พี่ชายข้าไม่มีเงิน” โครก~ เสียงท้องร้องดังขึ้นอีกครั้ง เด็กน้อยกระพริบตาปริบ ๆ ให้คนรู้สึกสงสารเหลือเกิน

“พี่ชายข้าหิวแล้ว” น้ำเสียงอ่อนแผ่วราวกับกำลังอ้อนวอนทำให้ทหารหนุ่มใจอ่อน เขาถือแผ่นป้ายชื่อเฟิงเหยาไว้ในมือ ก่อนจะหันเข้าไปในป้อม

“หัวหน้า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก...นางเข้าเมืองเป็นครั้งแรก ครอบครัวไม่ปรากฎ...ขอรับ” ทหารหนุ่มเดินกลับมาที่โต๊ะลงทะเบียนเข้าเมือง เขามองตะกร้าในอ้อมแขนของเด็กน้อย ก่อนจะหยิบสมุนไพรที่รู้จักและพอจะขายได้ราคาออกมาต้นหนึ่ง

“โชคดีจริง ๆ ที่เจ้าเก็บเจ้านี่มาได้...ข้าจะเก็บนี่เป็นค่าผ่านทางแล้วกัน ต้องเอาเปรียบเจ้าแล้ว” ทหารหนุ่มละอายเหลือเกิน แต่หากไม่ได้ของที่ดีที่สุด หัวหน้าก็จะไม่ปล่อยเด็กเข้าไป

แม้หัวหน้าจะดูเหมือนคนใจอ่อน แต่ก็เป็นคนโลภคนหนึ่ง เด็ก ๆ ที่ผ่านเข้าออกมักต้องจ่ายส่วยทุกครั้ง ดีเท่าไหร่ครั้งนี้หัวหน้าเจ็บเข่าไม่ได้ออกมาหยิบเอง

“หากมีอะไรมาหาข้าได้ช่วงกลางวัน ข้าเข้าเวรอยู่ที่นี่ตลอด” ทหารหนุ่มมอบป้ายไม้ให้ ขณะที่เด็กหญิงยิ้มยินดี ก้มขอบคุณและจากไปแต่โดยดี

ร่างเล็ก ๆ กอดตะกร้าที่ถักขึ้นมาจากเถาวัลย์ง่าย ๆ ในนั้นมีสมุนไพรป่าเล็กน้อยที่นางเก็บมา แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้มีค่ามากนัก ที่สำคัญคือต้องหาร้านขายยาเพื่อขายสมุนไพรเสียก่อน

โครก~

“อา หิวมาก ๆ เลย ทั้งที่ค่าความหิวยังลดลงไม่ถึงไหนแท้ ๆ ที่แท้แล้วอัตราการย่อยของร่างกายนี้มันยังไงกันแน่นะ” เฟิงเหยาอดบ่นไม่ได้ นางพบว่าตัวเองหิวบ่อยมาก ๆ กลายเป็นคนกินจุสุด ๆ ไปเสียแล้ว ทั้งที่ชาติที่แล้วแทบไม่ได้กินอะไรเลยด้วยซ้ำ หรือพระเจ้ากำลังชดใช้ให้เธอกันนะ

บางทีเฟิงเหยาอาจกลายเป็นมารตะกละไปแล้วจริง ๆ

เมื่อเดินเข้ามาในเมืองม่านหมอก สิ่งแรกที่คิดคือที่นี่สมกับการเป็นฉากหนึ่งในนิยาย ตัวเมืองล้อมรอบด้วยกำแพง ถนนหลักเป็นถนนดินทั้งหมด อาจเพราะเป็นเมืองของสำนักผู้มั่งคั่งที่มีรากฐานมานับร้อยปี

มารจำแลงยังเป็นคนจากดินแดนที่สูงกว่า เขามีทุนทรัพย์ชนิดที่คนในแดนกึ่งเซียนนี้เทียบไม่ติด เพียงสินค้าที่หยิบออกมาหนึ่งอย่างก็ล้ำค่าพอที่จะซื้อเมืองทั้งเมืองได้

เฟิงเหยาจำได้ว่าตัวละครจำแลงต่าง ๆ ที่จอมมารจำแลงปลอมแปลงออกไปอยู่เคียงข้างสาวงาม ล้วนมีแต่สายเปย์ เวลานางเอก นางมารอยากได้อะไรก็จะนึกถึงตัวละครของมารจำแลงก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ

เมืองที่อยู่ภายใต้เขาย่อมไม่ขี้ริ้ว ออกจะรุ่งเรืองอย่างมากด้วยซ้ำ ทั้งด้านการค้า ประชากร และการท่องเที่ยว

ในช่วงเช้าและช่วงค่ำของเมืองม่านหมอก จะมีหมอกลงต่ำ ๆ ราวกับเมฆคล้อยลงมาทับถมเมืองแห่งนี้เอาไว้ มีหลายจุดที่สามารถมองเห็นภาพทิวทิศน์หมอกท่วมเมืองได้ และถูกจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสี่มุมเมือง

เรื่องนี้เฟิงเหยาอ่านจากในนิยายเท่านั้น สำหรับประชาชนชั้นต่ำที่ลำพังเงินค่าผ่านทางยังไม่มีเหมือนนางแล้ว การจะไปสถานที่เหล่านั้นตอนนี้ยังเป็นไปไม่ได้เลย

‘แต่มารจำแลงพ่อครัวชั้นยอดก็อยู่หอคอยบูรพา…’ เฟิงเหยารู้สึกหนักใจเล็กน้อย นางจะทำยังไงเพื่อให้ได้เข้าไปกินอาหารที่นั่นดี บางทีอาจจะต้องใช้พลังธาตุไม้เร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรแล้วเอามาขายสินะ

