บรรยากาศในห้องค่อยๆ เงียบลง เมื่อหลิวอันอันเอนตัวลงบนเตียง หลิงเมิ่งเหยาก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียง ตาของเธอสะดุดกับลิ้นชักไม้ที่ดูเหมือนไม่ได้เปิดมานาน เธอค่อยๆ เปิดลิ้นชักนั้นออก ภายในนั้นมีสิ่งของหลายอย่างวางอยู่กระจัดกระจาย รวมถึงสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ปกทำจากกระดาษแข็งที่เริ่มเปื่อยตามวันเวลา
หลิงเมิ่งเหยาหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา ลายมือหวัดๆ ที่เขียนด้วยหมึกสีจางบอกเล่าชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและความหวัง เธออ่านเจอข้อความที่ทำให้รู้สึกสะดุดใจ
“วันนี้ฉันเหนื่อยมาก แม่สามีบอกให้ฉันซักผ้ากลางแดดจ้า แม้จะปวดหลังจนแทบยืนไม่ไหว แต่ฉันต้องทำเพราะต้องการให้อันอันมีชีวิตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า”
หลิงเมิ่งเหยาน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว เธอพลิกหน้าถัดไป ข้อความในสมุดสะท้อนถึงความเจ็บปวดของหลิงเมิ่งเหยาผู้เป็นเจ้าของร่างเดิม และความตั้งใจที่เธอมีต่อครอบครัว
“แม่ค่ะ แม่อ่านอะไรอยู่เหรอคะ?” เสียงแผ่วเบาของหลิวอันอันดังขึ้น
“แม่เจอสมุดที่น่าสนใจเล่มหนึ่งจ้ะ แต่หนูต้องนอนพักก่อนนะ อันอันจะได้มีแรงช่วยแม่พรุ่งนี้” หลิงเมิ่งเหยาเงยหน้ามองลูกสาวพร้อมยิ้มบางส่งไปให้
หลิวอันอันพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง หลิงเมิ่งเหยาวางสมุดบันทึกกลับเข้าไปในลิ้นชัก แต่ในใจเธอรู้ว่าเรื่องราวในสมุดนี้กำลังบอกอะไรบางอย่างที่สำคัญ หลิงเมิ่งเหยามองลูกสาวที่หลับสนิทพร้อมตั้งปณิธานในใจ เธอจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลิวอันอันมีชีวิตที่ดีกว่านี้
ช่วงบ่ายในบ้านตระกูลหลิวเงียบสงัด เสียงฝีเท้าของหัวเฉินหรูดังขึ้นในห้องโถงกลาง ขณะที่เธอกำลังเตรียมออกจากบ้านหลังมื้ออาหารกลางวัน
“ฉันจะไปบ้านเพื่อนสักพัก พวกแกอย่าทำอะไรให้เลอะเทอะล่ะ” หัวเฉินหรูพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ก่อนจะเดินออกจากบ้าน เสียงฝีเท้าของเธอค่อยๆ เลือนหาย พร้อมกับความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วบ้าน
เมื่อแน่ใจว่าแม่สามีออกไปแล้ว หลิงเมิ่งเหยาจึงพาหลิวอันอันออกมาที่สวนหลังบ้าน สถานที่ที่ทั้งคู่ไม่ค่อยได้มาเพราะแม่สามีสั่งห้ามไม่ให้ปรับปรุง เพราะมันเสียเงิน เสียเวลา แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรในความคิดของหัวเฉินหรู แต่สำหรับเธอ ไม่สนใจคำสั่งนี้ของแม่สามีอีกต่อไป
สวนที่เคยรุ่งเรืองบัดนี้เหลือเพียงร่องรอยของอดีต วัชพืชและเศษกิ่งไม้แห้งเกลื่อนกลาด เป็นประจักษ์พยานแห่งกาลเวลาที่ผ่านเลย หลิวอันอันเดินตามแม่มาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตากลมโตของเด็กหญิงกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ
“แม่ ตรงนี้เคยมีอะไรอยู่เหรอคะ?” หลิวอันอันชี้ไปยังแปลงดอกไม้ที่ทรุดโทรม ใบหน้าของเธอแสดงความสงสัย
หลิงเมิ่งเหยามองตาม นิ้วมือของเธอสัมผัสกับดินที่แห้งและแตกระแหง เธอรู้จากความทรงจำของหลิงเมิ่งเหยาว่าแปลงนี้เคยเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศที่ปลูกโดยสามีของเธอ
“ที่นี่เคยมีดอกไม้ที่พ่อของหนูปลูกไว้นะอันอัน ดอกเบญจมาศสีเหลืองเต็มแปลงเลย” หลิงเมิ่งเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
หลิวอันอันนั่งลงข้างๆ แปลงดอกไม้ ใช้มือเล็กๆ แตะพื้นดิน “แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่มีแล้วล่ะคะ?”
