พระอาทิตย์ขึ้นสายโด่ง คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำคลึงขมับลูบหน้าเรียกสติ ยังคงเมาค้างเล็กน้อยแต่ไม่ได้เวียนหัวมากมาย คุณานนท์จึงคิดจะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับลุกยากกว่าทุกวันเพราะมีบางอย่างทับแผ่นอกของเขาอยู่ ชายหนุ่มเปิดผ้าห่มดู ตกใจจนหายง่วง นึกไม่ถึงว่าจะมีศีรษะผมสีน้ำตาลยาวของหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้มาซบกอด เจ้าหล่อนถูกรบกวนจึงส่งเสียงงัวเงีย ใบหน้าน้อยๆ แก้มแดงฝาดเงยขึ้นมาทว่าดวงตากลับยังปิดสนิท
เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! พ่อเลี้ยงหนุ่มสบถในใจสามครั้งติด ยัยเด็กปีนเกลียวมาอยู่บนเตียงของเขาได้ยังไง สภาพสะบักสะบอมเหมือนผ่านสงครามหนักเช่นนี้ หรือเมื่อคืนคนที่เขานอนด้วยก็คือเธอเหรอ คุณานนท์ขมวดคิ้วย้อนคิด แรกเริ่มอาจเลือนรางสักหน่อย แต่พอลองใคร่ครวญดูก็จำได้ลางๆ ว่าเขามีสัมพันธ์ร้อนแรงกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่จริงๆ
เขาจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์ไหม? ไม่สิ เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สมควรอยู่ดี เขาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าทำไมถึงปล่อยให้พลาดได้ คุณานนท์ใกล้จะระเบิดแล้ว ทันใดนั้นก็ชะงัก นันท์นรีลืมตาตื่นในที่สุด
“หนูง่วง ขอนอนอีกหน่อยนะคะ” เด็กสาวยังไม่ตื่นดี เมื่อคืนกว่าจะจบก็สลบเหมือด คุณานนท์ป่าเถื่อนทารุณกรรมเธอหนักมาก ยังมีชีวิตอยู่ก็บุญโขแล้ว เวลานี้รู้สึกสูญเสียพลังชีวิตจึงไม่มีกระจิตกระใจจะลุกขึ้นไปทำอะไรทั้งนั้น
หื้ม? เมื่อกี้เหมือนพี่ครามจะตื่นแล้ว นันท์นรีได้สติ เปลือกตาอ่อนล้าเปิดออกจากกันอีกครั้ง สีหน้าซับซ้อนของชายหนุ่มทำให้เธอหลุดจากภวังค์ หญิงสาวยกศีรษะออกจากแผ่นอกแน่นสีน้ำผึ้งทันที
ไม่มีใครพูดอะไรอยู่สักครู่ เป็นคุณานนท์ที่ก้าวขาลงจากเตียงก่อน “เข้าไปอาบน้ำแล้วมาคุยกัน”
“ค่ะ” นันท์นรีรับคำอย่างว่าง่าย แต่ช่วงล่างเหมือนเป็นอัมพาตตายด้านไปแล้ว ขยับยังไงก็ไม่ได้ดั่งใจแถมสภาพยังเละเทะอย่างกับโดนชายโฉดรุมโทรมนับสิบ คุณานนท์ปัดความรับผิดชอบนี้ให้คนอื่นไม่ได้จึงอุ้มเธอเข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน
หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายและกินอาหารให้อิ่มท้องแล้ว คุณานนท์และนันท์นรีก็นั่งลงหันหน้าเข้าหากัน บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด นันท์นรียังคงเหม่อลอยครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน จนกระทั่งคุณานนท์ต้องเรียกชื่อเธอถึงสามครั้งเธอถึงจะเงยหน้าขึ้นมา
"ว่าไงคะ พี่ว่าอะไรนะ" นันท์นรีถามด้วยสีหน้างุนงง
คุณานนท์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง "เรื่องเมื่อคืนน่ะ พี่ขอโทษด้วยนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น"
