แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามาในห้องนอนแคบๆ ของบ้านชั้นสองในตึกห้าชั้น ซุยหลันซีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย เธอยกมือขึ้นป้องแสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้า จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านนอกจากเธอคนเดียว
“อ้าว พี่เว่ยหมิงไม่อยู่เหรอเนี่ย” ซุยหลันซีพึมพำกับตัวเอง สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเก้าโมงเช้า ซุยหลันซีถึงกับสะดุ้งโหยง
“ตายแล้ว! สายขนาดนี้แล้วเหรอ”
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นกระดาษหนึ่งแผ่น มีซองสีแดงวางอยู่บนนั้น เธอหยิบขึ้นมาดูบนกระดาษมีตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบ
ผมไปทำงาน กลับบ้านตอนเย็น ผมทำอาหารไว้ให้ ถ้าอยากกินร้อนๆ ก็อุ่นเอาได้ ส่วนเงินนี้ผมให้ไว้เป็นค่าใช้จ่ายตามที่บอกไว้
ลงชื่อ เติ้งเว่ยหมิง
ซุยหลันซีเปิดซองสีแดง มีเงินสดห้าสิบหยวนอยู่ในนั้นอย่างที่เขาบอกไว้ จึงเดินเอาไปเก็บไว้ในกระเป๋าถือที่อยู่ในห้องนอน จากนั้นเดินกลับมายังโต๊ะอาหาร
บนโต๊ะมีอาหารอยู่สองอย่าง จานหนึ่งเป็นผัดผัก ไม่มีเนื้อ กับอีกจานเป็นเต้าหู้ยัดไส้นึ่งซีอิ๊ว มีหม้อข้าววางไว้ข้างๆ พร้อมกับถ้วยเปล่าและตะเกียบ
เห็นอาหารบนโต๊ะ ท้องก็เริ่มประท้วง แต่อาหารนี่เขาน่าจะทำไว้นานแล้วเอามือไปแตะดูพบว่าเย็นหมดแล้ว ซุยหลันซีเดินไปตรงหน้าเตา กระทะใบใหญ่ล้างสะอาดมีฝาปิดวางอยู่บนนั้น ก้มลงมองด้านล่างมีช่องสำหรับจุดไฟอยู่ข้างใต้ และถุงถ่าน
“จุดเตาแค่นี้มันจะไปยากอะไร”
ซุยหลันซีขลุกอยู่หน้าเตาอยู่นานก็ไม่สามารถจุดไฟขึ้นมาได้ ทำให้นึกเสียใจอยู่เล็กน้อยที่ตอนเป็นเด็กไม่ได้สนใจ
เธอจำได้ว่าตอนที่เธอยังเล็กแม่พาไปบ้านที่ชนบทเพื่อเยี่ยมยายทุกปีใหม่ บ้านของยายยังใช้เตาดินที่ก่อด้วยอิฐ แม้จะมีเตาแก๊สให้ใช้แล้วก็ตาม ยายบอกว่ารสชาติของอาหารทำจากเตาถ่านจะอร่อยกว่า
ตอนนั้นเธอทำแค่ช่วยหยิบถ่านใส่เตา แต่ไม่เคยได้จุดเตาเอง ยายเคยพูดเอาไว้ว่า ‘เกิดมาทักษะพื้นฐานการใช้ชีวิตต้องทำให้เป็น’พอมาตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
ความสะดวกสบายในยุคที่เธอจากมา ทำให้คนเราหลงลืมทักษะพื้นฐานพวกนี้ไปจริงๆ
หลังจากปลุกปล้ำอยู่นาน สุดท้ายซุยหลันซีก็ไม่สามารถจุดไฟได้ ใบหน้าของเธอมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นและเถ้าถ่าน ตอนนี้นึกเสียใจแล้วจริงๆ ที่ไม่ตั้งใจเรียนวิชาแรงงาน
“ช่างเถอะ กินมันทั้งไม่อุ่นแบบนี้ก็ได้” คิดได้ดังนั้นเธอจึงล้มเลิกความตั้งใจ
กำลังจะเดินไปล้างมือก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง เธอขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ผละมือจากเตาเดินไปเปิดประตู มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ข้างๆ เธอมีเด็กผู้ชายหน้าตาเกลี้ยงเกลาด้วยอีกคน หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้าสีเขียว สวมทับด้วยเสื้อคลุมไหมพรมบางๆ
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานใสกล่าวทักทายดังขึ้นเมื่อซุยหลันซีเปิดประตู
“ฉันชื่อหลี่ชิงหรงค่ะ อยู่ห้องข้างๆ ส่วนนี่ลูกชายฉัน เล่อเล่อเมื่อวานฉันเห็นอาหมิงพาผู้หญิงกลับมาด้วย คุณคงเป็นภรรยาของอาหมิงใช่ไหมคะ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซุยหลันซี เป็นภรรยาของพี่เว่ยหมิงค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ซุยหลันซีทักทายตอบพลางยิ้มให้เล็กน้อย
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กชายก็ดังขึ้น “พี่สาวครับ หน้าพี่สาวดำเหมือนหมีเลยครับ”
หลี่ชิงหรงรีบปรามลูกชาย “เล่อเล่อ เด็กคนนี้ ต้องขอโทษแทนเขาด้วยนะคะ” เธอหันมาทางซุยหลันซี สีหน้าเป็นกังวล “ฉันขอโทษแทนลูกชาย อย่าถือสาเด็กคนนี้เลยนะคะ?”
