“คุณหนู คุณหนู ตื่นครับ รถไฟมาถึงแล้ว เร็วเข้า ถ้าพลาดเที่ยวนี้ต้องรออีกสามวันเลยนะครับ” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้น ร่างของซุยหลันซีถูกเขย่าเบาๆ ทำให้เธอเกิดความรำคาญเล็กน้อยจึงใช้มือปัดออก พูดกับคนที่มาปลุกเธอให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุขด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“เพ่ยเพ่ย อย่ามากวนได้ไหม ฉันง่วง จะนอน วันนี้วันหยุดไม่ต้องไปทำงาน” พูดจบก็พลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง แต่แทนที่จะคว้าเอาเจ้าขนฟูมากอดเหมือนวันอื่นๆ กลับกลายเป็นว่าร่างของเธอหล่นลงพื้นเสียงดังตุ๊บ
“โอ๊ย เพ่ยเพ่ย ยัยบ้า ไม่ตื่นแค่นี้ถึงกับถีบฉันตกเตียงเลยเหรอ!”
ซุยหลันซีลูบบั้นท้ายตนเองป้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่หวังจะจัดการเพื่อนสาวคนสนิทที่แกล้งกันได้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะสภาพแวดล้อมที่ซุยหลันซีเห็นอยู่เต็มสองตาตอนนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งเก่าและทรุดโทรม ที่สำคัญคือมีเสียงดังจอแจเต็มไปหมด ซุยหลันซีเหลียวมองไปรอบๆ ก็ยิ่งตกตะลึงตาค้าง เพราะห่างออกไปไม่เกินห้าสิบเมตร เธอเห็นผู้คนกำลังหลั่งไหลไปขึ้นรถไฟขบวนหนึ่ง
“รถไฟ สถานีรถไฟเหรอ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”
ซุยหลันซีพึมพำกับตัวเองด้วยความงงงวย กำลังคิดว่าฝันไปอยู่หรือเปล่า ซุยหลันซีหยิกเนื้อที่ขาตัวเอง
“ซี๊ด...” ก็เจ็บนี่นา ไม่ได้ฝันไปเสียหน่อย
“คุณหนู เราต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ” เสียงของชายคนเดิมเอ่ยเตือนขึ้นอีกครั้ง ช่วยให้ซุยหลันซีรู้สึกตัวหลุดออกจากภวังค์ ถึงแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้ก็เอ่ยถามออกไป
“นี่คุณ ไปไหน ฉันต้องไปไหน”
“คุณหนู ลืมไปแล้วหรือครับ พวกเราต้องเดินทางไปกว่างโจวกัน ตอนนี้รถไฟมาแล้ว ถึงเวลาต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ”
ชายหนุ่มบอกพลางลุกขึ้นสำรวจดูกระเป๋าของตนเองและของภรรยา เขาหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นด้วยสองมือ พลางปรายตามองมายังซุยหลันซีที่ทำสีหน้างงงวยอยู่บนพื้น
“ไปเถอะเราต้องเดินทางกันอีกสองวัน”
“เอ่อ...” ซุยหลันซีตกใจลุกพรวดขึ้นยืน ก้มลงจัดเสื้อผ้าด้วยความเคยชิน ขณะที่ใช้มือจัดเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ถึงกับอึ้งเป็นครั้งที่สองของวัน เพราะเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่นั้น มันช่างล้าสมัย ที่สำคัญเธอสวมกระโปรงกับรองเท้าคัชชูสีดำมีสายรัดเหมือนกับรองเท้านักเรียนอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันนี่นะสวมรองเท้าคัทชู กับกระโปรง” ซุยหลันซีเปรยกับตนเองเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายคนนั้นกำลังก้าวขึ้นรถไฟ
ซุยหลันซีกลัวจะหลงกับผู้ชายคนนั้น คนที่เรียกเธอ คล้ายกับรู้จักกัน ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อชายหนุ่มคนนี้ไปก่อน แล้วปัดทุกความสงสัยทิ้งไป
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นกระเป๋าถือวางอยู่บนม้านั่งก็คิดว่าน่าจะเป็นกระเป๋าของตนเอง จึงรีบคว้ากระเป๋าถือขึ้นมาแล้วเดินจนเกือบจะวิ่งเพื่อตามชายตรงหน้าให้ทัน
“เดี๋ยวนะขึ้นรถไฟก็ต้องมีตั๋ว แล้วฉันมีตั๋วหรือเปล่า?”
