ถ้านับจากวันที่ตกลงกันวันนั้นว่าจะแกล้งเป็นแฟนปลอม ๆ มันก็ผ่านมากว่าสามวันแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี กันต์ธีจึงตัดสินใจเริ่มแผนการของเขา โดยการชวนที่รักออกไปเดินเที่ยวซื้อของ ใช้เวลาด้วยกันฉันคนรักทั่วไป
ด้วยตัวเขาเองที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนกันต์ธีก็ไม่รู้หรอกว่าบรรยากาศมันควรจะเป็นยังไง แต่เขามั่นใจว่ามันต้องไม่ใช่การที่ทั้งสองฝ่ายอ้ำอึ้งใส่กันแบบนี้แน่ ๆ เขาจึงตัดสินใจถามออกไปตามตรงเลย
“คุณมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?”
“คะ? เอ่อ ไม่ค่ะ ฉันสบายดี” แม้ที่รักจะตอบกลับมาแบบนี้แต่กันต์ธีก็ไม่อยากเชื่อ เพราะท่าทีของเธอแปลกมากจริง ๆ มันเหมือนเธอกำลังมีเรื่องหนักใจ ทำอะไรไม่ถูกอย่างไงอย่างงั้น
“แต่คุณดูไม่ค่อยสบายเลยนะ คุณไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ ทำไมล่ะ?”
“ฉันไม่ได้ไม่สบายใจจริง ๆ ค่ะ ฉันก็แค่...” ที่รักตอบเสียแผ่วเบาแล้วหยุดลงที่ตรงนี้
“แค่?”
“มะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราไปกินข้าวกันดีกว่า!”
ที่รักเลือกที่จะโพล่งคำนี้ออกไปแทนที่จะบอกสาเหตุว่าทำไมเธอถึงกระวนกระวาย เพราะเธอทำใจที่จะพูดไม่ได้จริง ๆ ว่าที่เธอไม่มองหน้ากันต์ธีเป็นเพราะเธอเขินเขาอย่างหนัก
กันต์ธีไม่ได้แต่งตัวอะไรมากเลย เขาแค่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวแล้วก็กางเกงสแล็กสีดำทั่วไป แต่ด้วยเครื่องหน้าหล่อราวฟ้าประทาน ด้วยทรงภูมิฐานและกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ตามฉบับของผู้ชายที่โชยมาเตะจมูกนั้น มันก็ทำให้ที่รักเขินอายจนไม่กล้าแม้แต่จะมอง
“เอาเถอะ ถ้าคุณไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”
การเร้าหรือไม่ใช่นิสัยของกันต์ธีเท่าไหร่ แม้จะยังสงสัยแต่เขาก็ตัดสินใจไม่ถามต่อแล้วเดินไปยังโซนร้านอาหารตามที่ที่รักเสนอมา
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่ง พวกเขาเริ่มทำตัวเหมือนคนรักกันทั่วไปโดยการทานมื้อเที่ยงด้วยกัน
“คุณอยากกินอะไร?”
“อะไรก็ได้ค่ะ ตามใจท่านประธานเลย”
จะบอกว่าที่รักตามใจประธานของเธอก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะที่เธอตอบแบบนั้นไปคือเธอไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรต่างหาก เพราะร้านอาหารที่กันต์ธีพาเธอมาคือร้านอาหารที่ดูหรูหรา เป็นร้านประเภทที่ว่าที่รักไม่คิดจะมาเลยสักครั้ง เธอจึงโยนหน้าที่นี้ไปให้กันต์ธี
“คุณแพ้อะไรไหม?”
“ไม่ค่ะ” สิ้นคำตอบของที่รักกันต์ธีก็พยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงานโดยไม่แม้แต่จะเปิดดูเมนู
อาหารมากมายถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ เห็นจำนวนของมันแล้วที่รักก็แอบหวั่นใจว่าพวกเธอสองคนจะทานหมดหรือไม่ แต่ปรากฎว่าเธอสามารถทานทั้งหมดได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นจานไหนก็อร่อยไปเสียหมด
“อร่อยไหม?” กันต์ธีถามพร้อมยิ้มอย่างไม่ตั้งใจ หลังได้นั่งสังเกตอีกฝ่ายที่เจริญอาหารมานานแล้วจนเกิดความเอ็นดู
ที่รักในเวลานี้กำลังเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย ๆ อย่างลืมตัว แต่พอถูกทักเธอก็ชะงักแล้วรีบกลืนมันลงไป ก่อนจะตอบด้วยท่าทีขวยเขิน
“ขะ ขอโทษค่ะ ฉันทานไม่มีมารยาทไปหน่อยสินะ...”