คิดแล้วก็เลี้ยวเข้าไปในร้านสมุนไพรขนาดใหญ่ เฟิงเหยาเห็นเด็กหนุ่มยืนรอลูกค้าอยู่สองสามคน เมื่อนางเดินเข้ามาเขาก็พุ่งตรงมา

“เด็กน้อย เจ้ามาขายของเข้าที่ประตูข้างร้านเถอะ ตรงนี้ให้ลูกค้าเข้ามาเท่านั้น” ท่าทางของคนพูดไม่ได้หยาบคาย แม้จะเป็นคำไล่แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด เฟิงเหยาไม่ถือสาและเดินไปประตูข้างตามที่เขาบอก

พนักงานขายรับตะกร้ามาจากเด็กน้อย

“เดี๋ยวข้าจะนำไปประเมินราคา และนำเงินออกมาให้เจ้ารอสักครู่” อาจเพราะเป็นร้านใหญ่ ชาวบ้านเลยทำได้เพียงไว้ใจให้พวกเขานำของไปก่อน

เฟิงเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ หรือเพราะนางไม่ใช่พระเอกนางเอกในนิยายถึงได้ไม่เจอฉากที่เจ้าของร้านกุลีกุจอออกมาต้อนรับหลังจากเห็นสมุนไพรล้ำค่า

เมื่อเหลือบมองในตะกร้าสมุนไพรของตน เฟิงเหยาก็อยากจะตบหัวตัวเองแรง ๆ สักที เพราะตลอดการเดินทางทั้งทำอาหารกิน ทั้งเร่งความเร็วการเติบโตของพืชเพื่อกินประทังความหิวกระหาย สุดท้ายสมุนไพรในตะกร้าเลยไม่ใช่กลุ่มที่นางเร่งความเร็วแม้สักต้นเดียว

ไม่แปลกใจเลย เพราะมันธรรมดาเกินไปนี่เอง ถึงได้ไม่ได้รับการต้อนรับใหญ่โตเหมือนตัวหลักชายหญิงในนิยาย

แต่เมื่อคิดดี ๆ แล้ว การเป็นคนธรรมดาก็ดีเหมือนกันนะ นางแกล้งเป็นคนธรรมดาต่อไปจะดีกว่า เพราะยังไงเป้าหมายของเฟิงเหยาไม่ใช่การรวบรวมชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งเข้าฮาเร็ม หรือการเป็นยอดคนผู้แข็งแกร่งในใต้หล้า แต่เป็นการแสวงหาของกินอร่อย ๆ ต่างหาก

ถึงอย่างนั้นแม้นางจะมีเป้าหมายชัดเจน แต่ก็ฉลาดมากพอที่จะไม่ทำให้คนอื่นจับจุดอ่อนของตัวเองได้ ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอกว่านี้ ถ้าคนรู้จุดอ่อนของนางซึ่งชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจเข้า ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากอาหารเหล่านั้นเต็มไปด้วยยาพิษ หรือพวกเขาจับนางไปกักขังให้อดตาย หรืออดข้าวอดน้ำ เฟิงเหยาจะทรมานมากแค่ไหน

ดังนั้นเก็บจุดอ่อนนี้เอาไว้ให้มิดชิด แล้วใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อจะได้อยู่ในโลกนี้นานขึ้น และลิ้มรสชาติได้มากขึ้นจะดีกว่า

“นี่เด็กน้อย รับเงินไป” พนักงานขายหนุ่มกลับมาพร้อมเงินถุงเล็ก ๆ เมื่อเปิดดูพบเหรียญสีขาวอยู่ไม่กี่เหรียญเท่านั้น นี่พอซื้อข้าวกินสักมื้อไหมนะ

“เจ้ามีสายตาที่ดี คงพอมีความรู้มาบ้างสินะ ถ้าหาสมุนไพรมาได้ก็นำมาขายให้ที่นี่เถอะ” พนักงานหนุ่มอดพูดไม่ได้ เมื่อพบว่าในตะกร้าของเด็กน้อยมีแต่สมุนไพรที่ถูกเก็บมาอย่างสมบูรณ์ไม่แตกหัก บางต้นยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แตกต่างจากของชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความรู้

มองจากเนื้อผ้าที่เด็กน้อยสวม เขาจึงคาดเดาว่าเป็นเด็กชนชั้นสูงที่ตกต่ำลงมา คนพวกนี้มักมีความทะเยอทะยานสูง พนักงานขายจึงอดไม่ได้ที่จะผูกไมตรีเอาไว้

“ข้าจะจำไว้พี่ชาย ขอบคุณท่านมาก” ว่าแล้วก็ถือถุงเงินและตะกร้าไม้ของตนเดินออกจากจุดนั้น ครุ่นคิดว่าควรกลับเข้าป่าไปดีหรือจะหาอะไรกินก่อนดี ท่าทางของเด็กน้อยเลยดูเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งความมุ่งมั่น

พนักงานขายพยักหน้าหงึกหงักตามหลัง คาดว่าเด็กน้อยคนนี้มีความทะเยอทะยานมากจริง ๆ โดยหารู้ไม่ว่าเฟิงเหยาทะเยอทะยานจริง ๆ แต่เป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงแน่ ๆ

เฟิงเหยามองเหรียญสีขาวในมือ นี่เรียกว่าหยกขาว ค่าเงินที่ต่ำสุดในแดนนี้ แตกต่างจากแดนชั้นสามที่ใช้เงินและทอง แต่แดนชั้นสองและหนึ่งกลับใช้หยก ซึ่งมีพลังฟ้าดินอัดแน่นอยู่ด้านใน ตามระดับของหยก

