แม้โจวหยางเทียนจะโมโหมากเพียงใดที่แผนการของตนล้มเหลว แต่กระนั้น เขาก็ยังประคองร่างของซูเยี่ยนหลิงมาส่งยังกระโจมที่พักของอีกฝ่ายราวกับเป็นห่วงนางจากใจจริง ทว่าความเป็นจริงนั้นเขากลับก่นด่านางในใจว่าไม่ได้เรื่อง แค่มอบถุงหอมถุงเดียวให้กับลู่ฟางหนิงก็ทำไม่สำเร็จ เช่นนี้เขาจะใช้ประโยชน์อันใดจากนางได้อีก
ทว่าซูเยี่ยนหลิงที่ถูกรุ่ยอ๋องประคองมายังกระโจมที่พักกลับคิดเข้าข้างตนเองว่าเขามีความรู้สึกที่พิเศษมอบให้กับนาง มิเช่นนั้น เขาคงไม่ประคองนางมาส่งถึงที่พักเช่นนี้
ทางด้านของลู่จางหมิ่นกับลู่เหว่ยหรงที่ล่ากวางมาได้หลายตัว เมื่อได้ยินว่าสหายของน้องสาวเกิดอันตรายก็รีบมาดูอาการของนางด้วยความห่วงใยทันที เพราะพวกเขาก็เห็นซูเยี่ยนหลิงเป็นน้องสาวคนหนึ่งเช่นกัน แม้พวกเขาอยากจะหาสาเหตุการคลุ้มคลั่งของม้า ทว่าลู่ฟางหนิงกลับเอ่ยห้ามเอาไว้ บอกว่าม้าของซูเยี่ยนหลิงอาจจะเพียงแค่ตกใจเท่านั้น เพราะนางไม่อยากให้ซูเยี่ยนหลิงรู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนการของโจวหยางเทียน
นางอยากให้ชีวิตของซูเยี่ยนหลิงและครอบครัวพังพินาศเหมือนกับนางในชาติที่แล้วก่อน ตอนนั้นบอกความจริงกับอีกฝ่ายก็นับว่ายังไม่สายเกินไป
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าว่าม้าของเยี่ยนหลิงคงไม่ได้มีอะไรหรอก มันอาจจะแค่ตื่นตกใจกลัวก็เท่านั้น อีกอย่างท่านอ๋องก็ช่วยนางจนปลอดภัยแล้ว พวกท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”
“ข้าเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกันกับนาง พวกเจ้าไม่ต้องสืบหาสาเหตุให้มากความหรอก มิสู้เอาเวลาที่เหลือเข้าป่าล่าสัตว์มาให้ได้เยอะๆ จะไม่ดีกว่าหรือ” โจวหยางเทียนเองก็เห็นด้วยกับลู่ฟางหนิง เพราะหากมีการตรวจสอบขึ้นมาจริงๆ ซูเยี่ยนหลิงต้องรู้แน่ว่าเป็นฝีมือของเขา และนางอาจจะรู้ด้วยว่าเขากำลังหลอกใช้นางอยู่ จากนี้หากเขาต้องการใช้ประโยชน์จากนางเพื่อเข้าหาลู่ฟางหนิงอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
ลู่จางหมิ่นและลู่เหว่ยหรงเมื่อได้ยินน้องสาวกับรุ่ยอ๋องเอ่ยเช่นนั้น เขาจึงละทิ้งความตั้งใจที่จะหาสาเหตุอาการคลุ้มคลั่งของม้า อย่างไรคนก็ปลอดภัยแล้ว สู้เอาเวลาที่เหลือเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อชิงเงินรางวัลดีกว่า
ส่วนทางด้านของซูเยี่ยนหลิงก็คิดว่าที่ม้าของนางวิ่งเตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเพราะลู่ฟางหนิงทำให้มันตกใจ ที่สำคัญนางเห็นตอนที่ลู่ฟางหนิงตบหลังม้าพอดี แต่กระนั้นนางก็ไม่คิดจะโทษลู่ฟางหนิง เพราะหากไม่ได้อีกฝ่ายช่วยทำให้ม้าของนางคลุ้มคลั่ง นางกับรุ่ยอ๋องก็คงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้
เรื่องราวในครั้งนี้ซูเยี่ยนหลิงจึงไม่ติดใจเอาความ
หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสามคนจากไปแล้ว ลู่ฟางหนิงกับซูเยี่ยนหลิงจึงอยู่ด้วยกันในกระโจมที่พักตามลำพัง แม้ลู่ฟางหนิงไม่อยากจะเชื่อว่าสตรีตรงหน้าจะกล้าแทงข้างหลังของนาง แต่ในเมื่อนางได้ผ่านความตายมาแล้วรอบหนึ่ง นางจำต้องเชื่อในสิ่งที่นางรับรู้มา
ลู่ฟางหนิงหันไปทางซูเยี่ยนหลิง ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าสงสัยเพราะต้องการหลอกถามอะไรบางอย่างจากอีกฝ่าย นางอยากรู้ยิ่งนักว่าซูเยี่ยนหลิงกับโจวหยางเทียนไปรู้จักกันตอนไหน และพวกมันวางแผนหลอกใช้นางตั้งแต่เมื่อใด
“เยี่ยนหลิง เจ้ารู้จักกับรุ่ยอ๋องด้วยหรือ เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงไม่เคยเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังเลย”
แน่นอนว่าในชาติก่อน ลู่ฟางหนิงจดจำได้เป็นอย่างดีว่าซูเยี่ยนหลิงไม่เคยเอ่ยเรื่องของโจวหยางเทียนให้นางฟังเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว นางถึงไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาทั้งสองคนไปรู้จักกันและรวมหัวกันหลอกใช้นางตอนไหน แต่ในตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซูเยี่ยนหลิงจะต้องยอมบอกเรื่องนั้นกับนางอย่างแน่นอน เพราะอีกฝ่ายคงอยากจะโอ้อวดนางเต็มทนแล้วกระมัง