“ไม่เป็นไร อยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ผมไม่ถือ”
มันคือความรู้สึกเดิมกับวันนั้น คือความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับตอนที่ไปบ้านของที่รักเลย เป็นความรู้สึกที่นาน ๆ กันต์ธีจะได้สัมผัสสักครั้ง เขาจึงไม่คิดจะต่อว่าเธอเรื่องนี้แล้วให้ทำตามใจ
หลังจากทานมื้อเที่ยงกันเสร็จพวกเขาก็ไปเดินย่อยโดยการดูร้านเสื้อผ้าร้านเครื่องประดับ ที่รักรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแล้วเพราะอาหารรสชาติดีที่พึ่งทานไป แต่ก็ใช่ว่าเธอจะผ่อนคลายจนกล้าหยิบกล้าจับเครื่องเพชรในร้านนี้แต่อย่างใด
“เธออยากได้อันไหน?”
“มะ ไม่มีค่ะ ฉันไม่อยากได้อะไรเลย” ที่รักรู้ว่ากันต์ธีจะต้องเต็มใจซื้อให้เธอแน่ แต่เธอไม่ได้อยากได้ของราคาแพงพวกนี้ เธอจึงปฏิเสธไป แต่กันต์ธีก็พูดคำหนึ่งมาทำให้เธอต้องฝืนยอม
“เราควรจะมีของที่ใส่คู่กันหน่อย จะได้น่าเชื่อมากขึ้น”
“คุณชอบชิ้นไหนหยิบได้เลย ผมจ่ายให้เอง”
ถ้าแค่เรื่องส่วนตัวยังพอว่า แต่พออีกฝ่ายอ้างเรื่องงานเรื่องข้อตกลงมาที่รักก็ปฏิเสธไม่ได้ เธอเดินด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ในร้านเครื่องเพชรนั้นอยู่นาน และสุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบสร้อยคอที่เป็นสร้อยคู่ซึ่งดูราคาถูกที่สุด
“เอาอันนี้ก็ได้ค่ะ”
การจ่ายเงินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ชายข้างเธอมีเงินเหลือกินเหลือใช้ แต่สิ่งที่ผ่านไปเชื่องช้าและน่าหนักใจคือหลังจากนี้
ที่รักได้แต่ยืนนิ่ง เธอแทบจะกลั้นหายใจแล้วหลังจากที่อยู่ ๆ กันต์ธีก็บอกให้เธอหันหลังเพราะจะใส่สร้อยคอเส้นนี้ให้ หัวใจของที่รักที่ว่าเต้นแรงแล้วมันเต้นแรงกว่าเก่าอีก เมื่อกลิ่นน้ำหอมคลอเคล้าอยู่ชิดใกล้เธอจนได้กลิ่นชัด
“เหมาะมากเลยค่ะคุณลูกค้า”
“ขะ ขอบคุณค่ะ” ที่รักยิ้มแหย ๆ ตอบรับคำชมจากพนักงานขาย
จบจากเดินซื้อของทั้งสองก็ตัดสินใจที่จะไปดูหนังให้สมกับคนที่คบหาดูใจชอบทำกัน แต่หนนี้ที่รักทำพลาด เธอทำพลาดที่บอกให้กันต์ธีเลือกหนังได้ตามใจ มันจึงจบที่หนังผี ซึ่งเป็นหนังที่เธอไม่ชอบที่สุด
“คุณกลัว?” กันต์ธียื่นหน้ามาใกล้แล้วกระซิบถามที่รักเสียงแผ่ว เพราะกลัวมันจะไปรบกวนคนอื่น
ที่รักซึ่งตกใจผละหันหน้าไป แต่เธอก็ต้องค้างนิ่งพอช่องว่างระหว่างพวกเธอทั้งสองตอนนี้ห่างกันเพียงแค่ช่วงฝ่ามือ หัวใจของที่รักมันเต้นเร็วขึ้นมา ทว่าการหายใจกลับช้าอย่างน่าประหลาด
“ว่าไง? คุณได้ยินที่ผมถามไหม?” เห็นอีกฝ่ายเงียบไปเลยกันต์ธีก็ท้วงทัก และนั่นก็ดึงสติของที่รักกลับมา
“ดะ ได้ยินค่ะ แต่เมื่อกี้ท่านประธานว่ายังไงนะคะ?” ที่รักขยับหน้าออกห่างแล้วถามกลับไป แต่ความตกใจก็ยังไม่หายไปไหน เธอสงสัยว่ากันต์ธียังคงนิ่งเฉยขนาดนี้ได้ยังไง
“ผมถามว่าคุณกลัวเหรอ? ทำไมนั่งทำหน้าเครียดขนาดนั้น หรือหนังมันไม่สนุก?”
“นิดหน่อยค่ะ ปกติฉันไม่ได้ดูหนังผีเท่าไหร่...”
“แล้วทำไมไม่บอกผม?”
