ตอนที่ 12 ยังไม่ทันเริ่มก็จบแล้ว

ฉั้วะ!

เสียงแปลก ๆ ดังขึ้นปลุกให้สติของหญิงสาวให้ตื่นขึ้น เมื่อนางลืมตาภาพตรงหน้าคือชายชุดดำ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งกว่าท่านยมทูตคนก่อน ดวงตาคมกริบดั่งสัตว์ร้ายจ้องมองมากลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

‘หรือนี่จะเป็นเฮยไป๋อู่ฉาง’ นางรู้แล้วว่าหากตกตายในคราวนี้จะไม่ได้พบกับท่านยมทูตอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจหากจะมียมทูตตนอื่นมารับวิญญาณไป

“ท่านยม…”ยังไม่ทันกล่าวจบคำ กลิ่นคาวเลือดก็กระแทกเข้าสู่โสตประสาท ดวงตางามกลอกไปมองรอบด้านอย่างอดไม่ได้ ภาพที่เห็นทำให้ร่างงามสั่นสะท้าน เศษเลือดและเนื้อกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ดวงหน้าหวานกลายเป็นซีดเผือดไร้สีขณะค่อย ๆ หันคอกลับไปมองชายชุดดำที่ยืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้า ดวงตาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว

แม้จะสวมชุดดำเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ยมทูต!

นางตระหนักรู้ได้ทันทีหลังจากได้เห็นซากศพโดยรอบ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ยมทูตพานางมาอย่างแน่นอน แม้จะเป็นเศษเนื้อก็ยังมีซากเสื้อผ้าสีดำของพวกเขาหลงเหลือ ที่กองอยู่โดยรอบน่าจะเป็นชายชุดดำที่จับตนมา

ยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ที่แน่ ๆ คือนางยังไม่ตายและน่าจะถูกลักพาตัวมา…อยู่ในโลงศพ และชายตรงหน้าก็สังหารชายชุดดำรอบ ๆ จนหมด

พรึ่บ!

ร่างเล็กของหญิงสาวในชุดไว้ทุกข์อ่อนเปลี้ยลงทันตา นางหมดสติไปอีกครั้งแล้ว

คนตัวโตผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาโบกมือเบา ๆเพื่อเรียกคน ชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งออกมาจากเงามืด คุกเข่าลงตรงหน้า

“นายท่านมีสิ่งใดให้พวกข้ารับใช้”

“เก็บกวาดซะ” ว่าแล้วร่างสูงก็ก้มตัวลงไปในโลงศพสีดำ ซึ่งร่างเล็กของหญิงสาวนอนขดอยู่ด้วยท่าทางหวาดกลัว ตอนนี้นางอาจกำลังฝันร้ายเพราะภาพที่เห็น แต่เมื่อแขนแกร่งโอบร่างนางมาแนบกายหญิงสาวกลับไม่ได้มีท่าทางขัดขืน

“นายท่าน ให้ข้านำตัวนางไป” ชายชุดดำคนหนึ่งเดินขึ้นมาเสนอตัว กลับโดนชายหนุ่มใช้เท้าเตะเขาออก กระชับร่างบอบบางในอ้อมแขนมากขึ้น

“ไม่จำเป็น!” ว่าแล้วก็แตะปลายเท้าเบา ๆ ร่างสูงในชุดสีดำลอยขึ้นหายไปจากจุดนั้นในเวลาไม่นาน

จิ้บ ๆ ๆ

เสียงนกร้องดังขึ้นข้างหู ร่างเล็กบนเตียงขยับไปมาไม่นานก็ลืมตา ลุกขึ้นนั่งเหม่อลอยไร้สติอยู่บนเตียง มองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางตื่นกลัวและมึนงง

“อะไรอีกล่ะเนี่ย”

“ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่” ไม่เห็นคนอยู่ในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา นางก็เริ่มที่จะใช้มือจับร่างตนเอง ดูชีพจร รวมถึงดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ พบว่าร่างกายยังอุ่น ๆ แสดงว่าเพิ่งตายไม่นาน เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว นางยังมีชีวิตอยู่

ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดแม้จะยังยิ้มไม่ออกเพราะความสับสน แต่แค่นี้ก็วางใจไปได้หนึ่งเปราะ ชีวิตน้อย ๆ ของตนยังเหลืออยู่ มองไปรอบห้องมีเครื่องเรือนหรูหราแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้จะดูเรียบง่ายแต่กลับใช้ไม้ราคาแพง ไร้เครื่องประดับแต่กลับโอ่อ่ากว่าราคาที่ตามองเห็น

“ข้าอยู่ที่ไหน”

หนิงอันยังไม่เข้าใจมากนัก นึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่จะคิดว่าตนเองได้ตายไปแล้ว คือภาพที่ชายชุดดำจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากป่าไผ่ คล้ายพวกเขาใช้ยาพิษอะไรสักอย่างทำให้นางนอนหลับไปเท่านั้น มิได้ตาย

“ค่อยยังชั่ว” รู้ว่าตัวเองยังไม่ตายก็เบาใจ แต่พอนึกถึงภาพถัดมาร่างกายพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าสาวงามกลายเป็นซีดเผือดไร้สีเลือด

“ไม่ใช่ท่านยมทูต” ชายชุดดำผู้นั้นเป็นใคร หนิงอันไม่แน่ใจ แต่เขาฆ่าคนอย่างเลือดเย็น ทั้งยังมีสีหน้าเย็นชาจนไม่อยากเข้าใกล้

“ฮึบ พยายามคิดดี ๆ หนิงอัน” หญิงสาวเอ่ยปากเตือนตัวเองให้ตั้งสติสักหน่อย สูดหายใจเข้าลึกสองสามรอบ ก็เริ่มคิดวิเคราะห์อีกครั้ง ตอนนี้นางมีสิ่งเดียวที่ต้องทำให้ได้ คือมีชีวิตให้ยืนยาว! ก่อนอื่นต้องพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้น และต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้พบชะตากรรมกลายเป็นเศษเนื้อเหมือนกับคนชุดดำพวกนั้น

“อ้วก”

พอนึกถึงเศษเนื้อที่เห็นเมื่อวาน น้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มทำงานจนอยากจะอาเจียน โก่งคอออกไปนอกเตียงก็มีเพียงน้ำลายที่ยืดยาวออกมา พอเห็นซากความสกปรกที่ตนเองทำลงไปก็กระวีกระวาดรีบมองไปรอบ ๆ เห็นผ้าเช็ดหน้าพับวางไว้โต๊ะหัวเตียงอย่างดี หนิงอันจึงหยิบมาเช็ดคราบน้ำลายของตัวเองอย่างลวก ๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ข้าเข้าไปนะเจ้าคะ” เสียงหญิงสาวจากด้านนอกทำให้หนิงอันรีบยืดตัวกลับมานั่งตัวตรง หยิบผ้าเช็ดหน้าติดมือมา คิดว่าจะเอาไปซักในภายหลัง ประตูห้องเปิดออกโดยที่นางยังไม่ทันบอกอนุญาต แต่ตอนนี้นางไม่คำนึงถึงมารยาทใด ๆ ทั้งนั้น

ดวงตาดอกท้อของสาวงามจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ อีกฝ่ายเดินถืออ่างล้างหน้าเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็เดินออกไปนำถาดอาหารมาจัดเรียงบนโต๊ะกลางห้อง จากนั้นก็เดินวุ่นเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศ ลมเย็นที่พัดเข้ามายังไม่น่าตกใจเท่าบรรยากาศรอบ ๆ เรือน ซึ่งสวยงามเป็นอย่างยิ่งจนคนเพิ่งเคยเห็นอดตะลึงไม่ได้

“ให้ข้าปรนนิบัติหรือไม่เจ้าคะ”

เสียงหญิงสาวดังขึ้นขัดจังหวะ หนิงอันจึงหันไปมอง อีกฝ่ายมีรูปร่างเย้ายวนหน้าตาออกจะธรรมดาไปเสียหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นสาวงามผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเนื้อดีกว่านางตอนนี้เสียอีก แต่กลับมีท่าทางเหมือนสาวใช้?

