เดิมทีก็ใช่ว่าจะมีกะจิตกะใจทำงานอยู่แล้ว พอวันแรกดันได้รับมอบหมายงานมากมายจากยี่หวาจนต้องทำล่วงเวลาอีก ที่รักจึงรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจจนใกล้จะหมดแรงเต็มที
“เฮ้อ... จบสักทีนะวันนี้”
เปรี้ยง! เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นตามท้ายมาติด ๆ หลังที่รักพูดจบคำ เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าออกไปมองที่ด้านนอก
“ฝนตกอีกแล้วเหรอ...” ที่รักบ่นพึมพำพร้อมคิดอย่างหน่ายใจอยู่ในหัว ที่ตัวเองอาจจะต้องไปนั่งรถเมล์ตอนฝนตกหนักอีก
เธอส่ายหน้าระอาน้อย ๆ ก่อนจะหมุนเก้าอี้และเตรียมจะลุกเพื่อกลับบ้าน แต่หลังจากหมุนเก้าอี้ไปเธอก็ตกใจจนต้องอุทานเสียงดัง เพราะเวลานี้มันดันมีผู้ชายยืนค้ำร่างเธออยู่
“อุ๊ยแม่ร่วง!” มีความเงียบก่อเกิดขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่งเพราะยังคงตกใจ แต่ที่รักก็ดึงสติเธอกลับมาได้ เธอจึงพูดถามเสียงสั่นออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ทะ ท่านประธานยังไม่กลับอีกเหรอคะ?”
“ทำไมพนักงานใหม่ถึงอยู่ดึกขนาดนี้?” กันต์ธี หรือก็คือประธานบริษัทผู้มีใบหน้าหล่อคมรูปร่างดีถามเธอกลับเสียงนิ่งพร้อมใบหน้าเรียบเฉยแทนที่จะตอบ
“อะ เอ่อ... พอดีฉันพึ่งทำงานเสร็จน่ะค่ะ” ที่รักกระอักกระอ่วนมวลท้องจนอยากขอตัวไปห้องน้ำ แต่ด้วยมารยาทเธอรู้ว่าไม่สามารถทำได้ จึงฝืนใจคุยต่อ
“ฝนตั้งเค้าเหมือนกำลังจะตก รีบกลับได้แล้ว” น้ำเสียงมันก็ราบเรียบไม่ได้มีอะไร แต่ไม่รู้ทำไมที่รักถึงได้กลัวอีกฝ่ายชอบกล
“ค่ะ! ฉันกำลังจะกลับอยู่พอดีเลย! ขอตัวก่อนนะคะ!” ที่รักสาวมือคว้ากระเป๋ามาถือ เธอยืนขึ้นด้วยความดีใจและเตรียมหนีกลับทันที แต่ก็เหมือนความซวยวันนี้ของเธอจะยังไม่จบลง เพราะกันต์ธียังชวนเธอคุยต่อแม้เธอจะไม่ต้องการ
“คุณกลับยังไง?”
“อ๋อ เอ่อ... รถเมล์มั้งคะ หรือไม่ก็วินมอเตอร์ไซค์---”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“คะ?” ปากมันพลั้งพูดไปก่อนจะได้คิด ที่รักจึงรีบยกมือขึ้นมาปิดไว้ก่อนเธอจะหลุดพ่นอะไรออกไปอีก
“ผมบอกว่าเดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ ๆ ๆ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันกลับเอง!” ที่รักโบกบ่ายมือปฏิเสธพัลวัน แต่มือนั้นก็หยุดชะงักหลังได้ยินคำพูดต่อมาของกันต์ธี
“เธออยากเปียกอีกรอบเหมือนเมื่อเช้าหรือไง? ถ้าไม่ก็ให้ฉันไปส่ง”
“ถือซะว่าแทนคำขอโทษเรื่องเมื่อเช้า” เบื้องหน้าคนอาจมองว่ากันต์ธีเป็นคนน่ากลัว เพราะเขามีมาดที่นิ่งขรึมและพูดน้อย แต่หากเป็นคนสนิทล่ะก็ จะรู้ว่าเนื้อแท้กันต์ธีก็เหมือน ๆ คนทั่วไป ออกไปทางใจดีด้วยซ้ำ
บทสนทนามันต่อไปไม่ได้เลยด้วยคำพูดที่กันต์ธีกล่าวมา สุดท้ายที่รักก็ทำได้เพียงว่าต้องเออออตามน้ำไป
ภายในห้องโดยสารของรถสปอร์ตคันหรูที่ที่รักคุ้นตา
ตอนนี้ตัวรถกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่พอดี ไม่ได้ช้าจนน่ารำคาญ ไม่ได้เร็วจนน่ากลัว แต่ที่รักกลับต้องเผชิญความรู้สึกที่ลำบากใจ เพราะในห้องโดยสารมันเงียบเกินไป
“ทำไมคุณถึงมาสมัครงานที่นี่?”
