ตอนที่ 3 บ้านหลังใหม่

การเดินทางสิ้นสุดลงในเช้าอีกสองวันถัดมา เติ้งเว่ยหมิงหิ้วกระเป๋าเดินทางสองใบ ส่งสายตาให้ภรรยาพร้อมกับทำหน้าพยักเพยิดบอกให้เธอลงจากรถไฟ

ซุยหลันซีใช้สายตางงงวยมองตอบเขา อ้าปากเป็นคำพูดถามว่า ‘ลงที่นี่เหรอ?’ แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา พร้อมกับพยักหน้ารับรู้

เธอหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาแล้วเดินตามชายหนุ่มไปเงียบๆ

ในช่วงการเดินทางบนรถไฟ ระหว่างพวกเขาสองคนแทบจะไม่มีบทสนนาอะไรกันมากนัก เพราะต่างคนต่างก็จดจ่ออยู่กับความคิดของตนเอง

สำหรับเติ้งเว่ยหมิงแล้ว เขาเห็นว่าคุณหนูผู้เอาแต่ใจแปลกไป เธอรู้จักขอบคุณ มีความอดทน ไม่โวยวายที่ต้องอุดอู้อยู่บนรถไฟตลอดสองวันมานี้ และที่สำคัญไม่กลั่นแกล้งเขาอย่างแต่ก่อน

ชายหนุ่มพาหญิงสาวออกมาจากชานชลา แล้วเรียกรถรับจ้างให้ไปส่งยังที่พัก ซุยหลันซีก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ เช่นเคย แต่ใช้สายตากวาดมองสำรวจด้วยความตื่นตาตื่นใจ ความแปลกใหม่ของยุคสมัยนี้ สถานที่ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ซุยหลันซีรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเธอในตอนนี้

หลังจากใช้เวลาเดินทางประมาณสี่สิบห้านาที รถรับจ้างก็พาทั้งสองคนมาถึงจุดหมายปลายทาง จอดนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าตึกอาคารขนาดห้าชั้นสภาพกลางเก่ากลางใหม่หลังหนึ่ง

เติ้งเว่ยหมิงจ่ายเงินค่ารถแล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางออกเดินดุ่มไม่พูดไม่จาพาซุยหลันซีเดินขึ้นบันไดไปหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งตรงสุดทางเดินของชั้นสอง

เขาล้วงกุญแจออกมา เปิดประตูห้องเข้าไป ซุยหลันซีก้าวเท้าเข้าไปในห้อง แต่ก็ไม่ได้ก้าวไปมากกว่านั้น เธอยืนนิ่งอยู่ตรงหลังบานประตูอยู่อย่างนั้น

“คุณหนู บ้านของผมคับแคบ ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนที่บ้านของคุณหนู คุณหนูพักที่ห้องนอน ผมจะนอนที่เก้าอี้ยาวเอง แต่ว่าตู้เสื้อผ้าไม่มีที่วาง ผมอาจจะต้องเข้าไปใช้ในห้องด้วยกัน เราแบ่งกันใช่คนละฝั่ง ห้องน้ำอยู่ทางนี้ นี่เป็นห้องครัว ระเบียงหลังบ้านเอาไว้ตากผ้า ส่วนนี่เป็นห้องเก็บของ สุดท้ายนี่เป็นกุญแจบ้านสำรอง คุณหนูเอาไปใช้ได้เลย”

สายตาของซุยหลันซีมองสำรวจภายในห้องไปทีละจุดตามที่เติ้งเว่ยหมิงแนะนำ ห้องนี้เหมาะสำหรับพักอยู่คนเดียว หากอยู่กันสองคนก็ดูเหมือนจะคับแคบไปสักหน่อย

เติ้งเว่ยหมิงเห็นเธอยืนมองไปรอบๆ อย่างนิ่งๆ เขาจึงยกกระเป๋าเดินทางของซุยหลันซีเอาไปวางไว้ให้ที่ในห้องนอน กะว่าจะให้หญิงสาวได้จัดข้าวของส่วนตัวของเธอก่อน ส่วนของตัวเองค่อยทำทีหลัง ขณะกำลังจะหันหลังกลับออกมาจากห้องนอน ก็หยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตามเข้ามาโดยไม่รู้ตัว

พอเห็นว่าเขากำลังจะเดินกลับออกไป เสียงหวานๆ ของเธอก็ดังขึ้น “เดี๋ยวค่ะพี่เว่ยหมิง ขอฉันคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ?” ซุยหลันซีรีบเรียกชายหนุ่มเอาไว้เมื่อเห็นเขากำลังจะผละตัวออกจากห้องไป เติ้งเว่ยหมิงชะงักก่อนจะหันมาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“พี่เว่ยหมิง?”

