ตอนที่ 14 รังควาน

“เถ้าแก่ซาลาเปาไส้ผักสองลูก!”

“หนุ่มน้อยซาลาเปาไส้เนื้อยังเหลืออยู่หรือไม่”

“โอ้! นี่ใช่ร้านดังที่ถูกกล่าวถึงใช่หรือเปล่า”

เสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ในตลาดเมืองท่าเหวินโจวยามเช้าตรู่ยังคงคึกคักอย่างเช่นวันวาน อันที่จริงแล้วมันออกจะคึกคักมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวเมื่อแผงร้านซาลาเปาสกุลตงกลับมาเปิดขายอีกครั้ง เพราะเรื่องราวที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญทำให้ก้อนแป้งขาวลูกใหญ่ถูกจับจ่ายซื้อขายออกไปราวกับให้เปล่า

ใครบ้างไม่อยากลิ้มลองรสชาติที่เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์แห่งแผ่นดินเทียนเซี่ยให้การยอมรับ

มีทั้งลูกค้าหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่ขาดสาย

“พ่อค้าตัวน้อย ยินดีกับเจ้าด้วย” เจ้าของร่างแบบบางรับซาลาเปาจากมือเสี่ยวเอ้อร์ตัวน้อยทั้งรอยยิ้ม

“ขอบคุณพี่สาวขอรับ” เด็กชายที่รู้จุดแข็งของตนเองเป็นอย่างดีฉีกยิ้มกว้าง ใช้ดวงตาใสแจ๋วและใบหน้าเป็นอาวุธอย่างชำนิชำนาญ “ข้าชนะมาได้คิดว่าทั้งหมดต้องเป็นเพราะได้กำลังใจจากพี่สาวคนงามแน่เลยขอรับ”

“อุ้ยแหม ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“ไม่ดีหรือขอรับ ข้าปากหวานกับสาวงามเท่านั้นนะขอรับ”

ลูกค้าสตรีหัวเราะร่วน กุมแก้มกลม ๆ ของหนุ่มน้อยนักรัก “พี่สาวชักเป็นห่วงอนาคตของสาว ๆ เมืองท่าเสียแล้ว เจ้าโตไปเป็นหนุ่มคงทำผู้คนน้ำตาเช็ดหัวเข่าไม่เว้นวันเป็นแน่”

“พี่สาวท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้หญิงงามต้องร้องไห้”

“พี่สาวจะพยายามเชื่อนะ”

ตงหยางสนทนาพาทีกับลูกค้าขาประจำคล่องปาก อย่างไรก็ดีไม่ใช่ลูกค้าทุกคนจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดี

“สกปรก!!!” เสียงตวาดลั่นดังขึ้นใกล้ ๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเด็กชายที่กำลังเก็บเงินเข้าอกเสื้อสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปมองที่มาของเสียงถึงได้พบกับชายตัวใหญ่ผิวคร้ามแดดพร้อมด้วยมัดกล้ามแน่นขนัดตามประสากรรมกรใช้แรงกำลังโวยวาย

“ไอ้หนูเจ้ากล้าดียังไงเอาของสกปรกเช่นนี้มาขาย!!”

เผละ..

ซาลาเปาลูกอวบถูกปาลงบนพื้น ไส้เนื้อหมูกลิ่นหอมไหลออกมาเปรอะพื้นถนน เละเทะไม่น่าภิรมย์จนหากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะไม่เห็นขาแมลงชิ้นเล็ก ๆ ที่แฝงอยู่ข้างใน “ขาแมลง! แค่เห็นก็จะอ้วก เจ้าจะชดใช้ยังไง!!”

“โอ้” ตงหยางห่อปากตาโต เด็กชายนั่งยอง ๆ พลางใช้กิ่งไม้เขี่ยเศษซาลาเปาบนพื้นอย่างฉงนสงสัย

การใส่ร้าย

ไม่ได้น่าแปลกใจสักนิด มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในเมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขาเพิ่งมีเรื่องมีราวกับคนใหญ่คนโตโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่น่าแปลกใจที่ต่อให้พวกเขาประกอบสัมมาอาชีพอย่างสุจริตและตรงไปตรงมาแต่ก็จะถูกก่อกวนทำลายชื่อเสียง

มันเป็นเรื่องของความแค้นและผลประโยชน์ล้วน ๆ

เขาแค่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในวันแรกที่เปิดร้าน

ลูกไม้เหลี่ยมน้อยตื้น ๆ แค่นี้กระทั่งเด็กวัยก่อนปักปิ่นยังมองออก ร้องแรกแหกกระเฌอน่าไม่อายเสียขนาดนี้แต่กลับเลือกเหยื่อเป็นเด็กที่คิดว่าน่าจะจัดการง่ายแทนที่จะเป็นพ่อครัว “ไสหัวออกไป! แค่ของกินดี ๆ ยังทำไม่ได้ยังมีหน้ามาขาย ถุ้ย!! คิดว่าชนะการแข่งขันแล้วทำอะไรก็ได้หรือ!!”

