“เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ความรู้สึกสงสัยปรากฏขึ้นภายในใจของลู่ฟางหนิงไม่หยุด เพราะในชาติก่อนนางจดจำได้ว่าซูเยี่ยนหลิงมักยกยอพี่ชายของนางให้ลู่ฟางหนิงฟังอยู่บ่อยครั้ง แม้ลู่ฟางหนิงจะไม่ค่อยได้พบกับซูเป่ยจิ้งบ่อยนัก ทว่าภาพลักษณ์ของเขาในความทรงจำของนางคือบัณฑิตผู้มากความรู้ แล้วเหตุใดบัณฑิตที่ควรจะตั้งใจท่องตำราอยู่ในจวนเพื่อเตรียมตัวสอบขุนนางถึงได้มาเมามายและอาละวาดฉุดกระชากนางโลมอยู่ในหอชิงสุ่ยเช่นนี้กันเล่า หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดที่นางได้รับรู้ผ่านซูเยี่ยนหลิงเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ใช่แล้ว…
ซูเยี่ยนหลิงคนนั้นโกหกนางมาโดยตลอด คำว่ามิตรแท้ระหว่างพวกนางสองคนย่อมไม่มีอยู่จริง ซูเยี่ยนหลิงแทงข้างหลังและแย่งชิงคนรักของนางไป หากไม่ใช่เพราะความอิจฉาริษยาที่ซูเยี่ยนหลิงมีต่อนาง ลู่ฟางหนิงก็นึกเหตุผลอื่นไม่ออกอีกแล้ว
“คุณชายอย่าทำเช่นนี้เลย ท่านเมามากแล้ว กลับจวนไปเถิด…” ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นพยายามจะเข้าไปห้ามปราม แต่ก็ถูกซูเป่ยจิ้งตวาดใส่ จนไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยนางโลมคนนั้น
“ใครบอกว่าข้าเมา ข้ายังไม่เมา และข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น หากสตรีนางนี้ไม่ไปกับข้า”
เสียงวุ่นวายของผู้คนตรงลานแสดงเรียกความสนใจของลู่ฟางหนิงอีกครั้ง ยามนี้ซูเป่ยจิ้งกำลังลากร่างของนางโลมผู้โชคร้ายคนนั้นลงมาจากลานแสดง แม้จะมีผู้คนเข้าไปห้ามปราม ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้าทำอะไรซูเป่ยจิ้งมากนัก หนึ่งคือเขาเป็นลูกค้าประจำของหอชิงสุ่ยแห่งนี้และสองบิดาของเขาเป็นขุนนางขั้นห้าสังกัดกรมพิธีการ
ทว่าลู่ฟางหนิงที่มองเหตุการณ์มาโดยตลอดกลับไม่สามารถอยู่เฉยได้ อย่างไรซูเป่ยจิ้งก็กำลังทำร้ายร่างกายของสตรีนางหนึ่ง หากไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วย นางโลมคนนั้นจะเป็นอย่างไรก็สุดจะรู้
“คุณชายปล่อยข้าเถิด ข้าเจ็บ…”
นางโลมที่ถูกลากลงมาจากลานแสดงค้อมหัวหลายครั้งขอร้องซูเป่ยจิ้ง นางหวาดกลัวเหลือเกินที่ถูกกระทำเช่นนี้ ทว่าชายหนุ่มที่กำลังเมามายกลับไม่สนใจ เขากระชากเส้นผมของนางแล้วลากไปตามทางเดินโดยที่คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าทำอะไร นอกจากมองดูนางโลมคนนั้นด้วยสายตาเวทนาและเห็นใจ
“นางบอกให้ปล่อย ท่านไม่ได้ยินหรืออย่างไร”
ลู่ฟางหนิงเดินเข้าไปขวางหน้าของซูเป่ยจิ้งเอาไว้ ก่อนที่เขาจะลากร่างของนางโลมคนนั้นไปไกลจนนางได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้
ซูเป่ยจิ้งเมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาขวางทาง เขาก็รู้สึกหัวเสียไม่น้อย ยิ่งเห็นว่าคนที่เข้ามาขวางทางเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาอ่อนหวานคนหนึ่ง อารมณ์โมโหของเขาก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “อย่าแส่ไม่เข้าเรื่อง หลบไป!”
“ข้าคงหลบให้ท่านไม่ได้ หากท่านยังไม่ปล่อยสตรีนางนี้ไป” ลู่ฟางหนิงเหลือบมองนางโลมที่กำลังเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับซูเป่ยจิ้งอีกครั้ง
“ข้าไม่ปล่อย คืนนี้นางจะต้องอยู่รับใช้ข้า” ขณะที่กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา ร่างของซูเป่ยจิ้งก็ซวนเซไปมาจนแทบจะยืนไม่ไหว ลู่ฟางหนิงเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา หากนางพูดอีกครั้งแล้วเขาไม่ฟัง นางคงต้องใช้วิธีการขั้นเด็ดขาด
“ข้าจะพูดกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยนางไปเสีย!”
น้ำเสียงของลู่ฟางหนิงแข็งกระด้างขึ้น อีกทั้งแววตายังแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมจนผู้คนรอบข้างอดรู้สึกเสียวสันหลังมิได้ ทว่าซูเป่ยจิ้งที่กำลังอยู่ในอาการเมามายกลับสัมผัสไม่ได้ถึงความน่ากลัวของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ข้าไม่ปล่อย เจ้าหน้าอ่อนอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าดะ-”
พลั่ก!!!