“ขออภัย ข้ายังไม่ได้แนะนำตนเอง ข้ามีนามว่าอันเซ่อ เป็นสาวใช้ส่วนตัวของท่าน”

“สาวใช้… ของข้า!?” แนะนำตัวว่าเป็นสาวใช้ ยังไม่น่าตกใจเท่าเป็นของตนเอง นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

“...” อีกฝ่ายมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ หนิงอันรู้สึกสับสนจึงเผลอโบกมือไล่อีกฝ่ายออกไปเพราะต้องการอยู่คนเดียวสักพัก

แอ๊ด!

เสียงประตูปิดลงราวกับทำให้ทั้งห้องมีบรรยากาศซบเซาตามไปด้วย เพราะตอนนี้เจ้าของห้องกำลังนั่งครุ่นคิดอย่างหนักด้วยความไม่เข้าใจ ต้องมานั่งไล่เรียงเหตุการณ์ใหม่อีกครั้งเพื่อวิเคราะห์

“ข้าโดนชายชุดดำจับมา ชายชุดดำอีกคนฆ่าชายชุดดำที่จับข้ามา แล้ว…แล้วก็มอบสาวใช้และเรือนสวย ๆ ให้” มือบางรีบยกขึ้นจับใบหน้า

“ถึงข้าจะสวยก็เถอะ แต่จะเป็นไปได้หรือ บุรุษหล่อเหลาราวกับเทพเซียนคงไม่หลงรักข้าตั้งแต่แรกพบหรืออะไรทำนองนั้นหรอกมั้ง” คิดไปเองก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องเกินจริงก็ไม่กล้าที่จะคิดต่อ นั่งคิดประเด็นเดิม ๆ อยู่นานเพราะเหมือนมองข้ามอะไรไป พลันเหลือบตามองไปเห็นผ้าม่านที่เป็นสีเทาโปร่ง ทั้งยังมีม่านสีดำทึบซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ชุดดำ…วังมาร!” ปากบางอ้าเหวออย่างหุบไม่ลง เมื่อประติดประต่อดูแล้ว ดูเหมือนมีความเป็นไปได้สูงว่า จะเป็นการทะเลาะกันในหมู่คนวังมารด้วยกันเอง ส่วนนางก็กลายเป็นความโชคร้ายที่บังเอิญติดมาระหว่างที่เทพเซียนปะทะกันงั้นหรือ?

“ทำไมข้าถึงโชคร้ายเช่นนี้” หนิงอันอดบ่นไม่ได้ นางถูกชายชุดดำจับตัวมา หากชายชุดดำไม่ใช่คนวังมารก็อาจเป็นพวกโจร ส่วนคนวังมารอาจช่วยนางจากโจร แต่การที่ไม่ส่งคนไปโรงหมอ กลับจับมาไว้ในเรือนเช่นนี้ คิดเป็นอื่นไปไม่ได้

“ข้างามเกินไปสินะ” มือบางปิดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ ชายชุดดำผู้นั้นตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นจึงกักตัวนางไว้งั้นหรือ ช่างเหมือนในนิยายประโลมโลกพวกนั้นยิ่งนัก

“ไร้สาระ”

แต่นี่ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย หนิงอันเองมีชีวิตมาสามรอบแล้วย่อมไม่ถูกภาพลวงตาหลอกเอาได้ เมื่อรู้แล้วว่าตนอาจจะอยู่ในวังมาร คนงามก็เริ่มคิดแผนการที่จะมีชีวิตยืนยาว

ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่ ขอเพียงไม่ตายเร็ว นางพร้อมทำทุกอย่าง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