เกวลานํปิ ปาปานํ ขนฺติ มูลํ นิกนฺตติ

ครหกลหาทีนํ มูลํ ขนฺติ ขนฺติโก

ความอดทน ย่อมตัดรากแห่งบาปทั้งสิ้น

ผู้มีขันติ ชื่อว่าย่อมขุดรากแห่งความติเตียนและการทะเลาะกันได้ เป็นต้น

“ท่านมีหลักฐานหรือไม่ขอรับ” เด็กชายเงยหน้าส่งตาใส ตีมึนสนทนากับผู้ใหญ่อย่างไร้เดียงสา

“หลักฐาน! ไอ้หนูเจ้าตาบอดไม่เห็นขาแมลงในซาลาเปาหรือไง!!!” บุรุษตัวใหญ่ตะโกนลั่น ร่างหนาปรี่เข้ามาข้างหน้ามีเจตนาใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจน

หมับ..

“ถอยไป”

แย่หน่อยที่ร้านซาลาเปาสกุลตงมีพ่อครัวตัวใหญ่กล้ามแน่นเป็นมัด ตงป๋ายใช้ร่างกายสูงใหญ่บังบุตรบุญธรรมไว้จนมิด มือที่ใช้นวดแป้งเป็นประจำคว้าจับข้อมือของชายวัยกลางคนเอาไว้แน่น ด้านหลังยังมีตงโปที่รั้งหลานชายไว้ในอ้อมแขน

“นี่! นี่พวกเจ้าคิดจะใช้กำลัง!!” ลูกค้าไร้คุณภาพสะบัดมือหลุดออกมาจากการจับกุมราวกับโซ่ตรวนหนักของพ่อครัว ขายาวก้าวถอยหลังออกไปตั้งหลักหลายก้าว

“ดี! ดี! พ่อแม่พี่น้องดูหน้าพวกมันเอาไว้!! ที่แท้สกุลตงเป็นเช่นนี้ ขายของสกปรกไม่พอยังพยายามจะทำร้ายลูกค้า!! ไร้คุณธรรม! คิดว่าชนะการแข่งขันแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือ วันนี้คนเช่นนี้ต้องถูกขับไล่ออกไปจากตลาดเมืองท่า! ไสหัวไปซะ!!!”

ตงโปแย้งใบหน้าเขียวคล้ำ “พูดให้มันดี ๆ เจ้าหนุ่ม เป็นทางนั้นไม่ใช่หรอกหรือที่จะใช้กำลังก่อน!”

“ผายลม! เจ้ามีหลักฐานอะไร!!” ชายฉกรรจ์เชิดหัวชูคอ มันทำเช่นนี้มาหลายครั้งหลายคราย่อมรู้ทางหนีทีไล่ช่องโหว่ที่จะใช้ต่อปากต่อคำ

เคราะห์ไม่ดีที่หลายครั้งหลายคราที่ว่านั้นคนที่มันลงมือล้วนเป็นชาวบ้านตาสีตาสา

“มีสิขอรับ” เสียงใสของเด็กชายสวนกลับไม่ยี่หระ “สายตาผู้คนมากมายเพียงนี้ ผู้ชายตัวใหญ่ที่วิ่งพุ่งเข้าใส่เด็กตัวเล็ก ๆ ถ้าไม่มีเจตนาร้าย ท่านคงรักเด็กมากกระมังขอรับ”

“เจ้า..”

บุรุษร่างหนาหายใจฟืดฟาดคล้ายกับวัวกระทิงที่พร้อมจะพุ่งชนทุกสิ่ง บรรยากาศโดยรอบไม่เป็นมิตรเมื่อฝูงชนถูกชักจูงด้วยการกระทำหุนหันพลันแล่นของมันและคำพูดไม่กี่คำจากปากกระจิดริดของเด็กชายแก้มขาวอวบ

ไม่ได้การมันต้องแก้สถานการณ์

“ถุ้ย!” ถ่มน้ำลายลงพื้น “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง! เห็น ๆ อยู่ว่าพวกเจ้าขายซาลาเปาสกปรก พูดมาจะรับผิดชอบยังไง! เกิดข้ากินแล้วเป็นโรคพวกเจ้าจะรับผิดชอบไหมห๊ะ!!!”

“ท่านหมายถึงขาแมลงนี่หรือขอรับ” ตงหยางถามย้ำ

“ใช่!”

ได้รับคำยืนยันจากปากผู้ไม่หวังดีเด็กชายที่กำลังรอฟังคำตอบอยู่พลันเปล่งเสียงหัวเราะขึ้นมาประหนึ่งว่าได้ฟังเรื่องตลกขบขันหนักหนา

ลูกค้าตัวใหญ่ขบฟันกรอด “หัวเราะอะไร!!”