หยกขาว หยกเขียว หยกแดง หยกทอง หยกดำ โดยผู้มั่งคั่งในแดนนี้ก็วัดจากหยกที่ถือครอง

ค่าเข้าเมืองคือสิบหยกขาว ขายสมุนไพรได้แค่สิบแปดหยกขาว แสดงว่าสมุนไพรที่ทหารยามหยิบออกไปนั้นมีค่าสูงที่สุดในบรรดาสมุนไพรทั้งหมดในตะกร้า

เฟิงเหยาพยายามคำนึงถึงสมุนไพรต้นนั้น ก่อนจะจำได้ว่านั่นเป็นห่อซิ่วโอว ที่มีฤทธิ์บำรุงความงามหญิงสาว แสดงว่าในโลกนี้ความงามก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้หญิงลงทุนให้มากที่สุดอยู่ดี

“อ่า ถ้าเหลือเงินสำหรับเข้าเมืองคราวหน้าสิบหยกขาว แล้วจะซื้ออะไรกินได้ด้วยเงินแปดหยกขาวกันล่ะ” ลำพังเซ่าปิ่ง* (*แผ่นแป้งย่าง) ก็ห้าหยกขาวต่ออันแล้ว แถมยังอันเล็กนิดเดียวดูยังไงก็ไม่พอให้อิ่มท้องแน่ ๆ ซาลาเปาก็อันละห้าหยกขาว ที่นี่ค่าเงินแพงชะมัด

ถ้าเป็นแดนชั้นสามล่ะก็ หนึ่งหยกมีค่าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าไปแล้ว แต่มีข้อดีคือเมื่ออยู่แดนกึ่งเซียนก็ไม่ต้องมีเทียบเชิญ เอ๊ะ…

“ที่นี่คือแดนชั้นสามไม่ใช่เหรอ” เฟิงเหยารู้สึกสับสนเล็กน้อย นางมองไปรอบ ๆ ในเนื้อหานิยาย เมืองม่านหมอกอยู่แคว้นต้าเยี่ยนซึ่งอยู่ในแดนชั้นสาม แต่ทำไมค่าเงินของที่นี่ถึงแปลก ๆ

“เจ้าไม่รู้อะไรหรือเด็กน้อย” ชายชราผู้สวมเสื้อคลุมนั่งอยู่ในมุมถนนไม่ไกลนัก ราวกับได้ยินคำอุทานของเด็กหญิง เสียงแหบพร่าก็พูดพร่ำออกมาทันที

“โลกพลิกกลับมานับร้อยปี แดนแห่งนี้รวมเป็นหนึ่งมาแสนนานแล้ว”

“ข้าไม่ทราบจริง ๆ ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ ข้าเองก็เพิ่งเกิดมาไม่นาน จึงไม่อาจรู้ได้” หลังจากตกใจเฟิงเหยาก็หันไปขอบคุณอีกฝ่าย

นางรู้ว่าตัวละครลึกลับในนิยายมีเยอะมาก ๆ ขอเพียงเป็นคนจิตใจดี พวกตัวละครลับเหล่านั้นก็จะคอยเมตตาและทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ดังนั้นอยู่ในโลกนี้ให้ทำตัวเป็นคนจิตใจดีจะดีกว่า

แต่นางก็เพิ่งเกิดบนโลกใบนี้ไม่นานจริง ๆ เพิ่งมาได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ แต่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเรื่องราวถึงไม่เป็นเหมือนในนิยาย

“นี่คือรัชศกใดหรือเจ้าคะท่านลุง”

“รัชศกต้าเยี่ยนปี้ซิงที่สาม”

‘ปี้ซิงที่สาม ปี้ซิงนั่นไม่ได้อยู่ในนิยายนี่นา เอ๊ะ’ เฟิงเหยาจำได้ว่า ในนิยายมีการกล่าวถึงปี้ซิงรอบหนึ่ง เขาเป็นรุ่นปู่ของพระเอก และเป็นคนที่ดีมากแต่ครองราชย์เพียงสามปีและหายตัวไปจากหน้าหนังสือเลย

เมื่อพ่อพระเอกขึ้นครองราชย์เนื้อหานิยายก็เริ่มดำเนินไป อ้อ เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วนิยายเพิ่งเริ่มต้น นางเอกยังเป็นเพียงต้นอ่อน นางมารก็ยังไม่ลงมาจุติเล่นในแดนนี้ หรือจุติแล้วแต่ยังไม่โผล่มาในฉาก นางเกือบลืมไปแล้วว่านี่เป็นโลกพื้นหลังในนิยาย

“ขอบคุณท่านลุงที่ตอบคำถามข้า…” นางเดินผ่านเขามา แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นข้อมือที่โผล่พ้นเสื้อของชายชรามีแต่หนังติดกระดูก หญิงสาวก็เดินเข้าไปและวางหยกขาวทั้งแปดก้อนไว้ตรงหน้าเขา

“นี่เป็นค่าข้อมูล หยกขาวนี้มีพลังฟ้าดิน หวังว่าจะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย” หยกขาวคงเพียงพอแค่ประทังชีพม์ เพราะชายชราผู้นี้ใกล้ดับขันธ์เต็มที

เฟิงเหยาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนางถึงรู้ เหมือนว่าความรู้พื้นฐานที่เสี่ยวเสี่ยวมอบให้จะกว้างขวางกว่าที่คิด

ชายชรามองตามหลังเด็กหญิงไป มือหยาบอย่างคนถืออาวุธมาทั้งชีวิตแตะหยกขาวตรงหน้ามันก็สลายหายไปทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองตามเด็กหญิงอีกครั้งแต่พบว่านางหายไปจากสายตาแล้ว

ฟู่ว…ชายชราถอนหายใจออกมาเป็นควันสีขาว ก่อนร่างของเขาจะค่อย ๆ เลือนหายไปในตรอกมืดด้านหลังอย่างเงียบ ๆ

เฟิงเหยาเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อสำรวจราคาสินค้าในตลาด ดูเหมือนในโลกนิยายมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการรวมสามดินแดนเข้าด้วยกัน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะแสดงว่ามีเซียนผู้แข็งแกร่งอยู่ในโลกนี้ โลกที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ มันเพิ่มอันตรายขึ้นเป็นเท่าตัว

“เฮ่ย! หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าโจรชั่ว หลอกขายสมุนไพรให้ข้า เจ้าอย่าให้ข้าจับได้นะ!” เสียงโหวกเหวกดังขึ้นบนถนน เฟิงเหยาหันไปมองและเห็นคนวิ่งผ่านไปไกลลิบ ๆ ขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนวิ่งตามดูเหนื่อยแทบขาดใจหอบแฮ่ก ๆ ราวกับสุนัขขาดน้ำ

“หยุดนะ…แฮ่ก บ้าจริง แล้วข้าจะทำยังไงล่ะเนี่ย ถ้าท่านปู่พบว่าข้าโดนหลอกขายห่อซิ่วโอขาดไปร้อยปี ข้าจะทำยังไงดี โถ่เว้ย!” ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะถอดใจเพราะตามหัวขโมยไม่ทัน สุดท้ายก็บ่นกระปอดประแปด

ทหารยามวิ่งเข้ามาจับตัวเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อสอบถามได้ความว่าเกิดอะไรขึ้น ก็วิ่งตามไปในทิศทางที่คนร้ายหนีไป แต่มาช้าขนาดนี้…สมแล้วที่เป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อย เป็นเหมือนกันทุกที่สินะ มาช้าตลอด!

“บ้าจริง ตั้งสองพันหยกขาว แต่ข้ากลับโดนหลอกขายห่อซิ่วโอวอายุสี่ร้อยปีมาเนี่ยนะ ท่านปู่ต้องตีข้าตายแน่ ๆ ”

เฟิงเหยาที่ตั้งใจจะเดินผ่านไป เพราะไม่อยากเป็นจุดเด่นเลยเลือกยืนมองนิ่ง ๆ กลมกลืนกับธรรมชาติ แต่พอได้ยินเด็กหนุ่มคนนั้นพูดถึงเงินจำนวนมหาศาล หูนางก็ผึ่งขึ้นมา

โครก~ เสียงท้องร้องเบา ๆ ของเด็กหญิงทำให้ชาวบ้านรอบด้านหันมามองแล้วหัวเราะด้วยความขบขันปนเอ็นดู เฟิงเหยาที่ยังไม่ชินหน้าแดงก่ำเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด

‘เป็นไงเป็นกัน ยังไงเราก็ไม่มีวิธีหาเงินวิธีอื่นแล้ว พี่ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นคนดี หาเงินสักหน่อยให้พอได้กินข้าวสักมื้อก็ยังดี’

คิดแล้วเท้าเล็กก็พาเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งเครียดอยู่หน้าร้านซาลาเปา นางเงยหน้าขึ้นมองหน้าร้าน

‘ซาลาเปาหงเมิ่ง ดูน่ากินเหมือนกันนะ กลิ่นหอมแบบนี้ต้องอร่อยแน่ ๆ เดี๋ยว ๆ นี่ไม่ใช่เวลามาหิว!’ ตึงสติตัวเองแล้วก็หันกลับมาที่เด็กหนุ่ม เขาดูเหมือนคุณชายบัณฑิตน้อยท่าทางสะอาดสะอ้าน ดูแล้วอายุน่าจะราวสิบสามสิบสี่หนาว

“พี่ชาย ข้าสามารถช่วยเพิ่มอายุสมุนไพรของท่านได้ด้วยธาตุไม้”เสียงของเด็กน้อยไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเห็นเด็กน้อยอายุราวแปดหนาวยืนอยู่ตรงหน้า เขาขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นเสื้อผ้าสกปรกของนาง

“เจ้าจะทำอะไรได้ ธาตุไม้หรือ มันจะเพิ่มได้สักกี่ปีเชียว ท่านปู่ของข้านอนกลางวันอีกไม่นานก็จะตื่นแล้ว ข้าต้องโดนตีตายแน่ ๆ ”

“แต่ข้าทำได้จริง ๆ นะ…หนึ่งร้อยปี” เฟิงเหยาไม่ได้อยากเด่น นางเลยเลือกที่จะกระซิบบอกเด็กหนุ่มในประโยคหลัง

“เด็กน้อย เจ้าอย่าขี้โม้ไปหน่อยเลย คงมีแต่ท่านเซียนเท่านั้นที่สามารถทำให้สมุนไพรเติบโตได้ในพริบตา ไป ๆ ไปไกล ๆ คุณชายน้อย ข้าขอทางให้คนเข้าร้านได้หรือไม่” ลุงเจ้าของร้านซาลาเปาเดินออกมาไล่คนทั้งสอง แต่ปฏิบัติอย่างต่างกันสุดขั้วจนเฟิงเหยาที่ยังเป็นเพียงเด็กน้อยหน้าแดงแก้มป่องด้วยความโกรธ

‘ฮึ คอยดูเถอะตาลุงนี่ ถ้าข้ามีเงินเมื่อไหร่จะมาเหมาซื้อซาลาเปาในร้านจนต้องยกย่องข้าเป็นบรรพบุรุษแน่ ๆ ’ เฟิงเหยาสูดจมูกด้วยท่าทางยืด ๆ ก่อนจะจับแขนเสื้อของเด็กหนุ่มอย่างถือวิสาสะ

“พี่ชายถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ มาเถอะท่านเห็นท่าทางของข้าหรือยัง ข้าดูเร่งรีบใช้เงินท่านไม่เห็นหรือว่าข้าหิวมาก ดังนั้นข้าไม่โกหกท่านแน่นอน”