"แล้วตอนนั้นพี่ฝืนทำเหรอคะ ในเมื่อดูเหมือนว่าพี่จะสนุกกับมันอยู่นะ" คำถามของนันท์นรีทำให้คุณานนท์เงียบไปครู่หนึ่ง เธอรีบเสริมต่อทันที "ช่างเถอะค่ะ อย่างน้อยพี่ก็ยอมรับแล้วว่าเป็นความผิดพลาด"
"เออ...เธอควรจะกินยาคุมน่ะ พี่จะไปซื้อมาให้ อย่าลืมกินเด็ดขาดล่ะ" คุณานนท์พูดต่อ
นันท์นรีพยักหน้า "ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูเองก็ยังไม่พร้อมจะมีลูกเหมือนกัน"
ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ ที่เคี่ยวกรำเธอทั้งคืนคือฝืนทำหรือไง ยาคุมน่ะไม่ต้องบอกหรอก เธอเองก็ยังไม่พร้อมจะท้องโย้ แต่ไอ้ประโยคหลังนี่สิ เย็นชาไร้อารมณ์ ช่างทำให้ภาพความทรงจำพี่ชายที่แสนดีอ่อนโยนของเธอด่างพร้อยโดยแท้
“พี่ไม่ต้องรับผิดชอบหนูนาค่ะ เดี๋ยวหนูนาจะรับผิดชอบพี่เอง”
“อย่าสร้างปัญหา พี่บอกแล้วว่าถ้าเธอดื้อดึงก่อเรื่อง พี่จะไม่ใจดี”
ไม่ใจดีแล้วจะทำเหมือนเมื่อคืนหรือไง ด้านมืดของเขานี่น่ากลัวชะมัด เธอปวดตัวจะตายแล้ว ยังต้องมาเจ็บใจอีก คุยกันเสร็จนันท์นรีสวมเสื้อแขนยาวยีนส์ตัวโคร่งของคุณานนท์ห่อปกปิดร่องรอยกลับไร่ฟ้าอุ่น เขาไปส่งถึงหน้าบ้านพัก ไม่พูดพร่ำเพรื่อย้ำเตือนก็หันหลังจากไป โชคดีว่านันท์นรีไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อแม่ ทั้งป่านนี้ก็สายโด่ง พวกท่านย่อมแยกย้ายกันไปทำงานแล้ว พอล้มตัวลงบนที่นอน หญิงสาวผู้เหนื่อยอ่อนก็ผล็อยหลับไป
ตอนที่ตื่นขึ้นมา ในบ้านเหมือนจะมีคนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ นันท์นรีอาบน้ำเปลี่ยนชุดมิดชิด ยังไม่สิ้นสุดฤดูหนาวแต่อากาศก็อบอุ่นแล้ว เธอกลับสวมเสื้อแขนยาว พอมารดาเห็นเข้าก็จ้องจนอยู่ไม่สุขทีเดียว
“มองขนาดนี้ทำไมคะคุณแม่ ลูกสาวคนเดิมนั่นแหละ หรือว่าหนูหน้าโทรมเหรอ”
“เมื่อคืนไปไหนมาจ๊ะ” มารดาตรงเข้าประเด็น “อากาศอุ่นยังสวมเสื้อแขนยาว หนาวมากเหรอ”
“หนาวค่ะ มีอะไรกินบ้าง หนูนาหิวแล้ว” นันท์นรีเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่คาดว่าจะไม่ได้ผล แม่หวานเห็นสภาพเหมือนกับศพเดินได้ของเธอย่อมอยากรู้เป็นวิสัย และยิ่งกว่านั้นคือเป็นห่วง
“หนู…หนู แม่สัญญาก่อนว่าห้ามบอกพ่อ ห้ามบอกใครทั้งนั้น หนูจะจัดการเรื่องนี้เอง รับปากก่อนค่ะ”
“ได้! เป็นความลับของเราแม่ลูก ว่ามา ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนแม่นึกว่าเรากลับมาแล้ว แต่ตอนเช้าไม่เห็น แถมยังมีรอยแปลกบนตัวอีก ใครทำ?”
“แม่เห็นแล้วเหรอ?” ให้ตายเถอะ เธอน่าจะระวังกว่านี้หน่อย
นันท์นรีลังเลเรียบเรียงคำพูดค่อยเล่าอย่างรวบรัดให้มารดาฟัง เล่าจบแม่หวานตกตะลึงพรึงเพริด เกือบจะหัวใจวายตายแล้ว นี่ลูกสาวไปค้างคืนกับผู้ชายมาเหรอ คนๆ นั้นยังเป็นคุณานนท์ด้วย นึกว่าตัดใจจากชายหนุ่มแล้วเสียอีก
“จะตีก็ลูก จะด่าก็ลูก เขาทำลูกสาวแม่แล้วก็ต้องรับผิดชอบ วันนี้คุยเรื่องงานแต่งเลยแล้วกัน”
“แม๊! ไหนสัญญาแล้ว พี่ครามเขาไม่โดนบังคับ เมื่อคืนมันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ หนูอยากค่อยเป็นค่อยไปก่อน แม่อย่าพึ่งรีบร้อนเลยนะ เกิดพี่เค้าหนีเตลิดเหมือนตอนนั้นอีก จะไม่แย่เหรอ” ลูกสาวรีบดึงแขนมารดาไว้แทบไม่ทัน
