“หุบยิ้มซะบ้างเถอะ รู้แล้วน่าว่าดีใจที่ได้ถ่ายรูปกับริษาน่ะ”
“ขอโทษค่ะ”
“ถ้าอยากถ่ายรูปกับริษา ทำไมถึงไม่บอกกันตั้งแต่แรก”
“ก็...”
“ก็อะไร?”
“ก็แก้วกลัวว่าคุณกวีจะดุ”
“ฉันดูเป็นคนไร้เหตุผลขนาดนั้นเลยหรือไง” อีกฝ่ายถามกลับ ดวงตาคมมองไปยังถนนตรงหน้าตาไม่กะพริบ ขณะกำลังขับรถกลับไปยังคอนโดของเจ้าตัว
“ไม่ใช่ค่ะ แต่คุณดูเป็นคนขี้หงุดหงิดต่างหาก” ใบแก้วว่าเสียงแผ่ว
“ช่วยไม่ได้ ก็เธอทำตัวน่าหงุดหงิดเอง” คุณกวีเถียงกลับ คราวนี้ใบแก้วไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เธอเลือกที่จะให้ความสนใจกับหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเสียมากกว่า เนื่องจากเวลานี้เพื่อนของเธอต่างก็พากันรัวแชตมาหา เพราะอิจฉาที่ใบแก้ว่ได้ถ่ายรูปกับคุณริษา
“ทำไมเธอถึงไม่ถ่ายรูปกับฉันบ้างล่ะ” ท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมทั้งคู่ คุณกวีก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วทำไมแก้วต้องถ่ายรูปกับคุณกวีด้วยล่ะคะ” ใบแก้วถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ
“อ้าว...ก็ฉันเป็นดาราดังเหมือนกัน” อีกฝ่ายให้เหตุผลกลับมาโดยไม่มีท่าทางกระดากปากเลยแม้แต่นิด
“ไม่เอาล่ะค่ะ แก้วถ่ายกับคุณริษาก็พอแล้ว” ใบแก้วส่ายหน้าปฏิเสธ
แม้ตอนแรกใบแก้วจะรู้สึกตื่นเต้นมากที่ตัวเองต้องมาทำงานร่วมกับคุณกวี แต่พอเธอได้รู้จักนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว ไอ้ความตื่นเต้นที่เคยมีก็กลับหายไปเสียอย่างนั้น แม้บางครั้งใบแก้วจะรู้สึกทึ่งกับความมืออาชีพของพระเอกหนุ่มก็เถอะ ทว่าหญิงสาวกลับไม่มีความรู้สึกอยากถ่ายรูปกับอีกฝ่ายเพื่อเอาไปอวดเพื่อนเลย
“ถือว่าฉันถามแล้วนะ งั้นวันหลังเธออย่ามาอ้อนวอนขอถ่ายรูปกับฉันก็แล้วกัน” คุณกวีพูดอย่างคนถือตัว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รถหรูเลี้ยวเข้ามาจอดที่คอนโดของเจ้าตัวพอดี
“คุณกวีจะให้แก้วแยกย้ายที่หน้าคอนโดเลยไหมคะ” ใบแก้วถามพระเอกหนุ่ม หลังจากที่เขาขับรถเข้ามาข้างในแล้ว
“อย่าเพิ่ง เธอช่วยขนของพวกนี้ขึ้นไปที่ห้องฉันก่อน” อีกฝ่ายบอกกลับมา ข้าวของที่ถูกวางไว้ตรงเบาะหลังนั้นเป็นของที่ทางสตูดิโอมอบให้ โดยมีช่อดอกไม้ เนื่องในโอกาสที่การถ่ายแบบวันนี้เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี รวมไปถึงพวกขนมคุกกี้รสชาติต่าง ๆ ที่บรรดาแฟนคลับฝากให้ทีมงานเอามาให้คุณกวีอีกทีหนึ่ง
“โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวแก้วขนขึ้นไปให้นะคะ” ใบแก้วพูดพลางพยักหน้ารับคำสั่งนั้นอย่างไม่อิดออด เธอรีบปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ เพื่อทยอยหยิบของขึ้นไปส่งให้คุณกวีที่ห้องของเจ้าตัว
ตลอดทั้งวันนี้ใบแก้วไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก อาจเพราะว่าวันนี้เป็นการทำงานวันแรกของเธอด้วย คุณกวีอยากให้ใบแก้วได้เรียนรู้งานเสียมากกว่า อีกฝ่ายถึงไม่ได้สั่งอะไรที่หนักหนานัก นอกจากบอกให้ไปหยิบน้ำ หรือไม่ก็หยิบของใช้ส่วนตัวให้กันเท่านั้น
“ไม่ทราบว่า คุณกวีจะให้แก้วเอาคุกกี้พวกนี้ไปวางไว้ตรงไหนดีคะ” เมื่อขึ้นมาบนห้องอีกฝ่ายพร้อมด้วยข้าวของมากมาย ใบแก้วก็เอ่ยถามพระเอกหนุ่ม เธอตั้งใจจะเก็บของทุกอย่างให้เข้าที่ก่อน แล้วค่อยขอ
