“หาก หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป กระหม่อมมีคำขอเพียงหนึ่งประการเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ..”
บ่ายแก่ในวันธรรมดาสามัญ เสียงเล็ก ๆ ที่นุ่มนวลซึ่งเปล่งออกมาเพื่ออ้อนวอนที่พึ่งพิงสุดท้ายผลักดันเรื่องราวของเด็กชายตัวน้อยผู้กล้าหาญและกตัญญูแพร่สะพัดออกไปทั้งเมืองท่าเหวินโจวภายในเวลาไม่นาน ย้อนกลับไปในการแข่งขันที่มีผลแพ้ชนะแบบบังคับให้เป็นเอกฉันท์ไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งที่เจ้าแก้มขาวจะร้องขอจากผู้สูงศักดิ์จะเป็นการตามหาคนหาย
“กราบทูลจวิ้นอ๋อง ท่านปู่กับท่านพ่อของกระหม่อมหายตัวไป-” อดีตคุณชายบ้านคหบดีหลุบตาลง ท่าทีหงอยเหงาน่าสงสาร เนื้อตัวอ่อนนุ่มสั่นระริกจนผู้คนอยากเข้าไปกอดปลอบ
“เพียงได้พบพวกเขากระหม่อมไม่ปรารถนาสิ่งอื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“...”
“...”
ความเงียบโรยตัวครอบคลุมบรรยากาศอย่างเชื่องช้า ได้สดับฟังคำเด็กน้อยไม่รู้ประสาเท่านั้นมีหรือจวิ้นอ๋องโอวหยางเสวี่ยซานจะไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ดวงตาคมดุดุจเหยี่ยวตวัดมองเจ้าเมืองเหวินโจวและพ่อครัวเหลาอาหารซินเทียนตี้ประหนึ่งมองมดแมลงโสโครกที่น่าสมเพช
ดำรัสด้วยสุรเสียงเด็ดขาดชัดเจน “ตามหาพ่อลูกสกุลตง หากผู้ใดขัดขวางถือว่าท้าทายข้า!”
ดี
ตงหยางลอบยิ้มที่เต็มไปด้วยชัยชนะในใจ ด้วยอำนาจของเชื้อพระวงศ์แม้จะเป็นพยัคฆ์ต่างถิ่นแต่ก็เป็นพยัคฆ์ที่ตัวใหญ่พอที่จะเขมือบงูเจ้าถิ่นไปครึ่งตัวต่อให้งูตัวนั้นจะไม่อยากคายเหยื่อที่กลืนลงไปออกมาหรือต้องการถ่วงเวลาให้นานที่สุดเพื่อตักตวงสารอาหารที่เรียกว่า ‘ผลประโยชน์’ ให้มากเท่าที่จะมากได้ ผลสุดท้ายก็ต้องถูกทุบตีให้ขย้อนออกมาโดยเร็วอยู่ดี
ด้วยวิธีนี้แม้จะไม่สุภาพและข้ามหน้าข้ามตาเจ้าเมืองแต่ก็ลดความบอบช้ำที่อาจจะเกิดขึ้นกับตงโปและตงป๋ายในกรณีที่สือชวนยังคิดเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับเหลาอาหารซินเทียนตี้เล็ก ๆ น้อย ๆ
เขาอยากได้ผู้มีพระคุณที่มีลมหายใจและร่างกายแข็งแรงกลับมาไม่ใช่ร่างไร้วิญญาณ
น่าเศร้า..