“ขออภัยขอรับ ข้าเพียงคิดขึ้นมาเล่น ๆ ได้ว่าของแบบนั้นเป็นข้าซื้ออาหารจากร้านอื่นแล้วแอบใส่ลงไปก็ใช้ได้แล้วนี่ขอรับ”

แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็แทบจะเปิดเปลือยแผนการร้ายออกมาทั้งหมด

“เจ้าหาว่าข้าโกหกงั้นหรือ!!!” คนมีชนักติดหลังฟาดงวงฟาดขา มันแทบจะพุ่งเช้ามาบีบคอปิดปากเด็กปากมากไปแล้วหากตงหยางไม่มีตงป๋ายเป็นปราการใหญ่คอยปกป้องคุ้มครองอยู่ด้านหน้า ดวงตาขวางโลกคู่นั้นขยับหลุกหลิก ยิ่งรนยิ่งเปิดเผยสันดานเสียออกมา

พาลไปทั่ว “มองอะไร!!!”

“พี่ชายท่านใจเย็นก่อนเถอะขอรับ” ตงหยางยิ้มน้อย ๆ ปาดน้ำตาที่เกิดจากการกลั้นขำพลางเอาน้ำเข้าลูบ “ข้ามิกล้ากล่าวหาท่านหรอกขอรับ แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เหลาอาหารซินเทียนตี้เองก็ทำซาลาเปาหลากสีคล้าย ๆ กันขึ้นมาแล้ว ท่านแน่ใจว่าซาลาเปาชิ้นนี้เป็นของร้านเราหรือขอรับ”

ประเด็นคือมันเป็นน้ำร้อนไม่ใช่น้ำเย็น

“ไม่ใช่!!”

“เช่นนั้นพิสูจน์พร้อมกันทั้งหมดดีหรือไม่ขอรับ”

ตงหยางชี้ชวนโดยไม่เสียเวลาให้อันธพาลแก้ตัว ตีมึนนับนิ้วมือ “แมลงสาบมีทั้งหมดหกขาในหนึ่งตัว มีปีก นอกจากนี้ยังมีลำตัวค่อนข้างใหญ่ ท่านพบเพียงชิ้นส่วนเดียวนั่นออกจะแปลกสักหน่อย”

“หากซาลาเปาของเราไม่สะอาดจริงดั่งท่านว่ายังต้องพบชิ้นส่วนอื่นภายในก้อนแป้งเหล่านี้แน่นอน เรามาบิพวกมันดูทีละชิ้นต่อหน้าชาวเหวินโจว หากมีพวกข้าจะขอน้อมรับความผิด แต่หากไม่มีเห็นทีท่านจะต้องจ่ายค่าซาลาเปาทั้งหมดที่เสียหายนะขอรับ”

“...”

ตงหยางเอ่ยออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผลแต่กลับทำให้คนฟังหน้าดำคล้ำเขียวไปเหนือไปใต้ไม่ถูก

มันจะมีตำลึงพอจ่ายได้อย่างไร งานนี้มันได้ไม่คุ้มเสียด้วยซ้ำ!!

เห็นคนอ้าปากพะงาบ ๆ ทำอะไรไม่ได้อดีตคุณชายตระกูลใหญ่ก็ไม่ได้เร่งเร้าให้จนมุมจนหันมาแว้งกัด ที่เขาลงมือก็เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น ท้ายที่สุดตอนที่คนคนนั้นจับจ้องมาด้วยความโกรธแล้วสะบัดตูดหนีไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องใส่ใจ

สิ่งนี้ไม่ได้กระทบต่อการค้าขายของสกุลตงแต่อย่างใด จะชั่วดีคนเมืองท่าก็ไม่ได้โง่งม

ประเด็นคือหลังจากนั้น

สิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียหายหนักเป็นนักเลงมารังควาญทำลายข้าวของไม่เว้นแต่ละวัน แม้จะแจ้งไปที่ทหารหรือจวนเจ้าเมืองล้วนถูกเพิกเฉยราวกับไม่มีตัวตน

มีหลายครั้งที่ตงโปแนะนำให้ไปขอความเป็นธรรมจากจวิ้นอ๋องแต่เพราะเห็นว่าพระองค์พาครอบครัวเสด็จประพาสเพื่อผ่อนคลายท้ายที่สุดแล้วก็เป็นท่านปู่บุญธรรมท่านนี้เองที่ปัดทางเลือกนี้ตกไป เมื่อไม่มีหนทางให้สงบสุขจึงได้แต่ปิดร้านเอาไว้ก่อนชั่วคราวเพื่อตั้งหลักและหาลู่ทางต่อไป

ถือเสียว่าพักผ่อน

อันนี้จริงการย้ายเมืองลงหลักปักฐานที่ดีกว่านี้ก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไร

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