วันรุ่งขึ้นหลิงเมิ่งเหยาไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาทำหนังสือแยกบ้านให้กับตนเองกับลูกสาว ในตอนแรกหัวเฉินหรูจะไม่ยอมให้อะไรกับลูกสะใภ้เลย แต่ถูกหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยค้าน หล่อนจึงทำอะไรไม่ได้
“หลิงเมิ่งเหยา หนังสือแยกบ้านของเธอ แผ่นหนึ่งฉันจะเอาไปส่งให้ที่อำเภอ ถ้าเธอมีที่อยู่แล้วก็อย่าลืมไปจัดการให้เรียบร้อยด้วยนะ” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี พร้อมยื่นซองเอกสารไปให้
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันจะรีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็วค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาค้อมหัวขอบคุณอีกครั้ง หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้ารับ จากนั้นก็ขอตัวกลับบ้านไป
“แม่” หลิวอันอันกระซิบ มือน้อยๆ บีบมือแม่แน่น “เราจะไปบ้านใหม่แล้วใช่ไหมคะ?”
“ใช่จ้ะ” หลิงเมิ่งเหยายิ้มให้ลูก “เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน”
หลิงเมิ่งเหยาก้มลงหยิบกรอบรูปเล็กๆ ของสามีใส่กระเป๋าอย่างทะนุถนอม เธอกวาดตามองห้องเป็นครั้งสุดท้าย ความทรงจำหลายปีในห้องนี้ทั้งดีและร้ายวูบผ่านความคิด ไม่นานรถรับจ้างที่เธอไปติดต่อให้มาขนย้ายของก็มาถึง หลังจากนั้นคนงานช่วยกันยกของขึ้นรถ โดยมีหัวเฉินหรูยืนคุมการขนย้ายไม่วางตา
กระทั่งเสร็จเรียบร้อย หลิงเมิ่งเหยาอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นรถ ยังไม่ทันได้ปิดประตูทุกคนก็ต้องตกตะลึง
ซ่า ซ่า ซ่า
“ไปแล้วไปลับ ไม่ต้องกลับมาอีก ซวยจริง ๆ”
หัวเฉินหรูสาดน้ำกะละมังใหญ่ บ่นพึมพำแล้วเดินไปปิดประตูบ้านดังโครม คนงานที่มาขนของต่างมองหน้ากันเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร
“ออกรถเถอะค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาปิดประตูรถ
“แม่...เราจะมีความสุขใช่ไหมคะ?”
“แน่นอนจ้ะ” หลิงเมิ่งเหยากระชับอ้อมกอด “เราจะมีความสุขด้วยกัน”
รถค่อยๆ เคลื่อนออกจากบ้านหลิว มุ่งหน้าสู่ถนนที่ทอดยาวสู่ตัวเมืองซูโจว หลิวอันอันซบตักแม่หลับตาพริ้ม ขณะที่หลิงเมิ่งเหยามองผ่านกระจกหน้าต่าง หัวใจเต้นแรงด้วยความหวัง
เดินทางจากบ้านหลิวไม่นานก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
“มาแล้วเหรอหลิงเมิ่งเหยา รีบเข้ามาก่อนเร็ว” หลานอิงวิ่งออกมารับทันทีที่ได้ยินเสียงรถ เธอรีบจูงมือหลิวอันอันเข้าบ้าน
“ขอบคุณนะคะพี่หลานอิง” หลิงเมิ่งเหยายิ้มให้พี่สาวที่รัก ก่อนจะหันไปสั่งคนงานที่กำลังขนของลง “รบกวนวางกล่องพวกนั้นไว้ในห้องด้านในค่ะ ส่วนเครื่องครัวขอไว้แถวนี้ก่อน”