“เจ้า…” เด็กหนุ่มไม่รู้จะโต้ตอบ หรือพูดอะไรก่อนดี เขาอยากจะสะบัดแขนเสื้อออกแต่เด็กน้อยกลับจับไว้แน่นมากจนเด็กหนุ่มสู้แรงไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงต้องยอมพานางกลับมาที่ร้านด้วยทั้งอย่างนั้น

“...” มองเด็กน้อยที่ดูเหมือนจะหิวมากจริง ๆ เด็กหนุ่มก็หันไปพูดกับเจ้าของร้านซาลาเปา

“ท่านลุงเอาซาลาเปาเนื้อสองลูก”

“ได้เลยขอรับคุณชายน้อย นี่ซาลาเปาของท่าน”

เฟิงเหยาได้ยินอย่างนั้นก็รีบเก็บท่าทีไม่ให้แสดงออกว่าอยากลองชิมซาลาเปานั่น เดินตามเขากลับมาถึงร้านสมุนไพรเล็ก ๆ นางไม่ได้คาดหวังว่าหนึ่งในสองลูกนั้นเขาจะให้ตนเลย…จริง ๆ นะ!

คิดแล้วก็แอบเหลือบมองซาลาเปาทีหนึ่งก่อนจะลอบมองหน้าเด็กหนุ่มที่เดินนำหน้าเล็กน้อย แต่เขายังเดินถือซาลาเปาไปจนกระทั่งมาถึงร้านสมุนไพร

“อ่ะ เจ้ากินนี่ก่อน ข้าจะไปเอาสมุนไพรนั้นออกมา เด็กน้อยถ้าเจ้า…” เด็กหนุ่มคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยถือซาลาเปาไว้นิ่ง ไม่ได้รีบกินอย่างตะกละตะกรามเหมือนกับเหล่าขอทานน้อยที่เขาเคยช่วยเหลือ ก็ตัดสินใจว่าไว้ค่อยคุยกับนางทีหลังก็ได้

“รออยู่นี่ ถ้ามีคนเข้ามาก็บอกให้รอก่อน” มองจากเสื้อผ้าแล้วนี่ควรจะเป็นคุณหนูน้อยผู้หนึ่งที่ตกต่ำลงมา เขาจึงคิดว่านางอับอายเลยเลือกจะปลีกตัวไปชั่วคราวให้เวลาอีกฝ่ายกินข้าว

ร้านสมุนไพรเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ในซอกหลืบ แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่สมุนไพรในชั้นก็ล้วนแต่ล้ำค่า น่าแปลกที่ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้ไม่เติบโตไปมากกว่านี้ เชื่อว่าแค่ขายสมุนไพรล้ำค่าเหล่านั้นสักต้นก็น่าจะเพียงพอสำหรับซื้อตึกใจกลางเมืองม่านหมอกได้แลว

“รอนานไหม เอ๊ะ รอก่อนนะเด็กน้อย เข้ามาเลยท่านป้า วันนี้ท่านมาสายนะขอรับ” เด็กหนุ่มเดินเอาสมุนไพรที่ห่อผ้า มาวางไว้บนโต๊ะที่เฟิงเหยานั่งอยู่ ก่อนจะรีบเดินออกไปช่วยยกตะกร้าสะพายหลังขนาดใหญ่ ของหญิงวัยกลางคนซึ่งจูงเด็กเดินเข้ามาในร้าน

“ท่านป้า วันนี้ได้สมุนไพรมาไม่น้อย แต่ยังติดหญ้ามาบ้าง เดี๋ยวข้าจะช่วยคัดแยกรอสักครู่”

เฟิงเหยาที่เพิ่งแอบกินซาลาเปาเนื้อสองก้อนนั้นหมด เดินไปดูสมุนไพรในตะกร้าที่เด็กหนุ่มกำลังแยก ต้องบอกว่าทั้งหมดนี้มีสมุนไพรอยู่แค่สิบต้น ที่เหลือมีแต่พืชอื่น ๆ และหญ้าทั้งนั้น

หญิงสาวเห็นเด็กน้อยดูเหมือนจะขาดสารอาหาร ส่วนท่านป้าก็ผอมจนหนังติดกระดูก ก็รู้สึกเวทนาเหลือเกิน นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไป

“พี่ชาย พวกนี้ท่านทิ้งทั้งหมดหรือ”

เด็กหนุ่มมองตามมือของเด็กน้อย นั่นเป็นกองหญ้าที่เขาแยกออกจากสมุนไพรนั่นเอง

“ใช่…ชาวบ้านไม่ค่อยมีความรู้ ส่วนมากมักจะหยิบมาผิดคิดว่าเป็นสมุนไพร แต่ไม่ใช่…”

เฟิงเหยามองต้นสมุนไพรที่ถูกแยกออกมา นอกจากจะเหี่ยวเฉาเร็วเพราะเก็บมาผิดวิธีแล้ว พลังชีวิตก็เหลือน้อยจนแทบไม่ฟื้น บ้างเล็กเกินไปทั้งยังไม่มีสรรพคุณทางยา แต่ชายหนุ่มก็เก็บไว้อย่างระมัดระวัง

‘มิน่า ที่นี่ถึงไม่รวยเสียที เพราะเงินที่มีก็กระจายออกไปให้ชาวบ้านยากจนนี่เอง’ ดูจากที่เด็กหนุ่มอุตส่าห์ซื้อซาลาเปาให้นางฟรี ๆ สองก้อนเพียงเพราะเห็นว่านางหิว ก็ทำให้สามารถรู้นิสัยเจ้าของร้านนี้ได้แล้ว

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอนะ พี่ชายข้าได้กลิ่นน้ำมัน ด้านหลังนั้นมีห้องครัวใช่ไหม”

“ใช่ เจ้าจะทำอะไร”