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
บุตรชายตระกูลคหดีขยับเท้าช้าไปหนึ่งก้าว ทหารอารักขาติดตามจวิ้นอ๋องโอวหยางเสวี่ยซานทำงานตามรับสั่งของนายเหนือหัวของตนเองได้อย่างไร้ที่ติ เพียงแต่ร่างของสองพ่อลูกตงโปและตงป๋ายที่ได้รับกลับมากลับไม่สู้ดีนัก
เพราะพวกเขาปากหนักไม่ยอมบอกสูตรทำซาลาเปา
ชายวัยกลางคนทั้งคู่มีร่องรอยฟกช้ำและบาดแผลน้อยใหญ่ทั่วทั้งร่างกายและใบหน้า โดยเฉพาะตงป๋ายที่ใช้แขนอันล้ำค่าข้างหนึ่งของตนเองปกป้องบิดาจนเกรงว่าอาจจะมีรอยร้าวที่กระดูกหรือหัก
แพทย์หลวงวินิจฉัยว่าอาจจะไม่สามารถใช้การมันได้ไปอีกพักใหญ่
“ท่านพี่ดื่มน้ำแกงก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม ขอบใจเจ้า”
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ได้กล่าวไปแล้วดังข้างต้นทำให้ตงหยางมีกิจวัตรประจำวันใหม่อย่างการเฝ้ามองอดีตสาวใช้ส่วนตัวของมารดากับบิดาบุญธรรมสาดอาหารหมาใส่หน้า
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวยาวกรอกหมุนเป็นเข็มนาฬิกาขณะทอดมองสาวงามค่อย ๆ ประคับประคองถ้วยน้ำแกงไว้ในมือข้างหนึ่งในขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งถือช้อนคอยตักน้ำซุปใสกระจ่างที่ผ่านการเคี่ยวอย่างเอาใจใส่กว่าหลายชั่วโมง
ซินซินเป่าลมเบา ๆ จากริมฝีปากไล่ไอควันขาวให้หายร้อน “อีกคำนะเจ้าคะ”
ตงป๋ายหลุบดวงตามองภรรยาในนามอย่างอ่อนโยน “ตามใจเจ้า”
ฤดูใบไม้ผลิผลิบาน
โมเม้นต์เล็ก ๆ น้อย ๆ ชวนให้ฟินแต่พอหอมปากหอมคอแผ่กระจายบรรยากาศสีชมพูหวานแหววทั่วทั้งบ้านหลังเล็ก เพราะคนตัวใหญ่ใช้แขนหยิบจับสิ่งใดไม่ถนัดทำให้สาวน้อยแบบบางต้องคอยช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ข้างกายตลอดเวลา
ประดุจกามเทพแผลงศรใช้เวลาไม่นานทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันและกัน
อีกไม่นานก็คงยินยอมใช้ชีวิตคู่ที่ไม่ใช่เพียงชีวิตคู่แต่ในนาม
ประเด็นคือคนที่ดูจะมีความสุขที่สุดกลับไปใช่คู่ชายหญิงที่กำลังรดน้ำพรวนดินต้นรักต้นเล็ก ๆ ให้งอกเงยอย่างพิถีพิถัน แต่กลับเป็นเจ้าของร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ที่เจ็บไม่ได้น้อยไปกว่าลูกชายตัวเองสักเท่าไหร่
ตงโป “หลานว่าปู่ควรจัดงานแต่งงานให้พี่สาวกับพ่อบุญธรรมหลานใหม่หรือไม่”
“อืม เรื่องนั้น..” คนถูกถามลูบคางเกลี้ยงเกลาคล้ายกับผู้เฒ่ามีเคราหนา เหลือบตามองต้นอ่อนคู่รักแล้วหันมาสนใจข้าวต้มกับไข่ขาวไข่เค็มของตัวเอง “เพิ่งจัดไปครั้งหนึ่ง ข้าคิดว่าควรรออีกสักพักดีกว่าขอรับ”
“อืม จริงของหลาน”
“...”