“เอ่อ ก็... ไม่ได้มีอะไรมากหรอกค่ะ ฉันแค่ชอบบริษัทนี้...” มันมีแค่นั้นเลยจริง ๆ สาเหตุที่ที่รักมาสมัครงานที่นี่ก็แค่เพราะเธอแค่ชอบบรรยากาศของที่ทำงาน และวิสัยทัศน์ของบริษัท
“งั้นเหรอ... แล้วทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีค่ะ งานที่ได้ทำก็เหมือนที่ฉันคิดไว้ ถึงจะมีเพิ่มมาบ้างก็เถอะ แต่สุดท้ายก็ถือว่าน่าประทับใจดี” ระหว่างที่พูดไปดวงตาของที่รักก็ส่องประกาย แต่อีกฝ่ายก็เพียงพยักหน้ารับแล้วเงียบไป
บทสนทนาไม่ได้มีอะไรเพิ่มอีกหลังจากนี้ แต่จากแค่ได้คุยกันไปสองสามประโยคนั้นก็ทำให้ที่รักรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น จนรู้ตัวอีกทีทั้งเธอและกันต์ธีก็มาถึงที่หมายแล้ว
ตามจริงมันควรจะจบ ใช่แล้วมันควรจะจบที่เธอขอบคุณกันต์ธีแล้วลากันตรงนี้ แต่ก็อย่างที่คิดไว้ สงสัยความซวยของที่รักจะยังไม่หมดไป เธอจึงได้ยังคงเจอสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกต่อแม้จะมาถึงบ้านตัวเองแล้วก็ตาม
เรื่องมันเกิดจากที่พ่อและแม่ของเธอเกิดความสงสัยว่ารถไม่คุ้นที่มาจอดหน้าบ้านคือใครจึงเดินออกมาดู และหลังจากที่ที่รักได้แนะนำกันต์ธีเบื้องต้นไป พ่อแม่เธอที่เป็นคนอัธยาศัยดีก็ชวนอีกฝ่ายทานมื้อค่ำด้วยเสียอย่างนั้น
กับพ่อแม่ตัวเองที่รักไม่แปลกใจหรอกเพราะเธอรู้นิสัยทั้งคู่อยู่แล้วว่าเป็นยังไง แต่เธอแปลกใจกันต์ธีนี่สิ ว่าคนแบบนี้ คนใหญ่คนโตแบบนี้ทำไมถึงได้ยอมตกลงอยู่ทานข้าวที่บ้านเธอต่อง่ายนักกัน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเกือบจะเต็มไปด้วยความครึกครื้นผ่อนคลาย แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้มีคนหนึ่งกำลังนั่งเครียดทำหน้าลำบากใจ และคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือที่รัก
“เนี่ย ท่านประธานครับ ลูกสาวผมนะ เธอเป็นคนขยันมาก แล้วก็หัวดีด้วย ยังไงก็ฝากท่านประธานเอ็นดูเธอเยอะ ๆ หน่อยนะครับ”
“ผมอยากให้เธอมีประสบการณ์เยอะ ๆ ได้ทำอะไรที่หลากหลาย ท่านประธานใช้งานเธอได้ตามใจเลย จะใช้อะไรก็ได้ ให้ชงกาแฟก็ได้นะ เธอชงอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะครับ”
“พ่อออ” สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ที่รักทำเสียงอิดออดบ่นพ่อเธอไปหลังอีกฝ่ายเอาแต่ฝากฝังเธอกับกันต์ธีไม่หยุดปาก จนเธอเขินอายและชักจะหนักใจแทนกันต์ธีที่ได้แต่ยิ้มรับ
“อะไร?”