“ข้าขอยืมครัวท่านทำอาหารสักหน่อยได้หรือไม่”

“หะ!” เด็กหนุ่มรู้สึกสับสนจนต้องร้องฮะ

“พวกนี้คือผักป่า กินได้ ข้าจึงอยากทำมาให้ท่านป้าและน้องเล็กกินสักจาน พวกเขาดูหิวกว่าข้าก่อนหน้านี้เสียอีก”

เมื่อพูดอย่างนั้นก็มองไปทางสองแม่ลูก ซึ่งเด็กหนุ่มเองก็เพิ่งสังเหตเห็นว่าทั้งคู่หิวจนจะเป็นลมแล้ว ดูสภาพแย่กว่าที่เคยมาคราวก่อนซะอีก

“เอาล่ะ ในนั้นมีข้าวหุงเอาไว้หม้อหนึ่ง ตักมาให้ท่านป้าด้วย”

“...” เฟิงเหยายิ้มแป้น นางมองคนไม่ผิดจริง ๆ พี่ชายร้านนี้ใจดีมาก ๆ แบบนี้ค่อยเหมาะจะเปิดเผยความลับและทำงานด้วยซะหน่อย

เด็กน้อยเก็บผักป่าขึ้นมา จากนั้นก็แยกเป็นสองจาน จานหนึ่งมีรสขมเล็กน้อยแต่ผู้ใหญ่สามารถกินได้ อีกจานมีความหวานกว่าเหมาะสำหรับให้เด็กน้อยลองกินดู

ในครัวไม่ได้มีน้ำมันเยอะ มีแค่น้ำมันหมูที่เจ้าของเจียวใส่ไหเอาไว้ใช้ในครัวเรือนแสดงว่าบ้านนี้ทำกับข้าวเป็น นางใช้น้ำมันหมูพร้อมกากเจียวเล็กน้อยผัดผักทั้งสองจาน ปรุงด้วยเกลือเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะตักข้าวออกมาหนึ่งจาน

“ท่านป้า ท่านมาเหนื่อย ๆ มาลองทานข้าวก่อนเถอะ”

“คุณหนูน้อย นี่ไม่เหมาะสม ข้ากับลูกชายแค่นำสมุนไพรมาขายเท่านั้น”

“นี่เป็นผักป่าที่พวกท่านเก็บมาเอง ลองกินดูสิเจ้าคะ นี่ข้าเหลือตัวอย่างเอาไว้ด้วย คราวหน้าหากท่านต้องการกินอีกก็สามารถเก็บผักป่าเหล่านี้มากินได้ด้วยตนเอง จะได้ไม่ต้องมาเสียเปล่าเพราะถูกคัดทิ้งเช่นนี้”

“จริงหรือเจ้าคะ” ท่านป้านางดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อลองกินดู ผัดผักในจานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยฝีมือของสองแม่ลูก พวกนางยังรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เพราะไม่ได้กินอาหารดี ๆ มาหลายวันแล้วเมื่อได้กลิ่นมันหมูจึงอดใจไม่ได้

“ขออภัยคุณหนู ข้าเผลอกินหมด ลืมแบ่งท่านเสียแล้ว”

“ท่านป้าอย่าได้เกรงใจไป ข้าวนี้เป็นของร้านนี้ เจ้าของร้านเป็นคนใจดีแบ่งข้าวออกมาให้ท่านลองชิมกับผัดผัก ต้องขอบคุณเจ้าของร้าน”

“ขอบคุณคุณชายน้อย และนายท่านผู้เฒ่า พวกท่านช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเรามาโดยตลอด ขอบคุณจริง ๆ เจ้าค่ะ” ท่านป้ากล่าวด้วยความจริงใจ

“ท่านป้าอย่าคิดมาก นี่ค่าสมุนไพรวันนี้” เด็กหนุ่มร้านขายยามอบถุงเงินให้นาง เฟิงเหยาเห็นอย่างนั้นก็เดินไปพูดกับท่านป้าต่อ

“ท่านป้า สมุนไพรที่ท่านนำมาขายนั้นดูเหมือนจะถูกเก็บมาอย่างผิด ๆ คราวหน้าท่านลองใช้กิ่งไม้ขุดห่างออกจากตัวต้นสัก2-3ชุ่น รอบ ๆ ต้นสมุนไพรจากนั้นค่อยใช้ไม้ดันดินใต้ต้นสมุนไพรขึ้นมา แค่นี้สมุนไพรก็จะไม่ตาย ขายได้ราคาดีกว่า”

“ขอบคุณคุณหนูที่ชี้แนะ คุณหนูเป็นผู้มีพระคุณของเราแม่ลูกจริง ๆ เจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนก้มหัวให้เด็กหญิงตรงหน้าด้วยความตื้นตันใจอย่างแท้จริง

เด็กหนุ่มมองหญิงวัยกลางคนจูงมือลูกเดินออกจากร้านไป เขาหันกลับมามองเด็กน้อยตั้งใจจะอ้าปากถาม แต่กลับเห็นนางกำลังใช้พลังธาตุไม้เพื่อเร่งการเติบโตของสมุนไพรในห่อ ก็ไม่กล้าที่จะรบกวน

เด็กหนุ่มไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นดวงตาของเด็กหญิง เขารู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง และนางไม่ได้โกหก ดังนั้นแม้จะเป็นสมุนไพรราคาสองพันหยกขาว เขาก็พร้อมที่จะนำมาเสี่ยง

เป็นความรู้สึกที่แปลกจริง ๆ

“เรียบร้อย พี่ชายท่านมาดูว่าใช้ได้หรือไม่”