“ใช่ค่ะ พี่เว่ยหมิง ไหนๆ พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน มาทำข้อตกลงกันก่อนดีไหมคะ? ที่ฉันไม่ได้คุยตอนอยู่บนรถไฟก็เพราะทำตัวไม่ถูกค่ะ”

การที่ซุยหลันซีบอกให้เขาได้รับทราบความคิดของเธอ ทำให้เติ้งเว่ยหมิงแปลกใจไม่น้อย เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ พยักหน้าตกลง พร้อมกับเดินออกไปที่ห้องรับแขก ซุยหลันซีจึงได้เดินตามออกไป ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวห่างกันคนละฝั่ง

“พี่เว่ยหมิง ตอนนี้พวกเราก็แต่งงานกันแล้ว แต่บอกพี่ตามตรง ฉันยังรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง เรื่องเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันตั้งตัวไม่ทัน พวกเราแต่งงานกันแต่ในนามแบบนี้ไปก่อน ถ้าในอนาคตพี่เว่ยหมิงมีคนที่ชอบ หรือว่าฉันมีคนที่ชอบ สักปีสองปีพวกเราก็มาหย่ากันเถอะ

อีกอย่างพี่เรียกฉันว่าคุณหนู มันฟังดูพิกล ตอนนี้พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คุณหนูอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อฉันตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของพี่ พี่ก็เรียกฉันว่าหลันหลันเถอะ ฉันจะเรียกพี่ว่าพี่เว่ยหมิง แบบนี้พี่เห็นว่าเป็นไง?”

ซุยหลันซีบอกสิ่งที่เธอคิดมาตลอดสองวัน การอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็ต้องเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไปก่อน มันคงดูประหลาดที่สามีจะเรียกภรรยาเหมือนเป็นคนอื่น แบบนี้คนทั่วไปจะนินทาเอาได้

ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรในยุคสมัยนี้ การมีคนให้พึ่งพิงได้น่าจะดีที่สุดแล้ว อีกอย่างดูท่าทางคนตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ร้ายกาจและเอาแต่ใจเช่นร่างนี้แน่

ซุยหลันซีได้แต่หวังว่าเธอจะคิดไม่ผิด

“เอาตามที่คุณพูดมาก็ได้ ผมไม่มีปัญหา ผมจะให้เงินเดือนคุณเอาไว้สำหรับใช้จ่ายในบ้านห้าสิบหยวน คุณคิดว่าจะพอไหม อ้อ! อีกอย่าง ที่นี่ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกเหมือนที่คฤหาสน์ตระกูลซุย เสื้อผ้าต้องซักมือ เตาก็ยังเป็นเตาถ่าน ถ้าทำไม่เป็นก็รอผมกลับมาจากทำงานก่อน”

“ได้! ว่าแต่พี่ทำงานอะไร บอกฉันได้ไหม?” ซุยหลันซีเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“ผมทำงานที่โรงงานสิ่งทอจินเซิงนั่งรถโดยสารไปไม่ถึงสิบนาที”

“ฉันไปทำงานที่นั่นด้วยได้ไหม หรือพี่พาฉันไปดูที่ทำงานของพี่ก่อนก็ได้”

“ถึงแม้ว่าผมจะจน ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคุณ แต่แค่คุณคนเดียวผมเลี้ยงไหว อีกอย่างผมก็ไม่คิดว่าคุณจะทำงานหนักแบบนั้นได้ ขอโทษ ผมไม่ได้ดูถูกคุณ แต่ว่างานที่นั่น คุณทำไม่ถึงครึ่งวันก็คงขอลาออกแล้ว”

แม้จะมีคำว่า ‘ขอโทษ’ แต่ยังสัมผัสได้ถึงความดูถูกในน้ำเสียงที่เปล่งออกมา ทำให้ซุยหลันซีรู้สึกโกรธ กำลังจะอ้าปากเถียง ความคิดดีๆ ก็แล่นเข้ามาให้หัวเสียก่อน เธอจึงทำเป็นพยักหน้าเห็นด้วยแทน

“ก็จริงนะ ฉันเป็นคุณหนู ไม่เคยทำงานหนัก ในเมื่อพี่เป็นสามีก็ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูฉันอยู่แล้ว”

ซุยหลันซีนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว หลังจากพูดประโยคสุดท้ายจบ เธอก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เติ้งเว่ยหมิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าเดินทาง

ซิปกระเป๋าเดินทางถูกเปิดออก เติ้งเว่ยหมิงค่อยๆ หยิบเสื้อผ้าออกมาทีละชิ้น เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและเริ่มจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ซุยหลันซีมองดูเขาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากเก็บเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ เสียงน้ำไหลดังขึ้นเบาๆ ไม่นานนักเขาก็เดินออกมาในชุดอยู่บ้านธรรมดาๆ กางเกงผ้าฝ้ายขายาว

“บ้านสกปรกไปหน่อย เพราะผมไม่อยู่หลายวัน” เติ้งเว่ยหมิงพูดขึ้นเบาๆ พลางมองไปรอบๆ ห้อง

ซุยหลันซีพยักหน้า “ค่ะ”