“เจ็บใจนัก ลูกสาวแม่สวยเก่งขนาดนี้ยังต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ เจ้าครามก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ชั่ววูบก็คือมักง่ายนั่นแหละ อย่ามาอ้างเลย ไม่รู้แหละ ถ้าเขาไม่เห็นค่าก็ไม่ต้องฝืน ทำแค่พอดีตัวเอง สุดท้ายจบยังไงแม่ก็อยู่ข้างหนู”
แม่หวานเข้าอกเข้าใจลูกสาวและไม่อยากทำให้มันวุ่นวายไปกว่านี้ เดิมก็เห็นพ้องเรื่องงานหมั้นในครั้งนั้น แต่คุณานนท์กลับไม่ยินยอม ตั้งท่าจะแข็งข้อยอมหักไม่ยอมงอสู้กับครอบครัวอย่างเดียว นั่นก็ย่อมไม่โทษเขาเพราะนันท์นรียังเด็กเกินไป ชายหนุ่มเริ่มทำงาน ลูกสาวพึ่งขึ้นชั้นมัธยมต้น ฟังดูมีเหตุผล แต่ตอนนี้ต่างคนต่างก็โตแล้ว แถมลูกสาวยังได้เสียผิดผี หากคนหนุ่มดึงดันซ้ำรอยเหตุการณ์เดิม เกรงว่าข้ออ้างอารมณ์ชั่ววูบจะใช้บรรเทาความโกรธของผู้เป็นสามีไม่ได้ ทั้งสองไร่ต้องผิดใจกันแน่นอน
พักรักษาร่างกายที่บอบช้ำสามวันเต็มๆ ในที่สุดก็ฟื้นคืนพลังชีวิตกลับมา นันท์นรีจึงแต่งตัวแต่งหน้าสะสวย แม้ชุดที่ใส่จะเป็นกางเกงยีนส์เสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดา แต่พอสวมอยู่บนร่างของเธอก็น่ามองน่าชมไปทุกส่วน ร่องรอยจางลงบ้างแล้ว กลบด้วยแป้งหนาหน่อยก็จะไม่สังเกตเห็น ตอนที่พาลูกค้าจากรีสอร์ทมาถึงสวนองุ่น คนที่เตรียมใจไว้ว่าจะเจอไม่อยู่ตรงนั้น นันท์นรีจึงฝากคนไว้แล้วลองไปดูที่สนามหญ้ากว้างสำหรับเลี้ยงม้า
แดดอ่อนส่องผ่านชั้นเมฆ ใกล้กับกองฟางแห้งชายหนุ่มถอดเสื้อคนหนึ่งกำลังปล่อยม้าไปเล็มหญ้า ส่วนตนเองขุดบ่อน้ำโครมๆ แผ่นหลังยามที่ยกจอบหนักแน่นตึง เหงื่อไหลอาบเป็นสายนำสายตาทอดสู่แนวกล้ามหน้าท้อง ยามเมื่อต้องแสงก็สะท้อนจนเกิดประกายพร่าตา ความแข็งแกร่งของบุรุษเพศเข้มข้นจนน่าตื่นตะลึง
แข็งแรงอะไรขนาดนี้? ท่าทีจริงจังตอนสับดินนั่นอีก นันท์นรีส่ายหน้ารวบรวมสติที่กำลังฟุ้งซ่าน ในมือมีน้ำเย็นมาด้วยจึงลองเอ่ยปากเรียก
“พี่คราม”
เขาสะบัดเหงื่อออกจากหน้า พอเงยขึ้นมามอง ดวงตาคู่คมก็ราวกับนกเหยี่ยวจิกกรงเล็บตะครุบตัวเธอ ไม่พูดแต่เหมือนจะรอฟังว่านันท์นรีมีเรื่องอะไร
“น้ำไหมคะ”
น้ำเขาหมดพอดี ว่าจะไปเติมแต่อยากขุดบ่อน้ำให้ม้าอีกหน่อย เธออาสาเอามาส่งถึงที่ ตนก็ไม่ได้มีอคติจนแม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ถือตัว จึงก้าวขาขึ้นไปยืนใกล้ๆ กลิ่นโคลนปะทะเข้ากลางหน้านันท์นรีเต็มๆ ตอนที่ชายหนุ่มดื่มน้ำ ลูกกระเดือกจะขยับไหวรัวๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาเปรอะเปื้อน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับดึงดูดเสียจนเธอเสียอาการ
“ไม่มีคนมาช่วยเหรอคะ งั้นให้หนูนาช่วยพี่ไหม”
“เธอจะขุด?”
“ค่ะ ก็แค่ขุดดินเอง ที่บ้านหนูนาก็ช่วยแม่ปลูกผัก แค่นี้จิ๊บๆ ค่ะ”
“อ๋อ หึ!” คุณานนท์ส่งเสียงรับอย่างไม่เชื่อเท่าไหร่ เอวบางร่างน้อยขนาดนั้นจะมาช่วยขุดดิน นึกว่าตนเองอยู่ในละครทีวีอยู่หรือไม่ แม่คุณ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?