“หะ หา~” เด็กหนุ่มรีบเดินเข้าไปดู เปิดผ้าที่วางทับสมุนไพรออก ห่อซิ่วโอวเติบโตขึ้นมาร้อยปีจริง ๆ แถมยังมีพลังอุดมสมบูรณ์ราวกับได้รับน้ำและปุ๋ยที่ดีซะอย่างนั้น

“นี่เจ้า…นี่…”

“พี่ชาย ห่อซิ่วโอวห้าร้อยปีของท่านราคาสองพันหยกขาว ข้าเพิ่มการเติบโตขึ้นมาหนึ่งร้อยปี ย่อมต้องมีส่วนแบ่งไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่ หวังว่าท่านจะไม่เอาเปรียบเด็กตาดำ ๆ เช่นข้านะเจ้าคะ” เฟิงเหยาไม่ใช่คนช่างพูด แต่นางเป็นคนขี้อ้อน ดังนั้นจึงสามารถใช้ตาใสกระจ่างของเด็กน้อยน่ารักอ้อนเด็กหนุ่มที่เพิ่งพบกันได้อย่างหน้าซื่อตาใส

“ใช่…ใช่…เดี๋ยวก่อนนะ ข้า…ขอเวลาก่อน” เด็กหนุ่มทำการเก็บสมุนไพรให้เรียบร้อย จากนั้นเดินไปยังโต๊ะเก็บเงิน นำเงินออกมาใส่ถุงพร้อมกับเพิ่มลงเงินลงไปอีกเล็กน้อยจากจำนวนตามปกติ ก่อนจะเดินกลับมาหาเด็กน้อย

“นี่ค่าจ้างของเจ้า เด็กน้อย…เจ้าสนใจร่วมงานกับร้านเราหรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้…เจ้าไม่ควรเผยความสามารถนี้ต่อหน้าผู้อื่น ไม่เช่นนั้นหากกองกำลังหรือพวกชั่วช้ารู้เรื่องเข้า มันอาจจับเจ้าไปเป็นทาสไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย”

“ข้าทราบเจ้าค่ะ ข้าก็ดูก่อนแล้วว่าท่านเป็นคนจิตใจดี” เฟิงเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม รับถุงเงินมาเปิดดูเมื่อเห็นว่าด้านในนั้นมีหยกขาวอยู่เยอะในใจก็นึกถึงร้านเป็ดย่างที่เดินผ่านมา หรือจะร้านเป็ดปักกิ่ง ร้านหมูหัน อ่า…เพราะเป็นยุคที่พวกนางเอกพระเอกกำลังจะมาเกิด ดังนั้นเลยมีของกินหลากหลายเลยสินะ หรือเป็นเพราะมีท่านจอมมารจำแลงอยู่กันนะ

“เด็กน้อย เจ้าสนใจจะเป็นพนักงานประจำของร้านเราหรือไม่ ร้านเรายินดีมอบส่วนแบ่งให้เจ้าสามส่วน จากสมุนไพรที่เจ้าเพิ่มอายุขึ้นมาได้”

“พี่ชาย ข้าไม่สามารถใช้พลังได้อย่างไร้ขีดจำกัด พลังของข้าเองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ท่านในฐานะผู้ฝึกตนก็น่าจะรู้”

“ข้ารู้ ๆ ข้าไม่ได้จะบังคับบีบคั้น เจ้าสามารถทำได้เมื่อเจ้าต้องการ”

“ข้าสามารถ…” เฟิงเหยาชะงักไป นางกำลังจะบอกว่าตนเองสามารถเพิ่มความเร็วเติบโตได้วันละร้อยปี แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็กลืนคำพูดลงคอไป

‘ฉันเอาแว่นสีมองคนดีงั้นเหรอ พี่ชายคนนี้เป็นคนดีกว่าที่คิดแฮะ’ เฟิงเหยาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้น…” เฟิงเหยากำลังจะขอตัวออกจากร้านไป รวมถึงตอบตกลงร่วมงานกัน แต่เสียงของชายชราที่มาจากชั้นสองของร้านก็ดังขึ้นเสียก่อน ทำให้เด็กสองคนในร้านหันไปมองพร้อมกัน

“นังหนู แล้วเจ้าจะไปที่ไหนต่อ”

“ท่านปู่ ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ” เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปประคองท่านปู่ที่เพิ่งปรากฎตัว คาดว่าน่าจะเป็นผู้อาวุโสเจ้าของร้านขายสมุนไพรแห่งนี้

“เจ้าน่ะอยู่เฉย ๆ ไปเถอะ เจ้าหลานไม่ได้เรื่อง…นังหนู ว่ายังไงเจ้าจะไปที่ใดต่อ” ชายชราหันไปดุหลานชาย ก่อนจะหันกลับมาถามเฟิงเหยา

“ผู้อาวุโส ข้าเป็นเด็กกำพร้า คิดว่าคงไปเช่าโรงเตี๊ยมนอนสักคืน ขณะที่หาเงินเพื่อหาบ้านเช่าสักหลังในเมือง อาศัยปลูกพืชผักเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ ปลูกสมุนไพรด้วยพลังธาตุไม้ที่ตนฝึกฝนเจ้าค่ะ” เฟิงเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว เหมือนเด็กน้อยที่มองโลกในแง่ดีคนหนึ่ง

แต่ชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แม้รู้ดีแก่ใจ นางก็ยังเชื่อว่าชีวิตจะง่ายแบบนั้น เหมือนในนิยายสโลไลฟ์ ถ้าตัวเอกไม่มีตัวละครลับหรือคนรอบข้างคอยปกป้อง ก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตสโลไลฟ์แบบนั้นได้ หากไม่แข็งแกร่งจะอยู่ที่ใดก็คงไม่รอด

“เช่นนั้นเจ้าสนใจ มาเป็นหลานสาวของข้าหรือไม่”

