เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นจากไปแล้ว ซุยหลันซีจึงได้เอามือวางประสานอยู่บนหน้าอก หลับตาลง แล้วหวนคิดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตนเองในตอนนี้
จำได้ว่าเมื่อคืนออกไปฉลองกับเพื่อนในทีมอีกสองสามคนเนื่องในโอกาสได้รับรางวัลชนะเลิศ นักวาดยอดเยี่ยมประจำปีจากสำนักพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังงานจบจึงไปฉลองต่อที่ผับแถวบ้าน เผอิญว่าฉลองหนักไปหน่อย ในตอนขากลับบ้านลิฟต์ที่คอนโดเสีย แล้วเธอก็ง่วงนอนสุดๆ จึงทำให้ต้องเดินขึ้นบันไดแทน
แต่ด้วยความเมาเธอก้าวขึ้นไปสองก้าวก็ถอยหลังไปสามก้าว จำได้ว่าก่อนจะถึงชั้นที่อยู่ของตนเอง ดันก้าวพลาดตกบันได
คงเพราะแบบนั้น เธอน่าจะเสียชีวิต แล้ววิญญาณก็มาอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้
ใครจะไปคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ แล้วก็ดันไม่ใช่ความฝันเสียด้วยสิ นี่ฉันต้องมาติดอยู่ในยุคนี้จริงๆ เหรอเนี่ย? ช่างเถอะทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อนละกัน
ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำอะไรเลย เดี๋ยวนะ...ร่างนี้กำลังเดินทางไปกว่างโจวมันต้องมีอะไรสักอย่างให้ฉันหาข้อมูลได้แน่
ซุยหลันซีคิดได้ดังนั้นจึงผุดลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา แล้วลองคนในกระเป๋า ค้นอยู่สักพักก็เจอบัตรประจำตัวประชาชนของร่างนี้ ทะเบียนสมรส และเงินสดอีกจำนวนห้าร้อยหยวน และมีเหรียญอีกนิดหน่อย
ซุยหลันซีหยิบบัตรประชาชนออกมาดู ก็ต้องตกใจเป็นรอบที่สี่ ที่ชื่อบนบัตร รวมทั้งวันเดือนเกิด ตรงกับเธอทุกอย่าง พอหยิบทะเบียนสมรสออกมาเปิดดูก็ปรากฏว่าเป็นการแต่งงานกันระหว่างตนเองกับชายคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า เติ้งเว่ยหมิง อายุยี่สิบแปดปี ส่วนร่างนี้ตอนนี้อายุยี่สิบสองปี
“ฉันแต่งงานแล้วจริงๆ ด้วย ชาติก่อนแฟนยังไม่เคยมี มีแต่เพื่อนผู้ชาย รูปร่างก็เก้งก้างท่าทางกระโดกกระเดก หาความเป็นกุลสตรีไม่มี ไม่วาดรูปก็เขียนนิยาย วันๆ นั่งทำแต่งาน ทุ่มเทให้กับงานจนได้รางวัลนักวาดนักเขียนยอดเยี่ยมมาประดับชีวิต ไม่มีเวลาไปเดตกับผู้ชาย ชาตินี้พอฟื้นขึ้นมามายังไม่ทันข้ามวันกลับแต่งงานแล้ว เฮ้อ!” หลังจากเห็นหลักฐานต่างๆ แล้ว ซุยหลันซีก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
“แต่งงานแล้ว หวังว่าชีวิตต่อจากนี้คงราบรื่นนะ”
ซุยหลันซีหลับตาภาวนาให้เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อวยพรให้ตนเอง
“นี่ครับ อาหารของคุณหนู” เติ้งเว่ยหมิงที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยขึ้นพลางยื่นของสิ่งหนึ่งไปตรงหน้าให้กับซุยหลันซี หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าเป็นกล่องข้าวที่ส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา
“ตอนแรกก็ไม่หิว แต่พอได้กลิ่นก็ท้องร้องเลยค่ะ”
ซุยหลันซีเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบท้องตนเองป้อยๆ แถมท้องเจ้ากรรมยังส่งเสียงประท้วงดังลั่น ทำให้เธอต้องอับอายขายขี้หน้า เธอส่งยิ้มอย่างขอโทษให้ชายตรงหน้ายื่นมือออกไปรับพลางกล่าวขอบคุณ เติ้งเว่ยหมิงถึงกับมองด้วยสายตาเข้ม
ยิ้ม! คุณหนูผู้เกลียดเขาเข้าไส้ ยิ้มให้เขา? ผ่านไปไม่นานเมื่อตั้งสติได้ก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว หนึ่งหญิงหนึ่งชายก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ซุยหลันซีนั่งคิดเรื่อยเปื่อย สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ พยายามค้นหาความทรงจำของร่างนี้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกทำไมไม่เหมือนกับในนิยายที่เธอแต่ง เวลาทะลุมิติมาจะต้องมีความทรงจำเจ้าของร่างเดิม แต่ไหงร่างนี้ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า?