“หลานอยากมีน้องสาวหรือน้องชายล่ะ”
“เรื่องแบบนี้กำหนดไม่ได้หรอกขอรับ”
แม้แต่ในยุคที่เขาจากมาการกำหนดเพศของทารกในครรภ์มารดาจะเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถเอื้อมเข้าไปบริหารจัดการได้แต่ก็ยังเป็นเรื่องยาก ไม่ต้องพูดถึงในดินแดนนี้ที่ล้าหลังกว่ากันหลายศตวรรษ การกราบไหว้ฟ้าดินขอบุตรสาวบุตรชายแบบเฉพาะเจาะจงไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่หรอก
“จริงของหลาน” ตงโปผงกศีรษะเห็นด้วย เคี้ยวข้าวต้มของตนเองอย่างเป็นสุข “จะหลานสาวหลานชายปู่ก็รักทั้งนั้น อาหยางเจ้าไม่ต้องอิจฉาหรอกนะ ปู่ก็รักเจ้าเหมือนกัน”
“ข้ารู้ขอรับ”
เด็กชายโคลงศีรษะไปมาไม่ได้คิดมากว้าวุ่นในเรื่องนี้
เพียงแค่ “แต่เด็กที่เกิดมาจะมีศักดิ์เป็นหลานหรือเป็นน้องของข้าล่ะขอรับ”
“...”
“...”
“นั่นสิ”
ในบ้านหลังย่อมอันเต็มไปด้วยกลิ่นไออบอุ่นอบอวล ชายหญิงกำลังพัฒนาความสัมพันธ์ เด็กชายกับผู้เฒ่ากำลังวาดแผนเส้นทางอันห่างไกลซึ่งยังมาไม่ถึง กลับกันในทางตรงกันข้ามมีเรื่องดีปะปนกับเรื่องเลวร้ายเป็นธรรมดาของชีวิต
ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ในเมืองกลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ
เพล้ง!!
“ไม่ได้เรื่อง!!”
ถ้วยกระเบื้องเนื้อมันวาวชั้นเลิศแตกกระจัดกระจายลงบนพื้นไม้เงาเป็นมันขลับ ชายวัยกลางคนร่างท้วมหายใจฟึดฟัดหลังจากตวาดกร้าวระบายความเกรี้ยวกราดที่คับแน่นอยู่ในจิตใจออกไป
โซ่วเฉียน เป็นทั้งเจ้าของเหลาอาหารซินเทียนตี้และพ่อครัวใหญ่ไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอดสู ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้เสียดิบดี หวังเอาอกเอาใจพยัคฆ์ลูกอ่อนเพื่อพึ่งบารมีทยานสู่สรวงสวรรค์ กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างกลับพังพินาศไม่มีชิ้นดี
ไม่เพียงแต่ไม่ได้ไก่สักตัว ยังเสียข้าวสารไปอีกเป็นกำมือ!
โชคดีที่สือชวนยังมีไมตรีให้กันอยู่ อันธพาลไร้น้ำตาเหล่านั้นถึงได้สามารถหลุดรอดออกจากคุกคุมขังของเจ้าเมืองไปได้อย่างน่าสงสัย ไม่มีหลักฐานใด ๆ เชื่อมโยงไปสู่ผู้บงการ
“เวรเอ้ย!!” ยิ่งคิดยิ่งให้หงุดหงิด
ทั้งสายตาของโอวหยางเสวี่ยซานที่มองมันราวกับมดปลวก ทั้งสายตาของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่น!
แต่ตอนนี้มันถูกเชื้อพระวงศ์เพ่งเล็งแล้ว
จะเคลื่อนตัวขยับไปทางไหนล้วนไม่สะดวก ทางเดียวที่จะทำให้ผ่านสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ไปมีแต่ต้องอดทน ข่มกั้นความแค้นที่ปะทุอยู่ในใจเอาไว้ชั่วคราวจนกว่าจวิ้นอ๋องจะเบื่อเมืองเหวินโจวและเสด็จกลับ
เมื่อถึงตอนนั้น..
ฮ่า มันจะทำให้แน่ใจว่าเมืองท่าเหวินโจวไม่มีคนแซ่ตงอีกต่อไป
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?