ตัวกลับ
“เอาไว้ตรงตะกร้าบนตู้เย็นเลย หรือว่าเธอจะเก็บเอาไว้กินเองก็ได้” อีกฝ่ายที่เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างคนหมดแรงตอบกลับมา
“ได้ไงล่ะคะ ในเมื่อของพวกนี้แฟนคลับตั้งใจทำมาให้คุณกินทั้งนั้น” ใบแก้วตอบกลับไป พลางเดินไปจัดเรียงคุกกี้ใส่ไว้ในตะกร้าตามคำบอกของคุณกวี
ระหว่างนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งคู่ จนกระทั่งใบแก้วจัดเรียงคุกกี้ใส่ตะกร้าเสร็จ หญิงสาวตั้งใจจะขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน เธอจึงหันไปหาคุณกวีเพื่อบอกลาอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่าพระเอกหนุ่มนั้นหลับไปเสียแล้ว
“สงสัยวันนี้เขาคงเหนื่อยจริงแฮะ หลับคาโซฟาเลย” ใบแก้วพึมพำเสียงแผ่ว เมื่อเห็นภาพนั้น
“แล้วเราควรปลุกเขาดีไหมนะ ถ้าออกไปจากห้องเลยเขาจะว่าอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวยืนตบตีกับความคิดของตัวเอง เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าตัวเองควรเดินไปปลุกพระเอกหนุ่มเพื่อบอกลาดีไหม คิดไปคิดมาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาคุณกวีอยู่ดี
“เขายังไม่ได้เช็ดหน้าเลยนี่นา” ใบแก้วพูดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เธอเดินไปหาเขาที่โซฟา เธอจำได้ว่าตอนที่เข้าไปในห้องแต่งตัว คุณกวีเพียงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น อีกฝ่ายยังไม่ได้เช็ดเครื่องสำอางออก
เธอต้องทำตัวเป็นผู้จัดการที่ดีใช่ไหม?
เมื่อเธอคิดได้ว่าตัวเองควรจะรับบทเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่ดีด้วยการเช็ดเครื่องสำอางออกให้พระเอกหนุ่ม เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องสิวที่อาจจะเกิดขึ้น ใบแก้วจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปหาน้ำยาเช็ดเครื่องสำอางที่วางอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนของอีกฝ่าย
หลังจากได้สำลีและน้ำยาเช็ดเครื่องสำอางมาแล้ว ใบแก้วก็ไม่รอช้า เธอรีบเดินกลับมาหาคุณกวีเพื่อเช็ดหน้าให้พระเอกหนุ่ม ทว่าในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะโน้มหน้าลงไปหาอีกฝ่าย เพื่อทำความสะอาดใบหน้าตามที่คิดไว้ จู่ ๆ คุณกวีที่หลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมาแบบไม่มี่ปี่มีขลุ่ย
“จะทำอะไร” อีกฝ่ายถามขึ้น ทำเอาใบแก้วเผลอสะดุ้งตัวเล็กน้อย เนื่องจากหญิงสาวไม่คิดว่าพระเอกหนุ่มจะลืมตาขึ้นมามองกันในเวลานี้
“ก—ก็เช็ดหน้าให้คุณกวีไงคะ” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าไม่มีผิด เพราะตอนนี้ใบหน้าของเธอกับพระเอกหนุ่มอยู่ห่างกันแค่คืบเดียวเท่านั้น
“ใจเธอเต้นแรง” คุณกวีพูดขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าใบแก้วมีท่าทีตกใจทันทีที่เขาบอกว่าได้ยินเสียงหัวใจของเธอ
“ถ้าไม่เต้นก็ตายสิคะ” ใบแก้วเฉไฉตอบกลับไป จากนั้นหญิงสาวก็รีบผละตัวออกห่างพระเอกหนุ่ม เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเธอใจเต้นแรงมากแค่ไหน
“...”