คำถามนั้นทำให้หลิงเมิ่งเหยานิ่งไปชั่วขณะ เธอสูดลมหายใจลึกก่อนตอบ “เพราะไม่มีใครดูแลมันน่ะจ้ะ แต่ถ้าเราสองคนช่วยกัน แม่ว่าเราน่าจะทำให้ที่นี่กลับมาสวยงามอีกครั้งได้นะ”
“หนูอยากช่วยค่ะ! หนูจะช่วยปลูกดอกไม้เหมือนที่พ่อเคยทำ!” ดวงตาของหลิวอันอันเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของแม่
“งั้นเริ่มจากการทำความสะอาดสวนนี้กันก่อนดีไหม?” หลิงเมิ่งเหยายิ้ม รู้สึกเริ่มมีแรงใจ
ทั้งสองคนเริ่มกวาดเศษใบไม้และเก็บก้อนหินที่กีดขวาง เสียงหัวเราะของหลิวอันอันดังแทรกความเงียบในสวนหลังบ้าน
ในระหว่างเก็บกวาด เธอพบกระถางดินเผาหมกอยู่ใต้พงหญ้า ภายในกระถางมีเศษดินที่ยังหลงเหลือ และไม้แกะสลักเล็กๆ ที่ดูเหมือนเป็นเครื่องรางสำหรับการปลูกต้นไม้ เธอหยิบมันขึ้นมาพลิกดู พบตัวอักษรสีจางเขียนว่า “ความหวัง”
“คงเป็นของที่พ่อของหนูเคยใช้ตอนปลูกดอกไม้” หลิงเมิ่งเหยายื่นเครื่องรางให้หลิวอันอัน เด็กหญิงจับมันไว้แน่น ราวกับต้องการเก็บรักษาความทรงจำของพ่อที่เธอแทบจะลืมเลือน
บ่ายวันนั้น ด้วยความมุ่งมั่นและพลังความรักของสองแม่ลูก ทำให้สวนหลังบ้านเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ในช่วงเย็น หลิงเมิ่งเหยาหลังจากทำความสะอาดสวนและพักผ่อน เธอเลือกทำอาหารง่ายๆ อย่างผักผักสามสหายกับน้ำแกงไก่อีกหนึ่งอย่าง เพราะรู้ว่าคนบ้านหลิวไม่ชอบรอนาน
ไม่นาน หลิวอี้หานและจางจื่อหลานก็กลับมาจากที่ทำงาน จางจื่อหลานเดินเข้ามาในห้องโถงกลางด้วยชุดทำงานสีสดใสและรองเท้าส้นสูงที่ดูหรูหราเกินความจำเป็น หลิงเมิ่งเหยาได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของหลิวอี้หานขณะเดินตามหลังภรรยา
หลังจากเตรียมอาหารเย็นและยกอาหารไปวางไว้บนโต๊ะเสร็จแล้ว หลิงเมิ่งเหยาและหลิวอันอันก็กลับเข้ามาในครัวเพื่อรับประทานมื้อเย็นแยกต่างหากตามปกติ สองแม่ลูกนั่งอยู่ที่มุมห้องเล็กๆ กินมื้อเย็นอย่างเงียบ ๆ เสียงพูดคุยจากโต๊ะอาหารในโถงกลางดังแว่วเข้ามา
“จื่อหลาน วันนี้เธอซื้อชุดใหม่อีกหรือเปล่า?” เสียงของหลิวอี้หานแฝงความเหนื่อยหน่าย เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารและมองภรรยาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
“ก็ต้องซื้อสิคะ ฉันต้องดูดีเวลาคุยกับลูกค้า จะได้ปิดการขายได้ง่ายๆ ไง” จางจื่อหลานหัวเราะเบาๆ ก่อนปัดผมไปด้านหลัง
“แต่เงินเดือนของเรามันไม่ได้เพิ่มขึ้น ฉันต้องคอยหมุนเงินอยู่ตลอด แถมยังต้องจ่ายค่าซ่อมบ้านเก่าๆ หลังนี้อีก เธอไม่คิดจะช่วยฉันเลยหรือ?” หลิวอี้หานพ่นลมหายใจ
“ฉันก็ทำงานนะ แต่ถ้าพี่อยากให้ช่วยเรื่องเงิน ฉันว่าเราน่าจะเริ่มเก็บค่าเช่าเรือนตะวันตกของสองแม่ลูกนี่ จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบคนไร้ประโยชน์” เธอพูดพร้อมกับปรายตามองเข้าไปในครัว
“อือ เป็นความคิดที่ดีทีเดียว” เสียงของแม่สามีดังขึ้นจากทางเข้า หัวเฉินหรูเดินเข้ามาพร้อมสายตาชอบใจในคำแนะนำนั่น ก่อนนั่งลงตรงหัวโต๊ะ
“แม่” หลิวอี้หานอุทาน แต่ไม่ทันพูดจบหัวเฉินหรูก็ยกมือขึ้นห้าม
“ถ้าเราต้องเสียเงินซ่อมบ้านทุกอย่าง คนที่อยู่ในบ้านก็ควรช่วยกัน ฉันจะเริ่มเก็บค่าเช่าจากหลิงเมิ่งเหยาในเดือนหน้า” เธอหันมองลูกชายและลูกสะใภ้ด้วยสายตาแน่วแน่