“ไปพูดแบบนั้นได้ไงเนี่ย”
“อ้าว ทำไมล่ะ? ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย จริงมั้ยครับท่านประธาน?” เดชคุณหันไปถามกับกันต์ธีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม และอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับเบา ๆ
“เห็นมั้ย? ท่านประธานยังไม่ว่าอะไรเลย แกจะโวยวายไปทำไม?”
“พอเลยคุณ ท่านประธานไม่ว่าอะไรก็จริง แต่ลูกเราอายหมดแล้วเนี่ย ดูสิหน้าแดงแจ๋แล้ว พอ ๆ เลิกพูดเรื่องนี้เลย” เห็นลูกสาวเขินอายมันก็น่ารักดี แต่วาดดาวก็กลัวลูกจะลำบากใจเกินไปจึงปรามสามีไว้
การสนทนาบนโต๊ะอาหารผ่านพ้นไปด้วยดีหลังจากนั้น และในที่สุดมันก็จบลงสักที ที่รักเดินหน้าหงอยคอตกออกไปส่งกันต์ธีที่หน้าประตูบ้านเหมือนคนที่มีเพียงร่างเปล่าแต่ไร้ซึ่งวิญญาณ
“คือ ท่านประธานคะ ฉันขอโทษแทนพ่อแม่ฉันด้วยนะคะถ้าท่านพูดอะไรให้คุณไม่พอใจหรือลำบากใจไป ท่านประธานอย่าเก็บอะไรไปคิดเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ” กันต์ธีพูดเสียงเรียบนิ่งด้วยใบหน้าเฉยเมยเหมือนเช่นเคยแล้วกล่าวต่อ
“ครอบครัวคุณเป็นกันเองดีนะ”
“ค่ะ พวกท่านก็เป็นแบบนี้แหละ...” ตอนที่พูดคำนี้ที่รักหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เพราะเธอทั้งชอบทั้งดีใจที่ตัวเองมีครอบครัวแบบนี้
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมขอตัวก่อนแล้วกัน” เพราะตัวเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ และไม่รู้จะอยู่ที่นี่ต่อทำไม กันต์ธีจึงได้พูดขึ้นแบบนั้น
“ค่ะ! ขับรถดี ๆ --- เอ๊ย! เดินทางปลอดภัยนะคะ” ตัวกันต์ธีไม่ได้สนใจอะไร แต่ที่รักซึ่งมีชนักติดหลังเรื่องไปบ่นด่าอีกฝ่ายว่าขับรถแย่ไร้น้ำใจ หลังพูดออกไปแล้วรู้ตัวว่ามันอาจจะตีความเป็นอื่นได้จึงรีบแก้คำพร้อมยิ้มแหย
“อืม”
จากมุมมองของที่รักเธอมองว่ากันต์ธีมีวุฒิภาวะก็จริง แต่คงหนีไม่พ้นหนักใจที่อยู่ ๆ จับพลัดจับผลูมานั่งทานข้าวบ้านเธอแล้วโดนฝากฝังให้แบบนี้ หลังจากเห็นกันต์ธีเดินขึ้นรถไปเธอจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แต่เธอไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นผิด เพราะความจริงแล้วกันต์ธีไม่ได้หนักใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขาดันผ่อนคลายด้วยซ้ำ เพราะปกติเวลาได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าทีไรเขามักจะไม่เจอบรรยากาศที่ผ่อนคลายเป็นกันเองแบบนี้
กันต์ธีมองไปยังหน้าบ้านซึ่งยังมีที่รักยืนรอส่งอยู่ เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนตัวรถออกจากบริเวณไป โดยที่ในหัวก็ยังคงประทับใจเรื่องเมื่อครู่ไม่หายจนเผลอพลั้งปากพูดออกมา
“แปลกใหม่... แต่ก็นับว่าน่าสนใจดีเหมือนกัน”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?