“คุณกวีตื่นมาตอนนี้ก็ดีแล้ว แก้วว่าก่อนที่คุณจะหลับคาโซฟาอีกรอบ คุณเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนดีไหมคะ” หญิงสาวทำทีเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเธอไม่ต้องการให้พระเอกหนุ่มมาจับผิดเสียงหัวใจของเธออีก
“ไหน ๆ ในมือเธอก็ถือสำลีพร้อมเช็ดหน้ากันแล้ว งั้นก็ช่วยบริการให้ฉันหน่อยสิ”
“...”
“มันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปหรอกใช่ไหม เพราะฉันขี้เกียจลุกไปยืนเช็ดเครื่องสำอางที่หน้ากระจกเงา” พระเอกหนุ่มว่า ตัวของใบแก้วเองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว หากอีกฝ่ายจะให้เธอเช็ดเครื่องสำอางให้ เนื่องจากใบแก้วเองก็ตั้งใจจะทำให้คุณกวีอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายดันรู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน
“ได้ค่ะ เดี๋ยวแก้วเช็ดหน้าให้” ใบแก้วรับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย ก่อนจะบอกให้คุณกวีหลับตาลง ไม่อย่างนั้นความเขินอายที่เธอมีคงไม่สามารถหลุดรอดจากสายตาของพระเอกหนุ่มได้
“คุณกวีหลับตานะคะ” เธอบอกเขาเสียงแผ่ว
“อืม”
ขณะที่ใบแก้วกำลังบรรจงเช็ดเครื่องสำอางให้คุณกวีด้วยความตั้งใจอยู่นั้น หญิงสาวก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการควบคุมมือของตัวเองไม่ให้ออกอาการสั่นยามที่ใกล้ชิดกับดาราหนุ่ม
จริงอยู่ที่ใบแก้วเคยพูดคุยกับเพื่อนผู้ชายอยู่บ้าง แต่เพราะคนรอบตัวเธอส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น เธอจึงไม่เคยใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามมากขนาดนี้ การที่ต้องมาเช็ดเครื่องสำอางให้เขาจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอไม่น้อย
“คุณกวี” ระหว่างที่กำลังบรรจงเช็ดคิ้วเข้มของอีกฝ่าย ใบแก้วก็ต้องเรียกพระเอกหนุ่มเสียงแผ่ว เมื่อจู่ ๆ คนที่กำลังนอนเอนกายอย่างสบายใจเฉิบใช้แขนข้างหนึ่งตวัดโอบรอบเอวของเธอเอาไว้โดยไม่บอกกล่าว
“ฉันกลัวเธอหงายหลังตกลงไป” อีกฝ่ายยังคงนอนหลับตาปล่อยให้ใบแก้วเช็ดเครื่องสำอางต่อไป เหตุผลสั้น ๆ ที่ตอบกลับมานั้น ทำให้ใบ
แก้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“...”