ซุยหลันซียกมือเช็ดหน้า เมื่อเห็นคราบดำติดมือก็อดหัวเราะไม่ได้ “ฉะ...ฉันกำลังพยายามจุดเตาถ่านนะคะ แต่ว่า...” เธอชะงักไป ไม่กล้าบอกว่าตัวเองทำไม่เป็น
“อ้อ คุณคงจุดเตาถ่านไม่เป็นใช่ไหมคะ อาหมิงบอกว่าจะกลับไปรับภรรยามาอยู่ด้วย คุณคงมาจากปักกิ่ง ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร พี่สาวคนนี้สามารถสอนได้นะคะ”
ซุยหลันซีลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจของหลี่ชิงหรงและดวงตาเป็นประกายของเล่อเล่อ เธอก็ตัดสินใจ
“ขอบคุณมากค่ะ เชิญเข้ามาก่อนสิคะ”
หลี่ชิงหรงยื่นถุงผ้าใบเล็กที่ใส่ขนมเปี๊ยะกับชาให้ซุยหลันซี “นี่ค่ะ ของฝากเล็กๆ น้อยๆ เป็นธรรมเนียมต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่ของที่นี่”
ซุยหลันซีรับถุงผ้าใบเล็กด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ขอบคุณมากค่ะ พี่สาวใจดีจังค่ะ”
เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ต่อไปพี่สาวก็เรียกฉันว่า หลันหลันก็ได้นะคะ”
ถึงแม้เพิ่งได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยค แต่ท่าทางอ่อนโยนและจริงใจของหญิงมีอายุตรงหน้าทำให้ซุยหลันซีรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด เธอไม่เคยคิดว่าจะรู้สึกผ่อนคลายกับคนแปลกหน้าได้เร็วขนาดนี้
“จริงเหรอคะ? งั้นหลันหลันก็เรียกฉันว่าพี่ชิงหรงได้เลยค่ะ” หลี่ชิงหรงตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง “จริงๆ พี่รู้จักกับสามีของเธอมาหลายปีแล้วล่ะ เราเป็นเพื่อนบ้านกันมานาน”
คำพูดนั้นทำให้ซุยหลันซีรู้สึกโล่งอก ความไว้วางใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของเธอ ‘อ้อ อย่างนี้นี่เอง’ เธอพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองไปที่เด็กชายข้างๆ ซึ่งกำลังมองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย
ในช่วงเวลาปกติ เธอคงไม่กล้าเชิญคนแปลกหน้าเข้าบ้านง่ายๆ แบบนี้ แต่บรรยากาศอบอุ่นและการมีเด็กน้อยอยู่ด้วยทำให้ความระแวดระวังของเธอลดลงอย่างน่าประหลาด อีกทั้งความจำเป็นในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานก็มีส่วนผลักดันให้เธอตัดสินใจเช่นนี้
ทั้งสามเดินเข้าไปในครัวที่ยังคงมีควันลอยฟุ้ง หลี่ชิงหรงเริ่มสอนวิธีจุดเตาถ่านอย่างละเอียด ตั้งแต่การจัดวางถ่าน การใช้กระดาษและไม้ขีดไฟ ไปจนถึงการพัดให้ไฟลุกท่วม
เล่อเล่อยืนมองด้วยความสนใจ บางครั้งก็ช่วยส่งอุปกรณ์ให้แม่ “แม่ครับ ให้ผมลองพัดไฟได้ไหมครับ?”
“ได้จ้ะ แต่ลูกต้องระวังนะ” หลี่ชิงหรงยิ้มให้ลูกชาย
ไม่นานนัก ไฟในเตาก็ถูกจุดขึ้น ซุยหลันซีรีบเดินไปที่อ่างล้างจานทำความสะอาดคราบสกปรกบนใบหน้า รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็สามารถจัดการกับเตาถ่านได้สำเร็จ
จากนั้นจัดการอุ่นอาหารบนโต๊ะ กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง
“ขอบคุณมากนะคะ พี่ชิงหรง เล่อเล่อ” ซุยหลันซียิ้มกว้าง “ถ้าไม่ได้พวกพี่ ป่านนี้ฉันคงยังนั่งหิวอยู่”
หลี่ชิงหรงยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ เราเป็นเพื่อนบ้านกัน ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีก บอกได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
ซุยหลันซีรู้สึกอบอุ่นใจกับน้ำใจของเพื่อนบ้านคนใหม่
“พี่สาวครับ กับข้าวหอมจัง” เล่อเล่อเอ่ยขึ้นอย่างอายๆ บิดลำตัวไปมามือก็ลูบท้องไปด้วย เสียงท้องของเด็กชายร้องดังขึ้นเบาๆ
“ตายแล้ว เล่อเล่อ ลูกเพิ่งกินมื้อเช้าไปตอนเจ็ดโมงนี่เองนะ” หลี่ชิงหรงดุลูกชายเสียงเข้ม น้ำเสียงของเธอฟังดูอ่อนโยนแม้จะพยายามทำเสียงดุ
“แต่แม่ครับ มันหอมมาก” เล่อเล่อตอบพลางทำตาปริบๆ
ซุยหลันซีหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะพี่ชิงหรง มาตรงนี้มา” เธอจูงมือเด็กชายมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร จัดการตักข้าวมาสองถ้วยสำหรับตนเองกับเด็กชาย โดยมีหลี่ชิงหรงนั่งข้างๆ ลูกชาย
“พี่ชิงหรงพี่กินด้วยกันนะคะ”
หลี่ชิงหรงปฏิเสธอย่างสุภาพ “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันกินมื้อเช้ามาแล้ว พวกเธอกินกันเถอะ พี่นั่งเป็นเพื่อนก็พอแล้ว”
เล่อเล่อกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงมีโอกาสได้พูดคุยกันระหว่างที่กินอาหาร บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเองแผ่ซ่านไปทั่วห้อง ทำให้ใจของซุยหลันซีสงบลงมาก