คำพูดเหล่านั้นลอดเข้าไปในครัว หลิงเมิ่งเหยาที่กำลังตักข้าวต้มชะงักทันที หญิงสาวหันออกไปมองทางห้องโถงของบ้าน สายตาเย็นชาอย่างห้ามไม่อยู่ หลิวอันอันก็ได้ยินเหมือนกัน เด็กน้อยเงยหน้ามองแม่ แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา
ส่วนในห้องโถงกลางของบ้าน จางจื่อหลานยกยิ้มพอใจ ก่อนหันไปคุยกับหลิวอี้หานในเรื่องอื่น ส่วนหัวเฉินหรูยังคงนั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคิดมากมายในหัว
หลิงเมิ่งเหยาที่นั่งในครัวรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจนแทบจะอับจนหนทาง เธอกอดลูกสาวแน่นขึ้น ในใจคิดเพียงว่าจะต้องหาทางออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้
หลังจากจบมื้อเย็นที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด หลิงเมิ่งเหยาและหลิวอันอันกลับมาที่ห้องนอนของพวกเธอ หลิงเมิ่งเหยานั่งลงข้างเตียง ดวงตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด คำพูดของแม่สามีเรื่องค่าเช่ายังคงวนเวียนอยู่ในหัว
‘จะเอาเงินจากที่ไหน…’ เธอคิดในใจ ขณะที่มองลูกสาวที่นั่งกอดตุ๊กตาผ้าแน่น
“แม่” หลิวอันอันพูดด้วยน้ำเสียงเบา “เราต้องจ่ายเงินให้ย่าจริงๆ เหรอคะ?”
คำถามของลูกสาวทำให้หลิงเมิ่งเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลูบหัวลูกอย่างอ่อนโยน “อันอัน ลูกไม่ต้องห่วงนะ แม่จะหาทางออกให้ได้ เดี๋ยวแม่จะลองค้นดูว่าเราอาจจะมีเงินซ่อนอยู่ก็ได้”
หลิงเมิ่งเหยาว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปค้นในตู้เสื้อผ้าไม้เก่า เธอพบหีบไม้ใบเล็กที่ถูกซ่อนไว้ด้านในสุดของตู้ หีบนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เปิดมานาน
เมื่อเปิดออกก็พบของส่วนตัวบางอย่าง มีผ้าเช็ดหน้าที่ถูกพับไว้และจดหมายเก่าๆ ในซองกระดาษสีน้ำตาล หลิงเมิ่งเหยาหยิบจดหมายออกมาและเปิดดู ลายมือที่เขียนด้วยหมึกจางๆ บอกให้รู้ว่านี่คือจดหมายจากสามี
“ถึงเหยาเหยาและอันอันของพ่อ…”
เนื้อหาในจดหมายสื่อถึงความรู้สึกรักและห่วงใยอย่างชัดเจน สามีของเธอเล่าถึงความฝันที่จะสร้างชีวิตที่ดีให้ครอบครัว และฝากให้เธอเข้มแข็งเพื่อดูแลลูกสาว
“ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่ หวังว่าเหยาเหยาจะมีความเข้มแข็งเหมือนดอกไม้ที่เราปลูก และช่วยอันอันให้เติบโตในโลกที่ดีกว่า”
ขณะอ่านจดหมาย เธอรู้สึกถึงพลังที่ส่งผ่านมาจากคำพูดเหล่านั้น
“แม่ อ่านอะไรอยู่เหรอคะ?” หลิวอันอันถามพร้อมขยับเข้ามาใกล้
หลิงเมิ่งเหยาพับจดหมายและยิ้มบางๆ “พ่อของหนูเขียนถึงเรา เขาบอกให้แม่กับหนูเข้มแข็ง และทำให้ชีวิตนี้ให้ดีขึ้น”
“แม่คะ พ่ออยากให้เราทำยังไงเหรอ?” หลิวอันอันมองหน้าผู้เป็นแม่ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสงสัย
“พ่ออยากให้เราพยายามและอดทนจ้ะ เพื่อที่เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า” หลิงเมิ่งเหยาลูบหัวลูกสาวเบาๆ
หลิวอันอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา “หนูจะเป็นเด็กดีค่ะ แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
หลิงเมิ่งเหยากอดลูกสาวแน่น ความรู้สึกอบอุ่นและมุ่งมั่นกลับคืนมา เธอตั้งใจว่าต้องหาทางออกจากความกดดันนี้ เพื่ออนาคตของตนเองและหลิวอันอันให้ได้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?