เติ้งเว่ยหมิงเดินไปหยิบไม้กวาดและผ้าถูพื้น เขาเริ่มทำความสะอาดอย่างขะมักเขม้น ซุยหลันซีมองดูเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องเพื่อจัดการกับของของตัวเองบ้าง

เธอหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋า นำไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าอีกด้านหนึ่งที่ว่างอยู่ ก่อนจะชะงักมือยืนนิ่ง

ในมือของเธอถือชุดชั้นในสีชมพูอ่อน เธอกวาดตามองไปรอบๆ ไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหนดี ยังไม่ทันได้ตัดสินใจก็มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลัง ซุยหลันซีหันไปทั้งตัว ในมือยังถือชุดชั้นในตัวจิ๋วไว้อยู่

เติ้งเว่ยหมิงเห็นอย่างนั้นก็ชะงัก ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่ใบหูกลับแดงก่ำขึ้นมา โดยที่ซุยหลันซีไม่ทันได้สังเกตเห็น พอรู้สึกตัวเธอรีบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลังทันที ใบหน้าขาวเนียนแดงระเรื่อ

“ขอโทษที่ไม่ได้เคาะประตูก่อน ผมเอาผ้าปูที่นอนใหม่มาให้” เขาบอกพร้อมกับยื่นชุดผ้าปูที่นอนใหม่ให้กับเธอ แต่เมื่อเห็นหญิงสาวยังยืนนิ่งก็นึกขึ้นได้ว่ามือของเธอไม่ว่าง เขาจึงวางผ้าปูที่นอนไว้บนเตียงแล้วหันหลังจะเดินออกไป ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าก็ได้ยินเสียงของเธอเรียกด้วยความนุ่มนวล

“เอ่อ... พี่เว่ยหมิงคะ?”

เติ้งเว่ยหมิงชะงักฝีเท้าหมุนตัวหันกลับมา “มีอะไรเหรอ?”

“พี่... พี่มีกล่องผ้าหรือกล่องกระดาษไหมคะ?” เธอถามเสียงเบา ใบหน้าแดงก่ำ

เติ้งเว่ยหมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ เดินออกไปด้านนอก ตรงที่ชั้นวางของเขาหยิบกล่องผ้าใบหนึ่งลงมาแล้วเดินกลับเข้ามายังห้องนอน

“อันนี้ได้ไหม?”

“ได้ ขอบคุณค่ะ” เธอพยัก ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับกล่องมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันหลังเข้าหาตู้เสื้อผ้า

เติ้งเว่ยหมิงมองไปยังแผ่นหลังของภรรยา รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะกลับไปทำความสะอาดบ้านต่อ

ในห้องนอน ซุยหลันซีได้ยินเสียงฝีเท้าของเติ้งเว่ยหมิงเดินจากไป ก็รีบเก็บชุดชั้นในทั้งหมดลงในกล่องผ้า แล้วนำไปวางไว้ที่ชั้นล่างสุดของตู้เสื้อผ้า เธอถอนหายใจยาว รู้สึกโล่งอก

“โอ๊ย... อายจัง” เธอพึมพำกับตัวเอง ยกมือขึ้นปิดหน้า “ฉันเนี่ยนะ.... ชุดสีชมพู” ซุยหลันซีตบหน้าตนเองเบาๆ เรียกสติอยู่สองสามที แล้วจึงลงมือเก็บของจนเสร็จ

เธอเดินกลับออกมาอีกครั้งเห็นเติ้งเว่ยหมิงกำลังเช็ดโต๊ะ ห้องดูสะอาดขึ้นมาก

“ฉัน... ฉันช่วยอะไรได้ไหมคะ?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ

เติ้งเว่ยหมิงหันมามอง สีหน้าของเขาอ่อนลง

“คุณอยากช่วยเหรอ?”

ซุยหลันซีพยักหน้า

เติ้งเว่ยหมิงยิ้มบางๆ “งั้นคุณช่วยผมทำความสะอาดพวกถ้วยจานในครัวได้ไหม? ไม่ได้ใช้หลายวันฝุ่นมันจับน่ะ”

“ฉันจะลองดู”

เธอเดินไปทางห้องครัวยกพวกถ้วย จาน ชามออกมาล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนจะเอาไปเก็บไว้ที่เดิม

หลอดไฟกลางห้องส่องแสงสีขาวนวล สายตาคมของชายหนุ่มจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางของหญิงสาว

การกระทำของซุยหลันซีทำให้เติ้งเว่ยหมิงมองด้วยความสับสน เขาแค่พูดไปอย่างนั้น แต่กลับไม่คิดว่าคุณหนูผู้เย่อหยิ่งจะยอมทำตามที่เขาบอก

หรือผู้หญิงคนนี้จะป่วย?

เติ้งเว่ยหมิงแอบมองซุยหลันซีเป็นพักๆ เขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘นี่ใช่คุณหนูผู้เย่อหยิ่งของเขาจริงๆ หรือ? ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้...’

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขาก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว

โพสต์ข้อความ