เมื่อแขกจากไปแล้ว หลี่เซียนเมิ่งจึงได้สติ นางรีบขยับตัวไปยังมุมห้อง เปิดประตูลับที่ซ่อนอยู่ หลังจากนั้น ร่างบอบบางก็ลับหายไปในความมืดของบันไดหินที่ทอดลงสู่ชั้นใต้ดินลึก
ภายในห้องใต้ดินอับทึบ กลิ่นชื้นของผนังหินแทรกซึมอยู่ทุกอณู รอบกายมีเพียงแสงสลัวจากคบไฟไม่กี่ดวง บนเก้าอี้ไม้หยาบ ชายฉกรรจ์สามคนที่รูปร่างกำยำกำลังนั่งเงียบ พวกเขาคือพี่น้องสกุลเฟยที่ได้ชื่อว่าเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจแห่งยุค
เฟยหง พี่ใหญ่ของกลุ่มเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหลี่เซียนเมิ่งก้าวเข้ามา เสียงของเขาทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ“รอบนี้จะให้พวกข้าสังหารใครอีกเล่า?”
หลี่เซียนเมิ่งสูดหายใจลึก มือบางกำเข้าหากันแน่น นางส่ายหน้าแล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “ไม่ใช่…ครั้งนี้ไม่ได้มีคนจ้างงานพวกเจ้าหรอก”
เฟยเยว่ พี่รองของกลุ่มเลิกคิ้วขึ้น พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้าง “หากไม่มีงาน เถ้าแก่หลี่จะมาหาพวกข้าทำไมกัน?”
ทั้งสามพี่น้องมองไปยังหลี่เซียนเมิ่งเป็นตาเดียว เพราะปกติแล้วนางจะไม่ติดต่อพวกเขา หากไม่มีงานฆ่าที่ต้องจัดการ
“มีคนคนหนึ่ง…ต้องการพบพวกเจ้า” หลี่เซียนเมิ่งบอกเสียงแผ่ว “เขาบอกว่าสามารถช่วยเฟยหราน หลบหนีออกจากคุกใต้ดินของวังหลวงได้”
“ว่าอย่างไรนะ!”
เสียงตะโกนของพี่น้องสกุลเฟยดังก้องห้องใต้ดิน เฟยหลิน พี่สามของกลุ่มผุดลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แววตาแข็งกร้าวฉายชัดถึงความหวังที่ปะทุขึ้นมา
เฟยหราน น้องสาวคนสุดท้องและเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม เคยถูกจับตัวไปเมื่อนานมาแล้ว ระหว่างที่ทางการกวาดล้างเหล่านักฆ่าผู้ละเมิดกฏหมาย นางยอมเสียสละชีวิตตนเองเพื่อเปิดทางให้พี่ชายทั้งสามหลบหนีไปได้ แม้เวลาจะล่วงเลยมา พวกเขาก็ไม่เคยลืมความสูญเสียครั้งนั้น
เฟยหลินพุ่งไปที่ประตูทันที “ข้าจะไปหาคนผู้นั้น!”
“ช้าก่อน!” หลี่เซียนเมิ่งเอื้อมมือคว้าแขนเขาเอาไว้ ดวงตาอ่อนล้าทอแววจริงจัง “เจ้าขึ้นไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเขากลับไปแล้ว อีกสามวันข้างหน้า เขาจะกลับมาพบพวกเจ้าอีกครั้ง จงเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”
คำพูดของนางทำให้ทั้งสามพี่น้องนิ่งไป เฟยหงมองหลี่เซียนเมิ่งอย่างครุ่นคิด ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ
*******
ลู่ฟางหนิงกลับมาถึงจวนเกือบปลายยามโฉ่วแล้ว หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้กลับมาอยู่ในชุดสตรีเสร็จเรียบร้อย นางก็ขึ้นมานอนบนเตียงราวกับว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนั้นไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ยามนี้แผนการของนางสำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้ว หากนางสามารถดึงพี่น้องสกุลเฟยมาเป็นพวกได้ การแก้แค้นโจวหยางเทียนกับซูเยี่ยนหลิง และคอยคุ้มกันโจวหยางอวี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ทว่าก่อนที่นางจะดึงพวกเขามาเป็นพวกได้ นางต้องช่วยเฟยหรานหลบหนีออกจากคุกใต้ดินของวังหลวงเสียก่อน
ลู่ฟางหนิงจำได้ว่าในชาติก่อนเพราะนางเคยช่วยเหลือเฟยหรานออกมาจากคุกหลวง พี่น้องสกุลเฟยทั้งสี่คนจึงจงรักภักดีและคอยรับใช้อยู่ข้างกายนาง พวกเขาเป็นนักฆ่าที่มีฝีมือ ไม่ว่าเป็นงานอะไรที่นางสั่ง พวกเขาล้วนทำสำเร็จไม่เคยผิดพลาดสักครั้งเดียว ดังนั้นอีกสามเดือนข้างหน้า นางจะให้พวกเขาช่วยเหลือโจวหยางอวี้ให้รอดพ้นจากการถูกลอบสังหาร
ไม่รู้ว่าลู่ฟางหนิงนอนหลับไปตอนไหน กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีนางก็ได้ยินเสียงของอิ๋นฉายและอิ๋นเซียงดังขึ้นที่ข้างเตียงนอนเสียแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”
ปกติลู่ฟางหนิงมักจะตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้นางกลับตื่นสายผิดปกติ อิ๋นฉายกับอิ๋นเซียงจึงกังวลกลัวว่านางจะไม่สบาย
“เช้าแล้วหรือ” ลู่ฟางหนิงงัวเงียตื่นขึ้นมาก็พบว่าสาวใช้ทั้งสองคนมองนางด้วยสายตาเป็นกังวลจึงเอ่ยถาม “พวกเจ้ามองข้าเช่นนี้มีอะไรหรือ?”
“คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ ให้พวกข้าไปต้มยามาให้หรือไม่” อิ๋นเซียงเป็นคนเอ่ยถาม ในขณะที่อิ๋นฉายถือชามใส่น้ำอุ่นเข้ามาให้ลู่ฟางหนิงล้างหน้าล้างตา
“ไม่ต้องหรอกข้ามิได้เป็นอะไร เมื่อคืนเพียงแค่นอนไม่หลับเท่านั้น วันนี้ข้าจึงตื่นสาย”
แม้ไม่อยากโกหก แต่ลู่ฟางหนิงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อิ๋นฉายกับอิ๋นเซียงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนอิ๋นฉายจะเอ่ยว่า “จริงด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้คุณหนูไปพบบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยเจ้าค่ะ”
อิ๋นฉายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเช้าตรู่ของวันนี้สาวใช้จากเรือนของลู่ฮูหยินมาบอกกับนางว่าหากคุณหนูรองตื่นแล้วให้ไปพบฮูหยินที่เรือน ลู่ฟางหนิงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบรับ หลังจากที่จัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว จึงตรงไปยังเรือนของมารดาทันที ส่วนเรื่องสำคัญที่มารดาต้องการคุยกับนางคงหนีไม่พ้นเรื่องที่ฮองเฮาทรงมีพระประสงค์ให้นางเข้าไปเป็นพระสหายร่วมเรียนขององค์หญิงสาม ‘โจวหว่านถิง’
ลู่ฟางหนิงรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าอย่างไรนางจะต้องได้เข้าไปอยู่ในวังหลวง ดังนั้นนางจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ช่วยเฟยหรานหลบหนีออกมา ขอเพียงนางตอบตกลง แผนการที่วางเอาไว้ย่อมสำเร็จอีกหนึ่งขั้น
“มาแล้วหรือหนิงหนิง นั่งก่อนสิ” ลู่ฮูหยินรีบประคองร่างของบุตรสาวให้นั่งลงบนเก้าอี้ทันที ลู่ฟางหนิงแย้มรอยยิ้มให้มารดาก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านแม่เรียกข้ามาพบมีเรื่องอะไรจะพูดคุยกับข้าหรือเจ้าคะ” แม้จะรู้อยู่แก่ใจ ทว่าลู่ฟางหนิงก็แสร้งถามมารดาเพื่อไม่ให้นางเกิดความสงสัยเท่านั้น
“ที่แม่เรียกเจ้ามาวันนี้เพราะแม่มีเรื่องสำคัญจะบอก”
“เรื่องสำคัญอะไรหรือเจ้าคะ?”
ลู่ฮูหยินเอื้อมไปกุมมือของบุตรสาวเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อีกสามวันข้างหน้า เจ้าจะต้องเข้าวังไปเป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนขององค์หญิงสาม”
“พระสหายร่วมชั้นเรียนหรือเจ้าคะ” ลู่ฟางหนิงแสร้งยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจ ลู่ฮูหยินเห็นเช่นนั้นรอยยิ้มบนดวงหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น มิใช่ใครที่ไหนอยากเข้าไปเป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนก็ได้ หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาคัดเลือกมาแล้ว
หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือ ในภายภาคหน้าหนึ่งในพระสหายร่วมชั้นเรียนอาจจะกลายเป็นชายารัชทายาท การคัดเลือกพระสหายเข้าไปร่วมเรียนกับองค์หญิงสามในครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ฮองเฮาต้องการคัดเลือกลูกสะใภ้ในอนาคตของตนเอง
ในระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่นั้น สาวใช้ด้านนอกก็เข้ามารายงานว่าฮูหยินรองกับคุณหนูใหญ่ขอเข้าพบ ลู่ฮูหยินแม้ไม่อยากจะต้อนรับภรรยารองของสามีสักเท่าใด แต่ในเมื่ออยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน การหลบหน้าเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องที่สมควรทำนัก นางเป็นภรรยาเอกควรจะใจกว้างกับภรรยาทุกคนของสามี
“น้องหญิงมาหาข้าเช่นนี้มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ”
หลังจากที่ได้ยินคำถามจากลู่ฮูหยิน จูเหิงเยว่ก็เก็บความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าได้ข่าวมาว่าฮองเฮาทรงมีพระประสงค์ให้ส่งบุตรสาวสกุลลู่เข้าไปเป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนขององค์หญิงสามอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“เจ้าช่างได้ข่าวรวดเร็วเสียจริง”
แม้จะรู้ว่าถ้อยคำที่ไป๋เจียฮวาเอ่ยมาจะเป็นคำเหน็บแนม ทว่าจูเหิงเยว่ไม่สามารถต่อว่าอีกฝ่ายได้ เพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงแค่ฮูหยินรองของจวนเท่านั้น ที่สำคัญนางอยากให้บุตรสาวเข้าวังหลวงด้วย นางถึงได้บากหน้ามาพบไป๋เจียฮวาเช่นนี้