ในน้ำเสียงไม่สามารถจับถึงความขุ่นเคืองใจได้ ใบหน้าก็เช่นกัน แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ที่รักจึงรู้สึกเหมือนกันต์ธีจะกำลังไม่พอใจ เธอจึงก้มหน้างุดแล้วพูดเสียงอ่อนแผ่วว่าเธอขอโทษ
ได้รับคำขอโทษมากันต์ธีก็ส่ายหน้าน้อย ๆ เขาจับมือของที่รักอย่างไม่ให้เธอตั้งตัว เธอจึงตกใจจนทำตาตื่น แต่ก็ไม่มีเวลาให้ที่รักได้ตกใจมากนัก เพราะหลังจากนั้นกันต์ธีก็พูดต่อด้วยคำพูดที่เธอคาดไม่ถึง
“อยากอยู่ดูต่อไหม หรือจะออกไปเลย?”
มันไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกไปได้ เพราะที่รักยังคงตกใจ เธอคิดว่าด้วยบุคลิกนิสัยกันต์ธีน่าจะดุเธอแต่กลับไม่ใช่เลย สิ่งนี้ทำให้ที่รักมองกันต์ธีเปลี่ยนไปอีกหนแล้ว และยิ่งอีกฝ่ายดีกับเธอแบบนี้เธอก็ยิ่งเกรงใจ จึงตอบไปว่าจะนั่งดูต่อ
ฉากน่ากลัวก็ยังคงน่ากลัวอยู่ แต่มันผ่อนเบาลงมากเพราะตอนนี้ที่รักมีมืออุ่น ๆ ให้จับ แม้มันจะรู้สึกเกร็ง ๆ แต่เธอก็แอบรู้สึกดี เพราะเวลานี้เธอไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป และการดูหนังที่ไม่เต็มใจไม่สบายใจก็บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากออกจากโรงหนังมาทั้งคู่ก็ตัดสินใจไปหาอะไรทานเป็นมื้อค่ำ นับว่าน่าตลกดีเหมือนกันที่เที่ยวกันทั้งวันพึ่งจะมาผ่อนคลายแบบสุด ๆ เอาตอนนี้ แต่มันก็ดีกว่าไม่สบายใจเลย
เมื่อเสร็จธุระและเดินเที่ยวจนพอใจทั้งสองก็ตัดสินใจที่จะกลับ และก็เช่นเดิมคือกันต์ธีอาสาเป็นคนไปส่งที่รักจนถึงบ้าน แม้เธอจะปฏิเสธไปยกใหญ่ว่ากลับเองได้ก็ตาม
“เอ่อ... ทำไมท่านประธานยังไม่กลับอีกเหรอคะ?” ที่รักถามด้วยใบหน้าสงสัย หลังจากที่เธอออกจากรถมายืนรอส่งนานแล้วแต่กันต์ธีก็ไม่ขับรถออกไปสักที
“คุณเข้าบ้านไปก่อนสิ แล้วผมจะกลับ”
“คะ? อ๋อ เอ่อ... ได้ค่ะ ๆ ” มันมีความสงสัยแหละ แต่ที่รักก็ไม่รู้ว่าจะถามไปทำไม หลังได้ยินแบบนั้นเธอจึงเดินเข้าบ้านไปตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วมองลอดผ่านหน้าต่างออกมาแทน
แต่ถึงเธอจะเข้ามาในบ้านแล้วกันต์ธีก็ยังไม่ไปสักที ที่รักจึงทำปากขมุบขมิบพร้อมโบกมือลาให้กันต์ธีรีบกลับไป เนื่องจากเธอกลัวว่าฝนมันจะเทตกลงมาซะก่อน กันต์ธีที่นั่งอยู่ในรถหลังเห็นท่าทางพวกนั้นเขาก็หลุดขำออกมาเล็ก ๆ ก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนรถออกไป
โดยในระหว่างที่ตามองถนนขับรถไปในหัวของเขาก็หวนคิดเรื่องที่พึ่งไปทำมาวันนี้ขึ้นมา กันต์ธีไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงอยากมีแฟนนัก เขาไม่เข้าใจว่ามันมีข้อดียังไง ดังนั้นที่ผ่านมาเขาจึงได้ปฏิเสธความคิดที่จะมีแฟนมาตลอด
แต่ใครจะคิดล่ะว่าจากแค่ได้แกล้งจ้างคนมาเป็นแฟน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันวันเดียวความคิดของเขาจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป ณ ตอนนั้นเขาอาจจะไม่ได้พูดไม่ได้แสดงออกอะไรมาก แต่จริง ๆ แล้วแทบตลอดทั้งวันเขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“แฟนงั้นเหรอ... ดูเหมือนถ้าเจอคนที่พอเหมาะพอดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจแบบนี้ มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวเลยแฮะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?