พอคิดอะไรไม่ออกเธอก็แอบเหลือบสายตามองไปยังคนร่วมเดินทาง แต่เมื่อเจอเข้ากับสายตาเย็นชาก็รีบชักสายตากลับคืนมา กลืนน้ำลายลงคอแล้วทำหน้านิ่ง
รถไฟขบวนนี้ออกเดินทางในตอนเย็นของเมืองปักกิ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณสองวันกว่าๆ จึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง โดยจะไปถึงกว่างโจวในตอนเช้า ขบวนรถไฟมีการแวะจอดเป็นระยะตามหัวเมืองใหญ่ ซุยหลันซีรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่เลือกรถไฟที่เป็นตั๋วตู้นอน ถ้าต้องนั่งไปเธอคงก้นด้านเป็นแน่
จนเวลาผ่านไปสามชั่วโมง ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันนอนหลับ
ซุยหลันซีหลับไม่สนิท รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งชมฉากเหตุการณ์ในโรงภาพยนต์
เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้า ชื่อ แซ่เหมือนกันกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่หญิงสาวคนนี้เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายพลซุยหาน ซึ่งรักยิ่งกว่าไข่ในหิน และตามใจบุตรสาวคนนี้มาก จนทำให้เจ้าของร่างนี้ เติบโตมากลายเป็นคนที่เอาแต่ใจ ร้ายกาจ ชอบกดขี่และกลั่นแกล้งคนในบ้าน
นายพลซุยหานถูกทางการตั้งข้อหาว่าสมคบคิดกับต่างชาติ ขายข้อมูลลับ กำลังจะถูกดำเนินคดี ท่านนายพลไม่อยากให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้ จึงขอร้องแกมบีบบังคับเติ้งเว่ยหมิงให้แต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของตนเอง
เติ้งเว่ยหมิงคนนี้เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อบ้านเติ้ง ซุยหลันซีเกิดและเติบโตจนรู้ความก็เห็นเขาเป็นเด็กในบ้าน และยังเป็นลูกไล่ให้กับเธอมาโดยตลอด แต่พอเขาเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก็สอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ หลังจากนั้นเข้าร่วมทำงานในกองทัพ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็แทบจะไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย
เธอแสร้งถามพ่อบ้านทำให้รู้ว่าในการทำภารกิจครั้งล่าสุดให้กับกองทัพ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นทหาร ทั้งๆ ที่หน้าที่การงานกำลังไปได้ด้วยดี
เมื่อนายพลซุยหานเกิดเรื่อง จึงเรียกตัวเติ้งเว่ยหมิงกลับมาขอร้องให้เขาแต่งงานกับบุตรสาวของตัวเอง
เติ้งเว่ยหมิงตอบตกลงเพื่อแสดงความกตัญญู ต่างกับซุยหลันซีที่อาละวาด ไม่ยินยอม ตำหนิว่าชายหนุ่มเป็นแค่คนงานในบ้านกล้าดีอย่างไรถึงจะมาแต่งงานกับคุณหนูผู้สูงส่งอย่างเธอ
ครั้งนี้ท่านนายพลผู้เป็นพ่อไม่ได้ตามใจบุตรสาวสุดที่รักอีกต่อไป เขาจัดการให้ทั้งคู่ไปจดทะเบียนสมรส แล้วให้ออกเดินทางไปกว่างโจวในทันที ทั้งยังห้ามกลับมาที่ปักกิ่งอีกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองก็ตาม
ซุยหลันซีโกรธให้กับผู้เป็นพ่อมาก แต่พอเห็นมีทหารกรูเข้ามาที่บ้าน คุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็ลนลานตกใจกลัว เป็นเติ้งเว่ยหมิงที่ตั้งสติได้ลากซุยหลันซีหลบออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางที่ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างที่นั่งรถมาที่สถานีรถไฟซุยหลันซีเริ่มหอบเหนื่อย เติ้งเว่ยหมิงก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร
ทั้งคู่นั่งรอรถไฟตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น เป็นเพราะไม่เคยตกระกำลำบากทำให้ร่างนี้นั่งหลับตาเงียบๆ ไม่พูดไม่จาใดๆ เติ้งเว่ยหมิงก็ปรายตามองเป็นระยะ
เขาคิดแค่ว่าคุณหนูกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้เอะใจว่าซุยหลันซีหัวใจวายเสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนซุยหลันซีที่ตกบันไดหงายหลังเสียชีวิตก็ถูกพลังงานสายหนึ่งถีบวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างของซุยหลันซีคนนี้
ซุยหลันซีหายใจเฮือกแล้วตกใจตื่น เพราะเสียงนายตรวจมาตรวจตั๋วรถไฟ เธอลุกพรวดขึ้นนั่งเหงื่อแตกพลั่ก แม้ว่าอากาศในตู้นอนจะเย็นยะเยือก
หลังจากเห็นเติ้งเว่ยหมิงส่งตั๋วรถไฟให้ตรวจแล้ว ซุยหลันซีที่ตื่นเต็มตาแล้วก็มานั่งทบทวนถึงความฝันอีกครั้ง
สรุปว่าร่างนี้ตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้วิญญาณของเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้ จะนับว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่านะ? วีรกรรมของร่างนี้ที่ก่อไว้ช่างน่าปวดหัว
ถึงจะน่าปวดหัวอย่างไรก็ยังต้องขอบคุณที่ทำให้เธอได้มีชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าจะผิดยุคผิดสมัยก็เถอะ เอาเป็นว่าฉันจะยกเธอให้เป็นบรรพบุรุษของฉัน แล้วจะไหว้เธอในเทศกาลเช็งเม้งทุกปีก็แล้วกันนะ
ซุยหลันซีเอ่ยบอกวิญญาณของร่างนี้ในใจ แล้วหลับตานอนหลับพักผ่อนต่อไป
เรื่องของวันข้างหน้าก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต จะไปวิตกกังวลล่วงหน้าทำไม หากมีปัญหาค่อยหาทางแก้ไปที่ละอย่างก็แล้วกัน