หลังจากจัดวางข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่เสร็จ หลานอิงก็พาหลิงเมิ่งเหยาเดินดูแต่ละห้องในบ้าน เพื่อวางแผนการใช้พื้นที่ร่วมกัน
“ห้องนี้กว้างพอสำหรับจักรเย็บผ้าสองตัวเลยนะ” หลานอิงชี้ไปที่ห้องโถงด้านหน้า “พี่ว่าเราทำเป็นห้องทำงานร่วมกันดีไหม จะได้คุยกันไปด้วยตอนทำงาน”
หลิงเมิ่งเหยาพยักหน้า มองห้องที่หลานอิงจัดไว้ให้ “ส่วนห้องนอนข้างหลังนี่”
“ใช่จ้ะ ห้องนั้นให้เธอกับอันอันอยู่ด้วยกัน พี่อยู่ห้องริมสุดทางซ้าย” หลานอิงยิ้ม “เราคุยกันไว้แล้วนี่จ๊ะ”
หลิงเมิ่งเหยาล้วงซองจากกระเป๋าเสื้อ หยิบธนบัตรออกมา “นี่ค่ะเงินหกสิบหยวน สำหรับค่าเช่าเดือนนี้”
“ทำไมให้เยอะจัง ค่าเช่าแค่ครึ่งหนึ่งก็สี่สิบหยวนเอง” หลานอิงขมวดคิ้ว
“อีกยี่สิบหยวนเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส” หลิงเมิ่งเหยายืนกราน “แล้วก็ถ้ามีอะไรต้องซ่อมแซม จะได้มีเงินไว้ใช้ด้วย”
เธอหยิบเงินออกมา “นี่อีกสี่สิบหยวนสำหรับค่าอาหาร ถ้าไม่พอ พี่หลานอิงบอกฉันได้นะคะ”
“เมิ่งเหยาเธอแน่ใจเหรอ” หลานอิงยังไม่ยื่นมือออกไปรับ
“แน่ใจมากเลยค่ะ ตอนนี้พวกเราสามคนก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะคะ” หลิงเมิ่งเหยาจับมือหลานอิงไว้อย่างอ่อนโยน “ฉันกับอันอัน ขอฝากเนื้อฝากตัวกับพี่หลานอิงด้วย”
หลิวอันอันที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ มองสลับไปมาระหว่างแม่กับป้าหลานอิง เด็กน้อยรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แตกต่างจากบ้านหลังเก่า
“เอาละ” หลานอิงยิ้มรับ “มาช่วยกันจัดของดีกว่า วันนี้เราต้องทำให้บ้านนี้น่าอยู่ที่สุด”
หลิงเมิ่งเหยามองรอบห้อง ในใจคิดว่าต่อไปเธอต้องหาแค่เงินสำหรับค่าเล่าเรียนของหลิวอันอันเท่านั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าแพงๆ อีกแล้ว ความโล่งใจและความหวังเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
หลิวอันอันยืนมองแม่จัดการสิ่งของด้วยสายตาเป็นประกาย ตั้งแต่พ่อจากไป นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นแม่ดูมีความสุขขนาดนี้
การจัดบ้านใช้เวลาไม่นาน ด้วยข้าวของมีเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ทุกอย่างล้วนเป็นของที่มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูปของพ่อ ตุ๊กตาตัวโปรดของหลิวอันอัน หรือจักรเย็บผ้าที่จะเป็นเครื่องมือสร้างอนาคตใหม่
“เมิ่งเหยา วันนี้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ กินอาหารฉลองกันหน่อยดีไหม” หลานอิงเสนอขึ้น เธอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าน้องสาวที่ไม่ได้เห็นมานาน
“ดีเลยค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาก้มลงถามลูกสาว “อันอัน อยากกินอะไรไหม?”