ซูเยี่ยนหลิงได้ยินคำถามของลู่ฟางหนิง นางก็พยักหน้าตอบรับด้วยท่าทางเขินอาย ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เอ่ยเรื่องของรุ่ยอ๋องให้ลู่ฟางหนิงฟัง เพราะนางกลัวว่าลู่ฟางหนิงจะเกิดความสนใจในตัวของรุ่ยอ๋องเช่นเดียวกัน นางถึงไม่เคยเอ่ยเรื่องของรุ่ยอ๋องให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แต่ในยามนี้นางไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้ว เพราะดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะสนใจนางมากกว่าลู่ฟางหนิง
“ข้ากับรุ่ยอ๋อง พวกเรารู้จักกันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน…”
ยามที่เอ่ยเรื่องนี้ออกมา ดวงหน้าของซูเยี่ยนหลิงก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส เมื่อก่อนยามที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ ลู่ฟางหนิงก็คิดว่าเป็นรอยยิ้มที่จริงใจจากสหายคนหนึ่ง แต่เมื่อได้ผ่านอะไรมามากมาย นางถึงได้รู้ว่ารอยยิ้มนี้เป็นเพียงแค่ความจอมปลอมที่ซูเยี่ยนหลิงใช้หลอกนางมาโดยตลอดเท่านั้น
“ตอนนั้นรถม้าของข้าเกิดพังระหว่างทาง ทว่าโชคดีที่ได้ท่านอ๋องมาช่วยเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้ที่ม้าของข้าเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา จะเป็นเขาที่เข้ามาช่วยเหลืออีก หรือว่าจะเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตที่ทำให้ข้ากับท่านอ๋องได้มาพบกันอีกครั้ง”
ยามที่ได้ยินน้ำเสียงที่คล้ายจะเยินยอโจวหยางเทียนอยู่ในที ลู่ฟางหนิงก็รับรู้ได้ว่าซูเยี่ยนหลิงในยามนี้จะต้องมีใจให้กับเขาแล้วแน่ๆ ชาติก่อนมิใช่เพียงแค่นางที่ตกหลุมรักโจวหยางเทียนเพราะความอ่อนโยนของเขา แต่ซูเยี่ยนหลิงก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน และบุรุษชั่วอย่างเขาก็หลอกใช้ความรักจากนางทั้งสองคน เพียงแต่ซูเยี่ยนหลิงกลับหักหลังนาง ทั้งๆ ที่รู้ความจริงว่าเขาหลอกใช้นาง ชาตินี้ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น นางจะเอาคืนพวกมันทั้งสองให้สาสมกับสิ่งที่ทำไว้กับนางและครอบครัวในชาติก่อน
ยามที่นึกถึงเรื่องราวในอดีตของตนเองทีไร ไฟแค้นในใจของลู่ฟางหนิงก็ปะทุออกมาจนยากจะควบคุม และหากว่านางยังอยู่ตรงนี้ต่อ นางอาจจะพลั้งมือฆ่าซูเยี่ยนหลิงไปแล้วก็ได้ ดังนั้นนางจึงรีบออกจากกระโจมที่พักของซูเยี่ยนหลิง โดยให้เหตุผลว่านางเหนื่อยแล้วอยากกลับไปพักผ่อน ทว่าความเป็นจริงนางกลับเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เพื่อให้จิตใจที่รุ่มร้อนของตนได้สงบลง
ทว่าเดินไปได้เพียงไม่นาน นางกลับพบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง แม้ดวงหน้าของเขาจะนิ่งขรึมราวกับก้อนน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลา ทว่ากลับเป็นดวงหน้าที่สตรีหลายนางต่างใฝ่ฝันหา และอยากครอบครองหัวใจของเขามากที่สุด
เมื่อลู่ฟางหนิงได้พบกับโจวหยางอวี้อีกครั้ง ความรู้สึกผิดในใจก็เริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด ใช่แล้ว… ชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่ยอมปลิดชีพตนเองทิ้ง เพียงเพราะไม่อยากให้มือของนางแปดเปื้อนเลือดของผู้คนเพื่อโจวหยางเทียน
อีกทั้งก่อนที่จะใช้มีดสั้นปลิดชีพตนเอง โจวหยางอวี้ยังทำเรื่องที่ทำให้นางต้องตกตะลึงนั่นคือการสารภาพรักกับนาง แม้จะไม่รู้ว่าเขามีใจให้นางตั้งแต่เมื่อใด ทว่าเมื่อได้เผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง นางจึงไม่กล้าสู้หน้าเขา เพราะภายในใจของนางรู้สึกผิดเหลือเกิน
และเมื่อความรู้สึกผิดภายในใจเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ลู่ฟางหนิงจึงตัดสินใจหันหลังเดินจากไปเสียดื้อๆ แม้การกระทำของนางในยามนี้จะเป็นการกระทำที่เสียมารยาทกับองค์รัชทายาท และอาจถูกลงโทษได้ แต่นางก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้อีกครั้งจริงๆ ขอเวลาให้นางมากกว่านี้อีกสักหน่อยเถิด
เมื่อพบว่าลู่ฟางหนิงทำราวกับหนีหน้าตน โจวหยางอวี้ก็คิดที่จะเอ่ยรั้งนางไว้ หากแต่ยามนั้นกลับมีสตรีกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาขัดขวางไว้เสียก่อน โจวหยางอวี้จึงได้แต่มองตามแผ่นหลังของลู่ฟางหนิงไปจนลับสายตา โดยไม่มีโอกาสได้สนทนากับนางอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เลย