ซุยหลันซีระหว่างเดินตามชายคนนั้นก็นึกเอะใจขึ้นมา จึงลองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงก็เจอกับกระดาษแข็งสีขาวใบหนึ่ง เมื่อหยิบออกมาดูก็ปรากฏว่าเป็นตั๋วรถไฟ ในนั้นระบุว่า
ต้นทางคือปักกิ่ง ปลายทางคือกว่างโจว
วันที่บนตั๋วระบุว่า วันที่ 10 เมษายน 1985
นอกจากนี้ก็ยังมีหมายเลขรถไฟ ประเภทที่นั่งและราคาตั๋ว
ข้อมูลทุกอย่างซุยหลันซีอ่านแค่เพียงผ่านตา แต่มาสะดุดแทบหัวคะมำเมื่อเห็นวันที่บนตั๋ว
“หนึ่ง เก้า แปด ห้า ตายแน่ฉัน ฉันกำลังฝันไปแน่ๆ ตื่นสิ ตื่น” ซุยหลันซีหยุดเดินแล้วยกมือตบหน้าตนเองไปสองสามที ทำให้ผู้โดยสารที่เดินตามหลังมาถึงกับอารมณ์เสีย
“นี่ คุณ หน้าตาก็ดี ไม่น่าเสียสติ ถ้าไม่ไปก็ขยับให้คนอื่นเดินสิ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินตามหลังซุยหลันซีมาตั้งแต่หัวขบวนพูดขึ้นมาเสียงดัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ คนอื่นๆ ที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังต่างก็ยื่นหน้าเบี่ยงตัวพากันมองมาที่เธอเป็นตาเดียว
“อะ...เอ่อ ขอโทษค่ะ” ซุยหลันซีได้ยินดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าออกสองสามทีก่อนจะหันไปขอโทษคนข้างหลังและเดินตามหาตู้รถไฟที่ปรากฏบนตั๋ว ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นตู้นอนส่วนตัวสองที่นั่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเธอก็มาถึงตู้ขบวนรถไฟของเธอ พอมาถึงก็พบว่าชายคนที่เธอไล่ตามมานั่งอยู่ที่นั่น
“อ้าว คุณนั่งตรงนี้เหรอ” ซุยหลันซีเอ่ยถามพลางนั่งลงแล้ววางกระเป๋าถือไว้ข้างตัว
“คุณหนู เราเดินทางด้วยกัน ที่นั่งก็ต้องด้วยกันอยู่แล้ว”
“หา? ฉันว่าจะถามคุณหลายครั้งแล้ว คุณรู้จักฉันด้วยเหรอ?” ซุยหลันซีจ้องไปยังใบหน้าคมคร้าม พลางพิจารณาชายตรงหน้าอย่างละเอียด เขาเป็นคนที่สูงมาก น่าจะสูงเกือบๆหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้าคมคาย ผิวขาวคล้ายกับดาราจีนที่เธอชอบ ใบหน้าเย็นชา เหมือนจะมีอยู่หน้าเดียว เธอมองเขาเงียบๆ
หล่อไม่เบา เสียแต่ขี้เก๊กไปหน่อย
“คุณหนู ผมไม่ตลกด้วยนะครับ”
เติ้งเว่ยหมิงใช้หางตามองเธอกลับ คุณหนูที่เมื่อก่อนเอาแต่กลั่นแกล้งและรังแกเขา ด้วยถือว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กในบ้าน เป็นลูกไล่ของเธอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงไม่มีวันไหนที่จะไม่ถูกเธอกลั่นแกล้ง
แต่สายตาชื่นชมนั่นมันคืออะไร? ร้อยวันพันปีคุณหนูผู้เย่อหยิ่งและสูงส่งไม่เคยมีสายตาเช่นนี้มองเขาสักครั้ง เติ้งเว่ยหมิงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ
“ฉันก็ไม่ตลก เห็นเรียกฉันว่าคุณหนูๆ ตั้งหลายครั้งแล้ว ฉันแค่สงสัยก็เลยถามดู” น้ำเสียงจริงจังของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าล้อเล่น ทำให้เติ้งเว่ยหมิงถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
คุณหนูผู้เอาแต่ใจคนเก่าหายไปไหน? หรือว่าหลังจากที่ต้องแต่งงานกับเขา เธอก็เสียใจจนเสียสติไปแล้ว?
“คุณหนูจำไม่ได้เหรอครับว่าเราแต่งงานกันแล้ว และกำลังจะเดินทางไปกว่างโจว” เสียงทุ้มๆ ของเขาตอบเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ซุยหลันซีถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่ชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นายว่าไงนะ นะ...นายกับฉัน แต่งงานกันแล้ว ไม่จริง! นายโกหกใช่ไหม มันจะเป็นไปได้ยังไง?” ซุยหลันซีตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเป็นรอบที่สาม ความจริงที่ออกจากปากคนที่เธอคิดว่าน่าจะบอกเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่กลับไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นแบบนี้
“ผมรู้ว่าคุณหนูเกลียดผม ไม่ชอบขี้หน้าผม แต่จะให้ทำยังไงได้ ตอนนี้คุณหนูไม่ใช่คุณหนูผู้สูงส่งลูกสาวท่านนายพลอีกต่อไปแล้ว แต่คุณหนูคือภรรยาของผม คนงานในบ้านที่ต่ำต้อยคนนี้”
เติ้งเว่ยหมิงตอบคำถามที่เดียวจบทุกคำ ซุยหลันซีถึงกับไปไม่เป็น เธอกำลังช็อกกับข้อมูลที่ได้รับ
เติ้งเว่ยหมิงเห็นแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขากลับแปลกใจว่าเมื่อเห็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายนั่งทำหน้างงงวย แทนที่จะรู้สึกดีใจ มีความสุขที่สามารถเอาคืนเธอได้ แต่ลึกๆ ในใจกลับเกิดความสงสารและเห็นใจขึ้นมา
เติ้งเว่ยหมิงสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเอ่ยออกมา
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ผมจะไปตู้อาหาร คุณหนูจะไปด้วยกันไหม หรือจะให้ผมซื้อกลับมาให้”
“ฉันยังไม่หิว นายไปเถอะ” ซุยหลันซีเอ่ยตอบด้วยอาการเหม่อลอย พลางล้มตัวลงนอนหันหลังให้ เหมือนกับไม่ต้องการคุยด้วยอีกต่อไป
เติ้งเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็ไม่เซ้าซี้ เขาเดินออกจากตู้นอนไปยังตู้อาหาร