“หม้อไฟค่ะ หนูชอบหม้อไฟ” หลิวอันอันตอบเสียงใส ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
เย็นนั้น กลิ่นหอมของน้ำซุปและเสียงหัวเราะของสามสาวต่างวัยดังก้องในห้องครัวเล็กๆ หลิวอันอันหัวเราะคิกคักเมื่อหลานอิงแกล้งทำจมูกแดงเพราะน้ำซุปเผ็ด หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ พวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะวันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว
หลิงเมิ่งเหยานั่งหวีผมให้หลิวอันอันบนเตียงในห้องนอนใหม่ เด็กน้อยกอดตุ๊กตาผ้าไว้แน่น สีหน้าเปื้อนยิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมานาน
“แม่คะ” หลิวอันอันเอียงคอมองแม่ “หนูชอบบ้านหลังนี้จัง”
“แม่ก็ชอบจ้ะ” หลิงเมิ่งเหยาวางหวีลง ก้มลงกอดลูกสาวจากด้านหลัง “ต่อไปนี้เราจะอยู่ที่นี่ด้วยกัน ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ”
หลิวอันอันพลิกตัวมากอดแม่ “พรุ่งนี้หนูจะช่วยแม่กับป้าหลานทำงานนะคะ”
“อันอันต้องตั้งใจเรียนหนังสือก่อน” หลิงเมิ่งเหยาจูบหน้าผากลูก “ส่วนเรื่องอื่น เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
“แม่...” หลิวอันอันหาว ขยี้ตาอย่างง่วงงุน “หนูดีใจที่เราออกมาจากบ้านย่า”
หลิงเมิ่งเหยาห่มผ้าให้ลูกสาว มองดูเด็กน้อยค่อยๆ หลับตาลง หลิงเมิ่งเหยาโอบร่างของลูกสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหลับตาลง แล้วเข้าสู่นิทราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เธอรับรู้ได้ว่านับจากวันนี้ไปจะมีสิ่งดีๆ รออยู่
***
ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังนอนหลับอย่างมีความสุขในบ้านหลังใหม่ ส่วนเรือนตะวันออกที่บ้านหลิวกลับมีบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ
หลิวอี้หานเดินเข้ามาพร้อมกับสายตาที่จับจ้องร่างของจางจื่อหลานซึ่งนอนพิงหมอนอยู่บนเตียง เธอดูเหมือนกำลังอ่านหนังสือ แต่ความเงียบในห้องบอกเป็นนัยว่าเธอรู้ดีถึงการปรากฏตัวของสามี
“พี่จะทำอะไร?” จางจื่อหลานเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกถึงมือของหลิวอี้หานที่วางบนไหล่ของเธอ
“เราไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเลยนะ” เสียงของเขาแฝงความไม่พอใจขณะเลื่อนมือไล้ลงไปตามเรียวแขน “เธอก็เอาแต่ทำงาน พอเข้าห้องก็บอกว่าเหนื่อย”
“พี่ ฉันเหนื่อยจริงๆ ไม่มีอารมณ์” จางจื่อหลานสะบัดตัวออก พลางปัดป้องมือของสามี
หลิวอี้หานชะงักไปเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นนั่ง เอามือเสยผมที่ปรกหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “อย่าบอกนะว่า ที่เธอไม่มีอารมณ์...เพราะเธอกินอิ่มมาจากข้างนอกแล้ว?”
คำพูดนั้นเหมือนน้ำมันราดลงบนไฟ จางจื่อหลานวางหนังสือลงทันที “พี่พูดอะไร? อย่ามาดูถูกฉันนะ!” น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อย ทั้งโกรธและผิดหวัง
“ดูถูกเหรอ?” หลิวอี้หานหัวเราะในลำคอ “แล้วที่มีคนเห็นเธอนั่งรถไปกับผู้ชายคนนั้นตั้งหลายครั้งล่ะ? ยังจะบอกให้ฉันไม่คิดอะไรได้อีกเหรอ?”
“พี่อี้หาน!” เธอลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาเป็นประกายด้วยความโมโห “ฉันบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่ามันไม่มีอะไร! เขาเป็นลูกค้าที่ฉันต้องดูแลเท่านั้น!”
“ดูแล? ไม่ใช่ว่า ‘ดูแล’ ไปถึงบนเตียงด้วยใช่ไหม?” หลิวอี้หานสวนกลับทันควัน เสียงของเขาดังขึ้นจนเกือบกลบเสียงลมข้างนอก
จางจื่อหลานนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่ฝ่ามือของเธอจะฟาดลงบนแก้มของเขา เสียงดัง “เพียะ!” ก้องในความเงียบ หลิวอี้หานหันขวับตามแรงตบ
“ถ้าพี่คิดว่าฉันเป็นแบบนั้น ก็ไม่ต้องพูดกันอีก!” เธอเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้กับสามี หลิวอี้หานถูกตบหน้าไปแบบนั้นก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น เขาโถมตัวลงไปทับร่างของภรรยา จากนั้นก็ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน
เสียงที่ดังออกมาจากเรือนตะวันออกไม่ใช่เสียงครวญครางของความหฤหรรษ์ แต่เป็นเสียงของความเจ็บปวด เสียงที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากได้ยิน
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?