“เธอไม่โอเคเหรอ” พระเอกหนุ่มถามขึ้น เมื่อเห็นว่าใบแก้วเงียบไป
“เปล่าค่ะ แก้วแค่ตกใจ ก็เลยเรียกชื่อคุณกวี” ใบแก้วตอบ พร้อมกับดึงความสนใจของตัวเองกลับมาที่การเช็ดเครื่องสำอางอีกครั้งหนึ่ง
ใบแก้วพิถีพิถันกับการเช็ดเครื่องสำอางให้คุณกวีเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเธอทำความสะอาดไม่ดี ใบหน้าของเขาก็อาจเกิดสิวขึ้นได้ ต่อให้เธอจะเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายแล้วก็ตาม
“หน้าคุณกวีใสจังค่ะ นี่คุณเข้าคลินิกบ่อยหรือเปล่าคะ” ระหว่างที่มือกำลังเช็ดไปตามแก้มของพระเอกหนุ่มอย่างไม่รีบร้อน ใบแก้วก็ชวนคุณกวีคุยไปด้วยเพื่อไม่ให้เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่
“ก็เดือนละครั้งสองครั้งได้ ถ้าช่วงไหนที่ฉันต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษ อย่างมีถ่ายงานชิ้นสำคัญก็อาจต้องเข้าบ่อยหน่อย” อีกฝ่ายตอบกลับมา ขณะที่ใบแก้วก็ทำเพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น
“หน้าเธอก็ใสเหมือนกัน แล้วเธอล่ะเข้าคลินิกบ่อยไหม” คราวนี้พระเอกหนุ่มเป็นฝ่ายถามกลับมาบ้าง
“แก้วไม่เคยเข้าคลินิกเลยค่ะ เพราะแก้วเป็นคนไม่มีปัญหาเรื่องผิวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“จะบอกว่าตัวเองสวยมาตั้งแต่เกิดว่างั้นเถอะ”
“เปล่านะคะ แก้วก็แค่บอกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีปัญหาเรื่องผิว ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนสวยสักหน่อย” ใบแก้วรีบปฏิเสธกลับไปทันที เนื่องจากเธอไม่ได้ต้องการจะสื่ออย่างนั้น
“ที่แก้วไม่มีปัญหาเรื่องผิวคงเป็นเพราะได้กรรมพันธุ์จากครอบครัวมามั้งคะ เพราะคนที่บ้านแก้วไม่มีใครมีปัญหาเรื่องผิวเลยสักคน” หญิงสาวอธิบายจบ พร้อมกับที่เธอเช็ดหน้าให้คุณกวีเสร็จพอดี
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เมื่อได้ยินใบแก้วพูดดังนั้น พระเอกหนุ่มก็ลืมตาขึ้น
“เช็ดสะอาดหรือเปล่า” อีกฝ่ายถาม
“สะอาดแน่นอนค่ะ เพราะแก้วเช็ดจนสำลีไม่มีคราบรองพื้นติดมาเลย” เธอตอบกลับไปอย่างมั่นใจ ก่อนจะพูดต่อเสียงแผ่วในประโยคถัดมา เพราะจนถึงตอนนี้คุณกวีก็ยังกอดเอวของเธอเอาไว้อยู่
“อ—เอ่อ คุณกวีคะ ปล่อยแก้วได้แล้วค่ะ”
“โทษที ฉันลืม” พระเอกหนุ่มตอบกลับพร้อมรีบผละมือออกจากเอวของเธอทันที หลังจากที่ใบแก้วเช็ดเครื่องสำอางให้คุณกวีเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เธอกับอีกฝ่ายจะได้แยกย้ายกันเสียที
“ถ้าไม่มีอะไรให้แก้วทำแล้ว งั้นแก้วกลับเลยนะคะ” ใบแก้วบอกพระเอกหนุ่ม เพราะเธออยากจะกลับไปพักผ่อนแทบแย่แล้ว
“อืม เธอกลับไปเลยก็ได้” คุณกวีพูดพลางพยักหน้ากลับมา จากนั้นใบแก้วจึงเอ่ยลาพระเอกหนุ่มตามมารยาท แล้วเดินออกมาจากห้องของอีกฝ่าย เพื่อไปโบกแท็กซี่ที่หน้าคอนโด
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?