“ท่านปู่! ท่านจะหลอกใช้งานสาวน้อยน่ารักคนนี้ไม่ได้นะขอรับ!” เด็กหนุ่มรีบแย้งขึ้นมากลางปล้อง ทำให้ผู้เป็นปู่หัวเราะเสียงดัง

“เจ้าเด็กโง่ ข้าหลอกใช้นางที่ใด เจ้าต่างหากที่หลอกให้นางทำงานด้วย เด็กน้อยเจ้าพอมีเวลานั่งจิบชากับข้าสักครู่ได้หรือไม่”

“ได้เจ้าค่ะ…” เฟิงเหยาหันออกไปมองนอกร้าน ท้องฟ้ายังเป็นสีฟ้าสดใส ไม่เหมือนใกล้มืด นางยังสามารถอยู่คุยกับคนชราได้สักพัก

“มาเถอะ อาหยงนำชามารับรองน้องสาวเจ้าสิ”

“ท่านปู่!”

“อาหยง!”

สองปู่หลานมองหน้ากันอย่างไม่ยอมแพ้ สุดท้ายฝ่ายหลานชายก็พ่ายแพ้ไป เขาเดินหุนหันเข้าไปในห้องครัวแล้วออกมาพร้อมกับชุดน้ำชาจริง ๆ

“เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลังของเจ้าไม่ควรให้ใครรู้ง่าย ๆ สามัญสำนึกของเจ้าน่าจะหายไปตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาสินะ จึงได้เผยตัวง่าย ๆ เช่นนี้”

“ผู้อาวุโส สิ่งที่ข้าทำอาจเพราะคิดน้อยจริง ๆ แต่ไม่สามารถตัดสินได้ว่าดีหรือไม่ดีหรอกเจ้าค่ะ ในเมื่อพวกท่านก็เป็นคนดี ไม่คิดรังแกข้าน้อยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เฟิงเหยายื่นมือไปรินชาให้ชายชราด้วยความเคารพ ในอดีตนางก็เคยทำเช่นนี้กับท่านยายบ่อย ๆ จึงเคยชินไปเอง

ชายชราเห็นอย่างนั้นก็พึงพอใจอย่างยิ่ง เด็กคนนี้รู้จักผู้คนดีกว่าหลานชายของเขา ไม่แน่เขาอาจพอจะฝากฝังหลานชายไว้กับเด็กคนนี้ได้

“เด็กน้อยจริง ๆ แล้ว ข้ากับหลานชาย เหลือกันอยู่สองคน เมื่อพบว่าเจ้ามีพลังนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือเจ้าเป็นเด็กหญิงตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ไม่ดีกว่าหรือหากข้าจะรับสิ่งล้ำค่าเช่นเจ้าไว้เอง ในเมื่อข้าก็เป็นคนดีมากพอที่จะไม่ใช้ประโยชน์จากเจ้า ดีกว่าปล่อยเจ้าออกไปเจอผู้อื่น ใครก็ไม่รู้ที่ดีหรือไม่ดีก็ไม่สามารถคาดเดาได้”

“ท่านปู่พูดถูก…ข้าน้อยมีนามว่าเฟิงเหยา”

“เฟิงเหยาอ่า ข้าแซ่หยาง นามเร่อฉี ส่วนหลานชายข้า หยางรุ่ยหยง พวกเราเป็นสองคนสุดท้ายในตระกูลหยาง เด็กน้อย เจ้าสนใจเข้าร่วมสกุลของเราหรือไม่”

“ท่านปู่ ข้าเชื่อว่าพวกท่านเป็นคนดีและจากนี้ ข้าขอฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ” เฟิงหยางยกจอกน้ำชาขึ้นคารวะปู่คนใหม่

ในเมื่อตัวเอกในนิยายอยากใช้ชีวิตสโลไลฟ์ต้องมีคนคอยรับมือรับเรื่องรอบด้านให้ นางเองก็แค่ทำแบบเดียวกัน และสองปู่หลานแซ่หยางก็เป็นคน ๆ นั้นสำหรับนาง

ชีวิตสโลไลฟ์ที่ใฝ่ฝัน อีกไม่นานก็จะได้กินแต่ของอร่อยอย่างสบายใจแล้วสินะ

“มานี่สิอาหยง รับจอกน้ำชาจากน้องสาวเจ้าสิ”

“น้อง…น้องสาว หะ หะ น้องสาว ข้ามีน้องสาว…” เด็กหนุ่มดูเหมือนจะตะลึงจนสติหลุดไปชั่วขณะ สุดท้ายเขาก็ยกจอกขึ้นดื่มอย่างมึนงง พิธีรับน้องสาวเลยจบไปเช่นนี้

“อาเหยาอ่า ร้านนี้ชั้นบนมีอยู่สามห้อง เป็นห้องเก็บสมุนไพรหนึ่งห้อง ห้องนอนของปู่และอาหยง แต่ด้านหลังร้านมีแปลงปลูกสมุนไพร และเรือนเล็ก ๆ ตั้งอยู่ท้ายสวน ถ้าไม่รังเกียจปู่จะให้คนเตรียมเรือนนั้นให้หลาน คงไม่ติดอะไรใช่หรือไม่”

“ข้าไม่ติดอะไรเจ้าค่ะ ท่านปู่ มีสวนสมุนไพรด้วยหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยเรียกท่านปู่เจื้อยแจ้ว ทำให้คนชราหนวดกระดิกด้วยความอารมณ์ดี

“มีสิ มาปู่จะพาไปดู อาหยงไปตามคนมาทำความสะอาดเรือนให้น้องสาวเจ้าซะสิ”

“ขอรับท่านปู่” รุ่ยหยงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนรับใช้ในบ้านนี้ และมีคุณหนูน้อยคนใหม่เข้ามาเพิ่มยังไงก็ไม่รู้สิ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