ซูเป่ยจิ้งยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคนั้นดี ร่างของเขาก็ร่วงไปอยู่บนพื้นในสภาพที่ไม่น่าดู ลู่ฟางหนิงเก็บหมัดของตนกลับมา เอ่ยเบาๆ ว่า “แค่หมัดเดียวก็ร่วงเสียแล้ว”
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับต้องรีบถอยออกห่างจากบริเวณนั้นโดยสัญชาตญาน ถึงแม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะมีหน้าตาอ่อนหวานและท่าทางราวกับสตรี แต่เขาสามารถทำให้บุตรชายของรองเจ้ากรมพิธีการร่วงเผาะไปอยู่บนพื้นได้ภายในหมัดเดียว ย่อมมิใช่คนธรรมดา
เมื่อเป็นอิสระจากซูเป่ยจิ้ง นางโลมคนนั้นก็รีบเข้ามาคุกเข่าขอบคุณลู่ฟางหนิงทันที เพราะหากไม่ได้เด็กหนุ่มผู้นี้เข้ามาช่วยเอาไว้ นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องพบเจอกับความโหดร้ายอย่างไรบ้างนับจากนี้ “ขอบคุณคุณชายน้อยมากที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้”
เหตุผลที่ลู่ฟางหนิงช่วยเหลือนางโลมคนนั้นไม่ใช่หวังคำขอบคุณ แต่นางเห็นสตรีถูกทำร้ายอย่างอยุติธรรมไม่ได้ต่างหาก และยิ่งคนๆ นั้นเป็นพี่ชายของซูเยี่ยนหลิง ศัตรูของนาง นางจะไม่จัดการเขาได้อย่างไร
“ลุกขึ้นเถิด” ลู่ฟางหนิงประคองร่างของนางโลมคนนั้นให้ลุกขึ้นยืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่หรูเอ๋อร์ไปตามเถ้าแก่หลี่มาพอดี
‘หลี่เซียนเมิ่ง’ มองประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แม้นางจะดูแลหอชิงสุ่ยมานาน ทว่ากลับไม่เคยมีคนอายุน้อยต้องการพบนางมาก่อน หากให้คาดเดาเด็กหนุ่มตรงหน้าของนางคงมีอายุราวๆ สิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น
“เจ้าหรือที่ต้องการพบข้า”
ลู่ฟางหนิงหันไปมองตามเสียงนั้นจึงพบเข้ากับใบหน้าอันคุ้นเคยในชาติก่อน แม้หลี่เซียนเมิ่งจะเป็นสตรีที่มีอายุถึงสามสิบกว่าปีแล้ว ทว่านางก็ยังคงงดงามไม่แปรเปลี่ยน
“ใช่ ข้าเองที่ต้องการพบท่าน”
ลู่ฟางหนิงเอ่ยตอบคำถามนั้นทันที หลี่เซียนเมิ่งรับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของเด็กหนุ่มตรงหน้า นางจึงเชิญอีกฝ่ายไปยังห้องรับรองห้องหนึ่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับแขกพิเศษเท่านั้น
ลู่ฟางหนิงมองตามทางเดินที่คุ้นตา เพราะชาติก่อนนางมาที่นี่เพื่อจ้างวานพี่น้องสกุลเฟยกับโจวหยางเทียน แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกสามปีข้างหน้า ยามนี้นางชิงลงมือก่อน ย่อมหมายความว่านางเดินหมากก่อนโจวหยางเทียนหนึ่งก้าว ห้องรับรองที่มีไว้เฉพาะแขกคนพิเศษ นางก็เคยเข้าไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นหลังจากที่เข้ามาภายในห้องนางจึงไม่รู้สึกกังวลใจมากนัก
เมื่ออยู่ภายในห้องตามลำพังสองต่อสอง ลู่ฟางหนิงก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยจุดประสงค์ของตนออกมาให้เถ้าแก่หลี่ได้รับรู้ “ข้าต้องการพบพี่น้องกุลเฟย”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้นหลี่เซียนเมิ่งก็มิได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือตกใจแต่อย่างใด เพราะหากมีคนอยากพบนางแน่นอนว่าคนเหล่านั้นต้องการจ้างวานนักฆ่าอย่างพี่น้องสกุลเฟย
“เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากพบพวกเขา ข้ายังมองไม่ออกว่าเด็กหนุ่มอย่างเจ้าต้องการพบพวกเขาด้วยเรื่องอันใด ที่สำคัญค่าจ้างของพวกเขาสูงมาก เจ้ามีปัญญาจ่ายไหวกระนั้นหรือ”
ลู่ฟางหนิงได้ยินคำถามนั้นของเถ้าแก่หลี่ก็เผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ข้ามิได้ต้องการจ้างพวกเขา ข้าอยากพบพวกเขาต่างหาก”
“เกรงว่าข้าจะทำตามคำขอของเจ้าไม่ได้ เพราะพี่น้องสกุลเฟยจะไม่พบใครสุ่มสี่สุ่มห้า หากมิใช่เรื่องงาน”
แน่นอนว่า ‘งาน’ ที่เถ้าแก่หลี่เอ่ยถึงย่อมหมายถึง ‘การฆ่าคน’ ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มาเพื่อจ้างวานพี่น้องสกุลเฟยให้ทำงานให้ นางย่อมต้องปฏิเสธเป็นธรรมดา
ลู่ฟางหนิงเตรียมตัวสำหรับความล้มเหลวนี้ไว้แล้ว เพราะคิดว่าอย่างไรเถ้าแก่หลี่ต้องปฏิเสธนางแน่ ดังนั้นก่อนที่นางจะจากไป นางจึงฝากคำพูดหนึ่งให้เถ้าแก่หลี่ไปบอกกับพี่น้องสกุลเฟย
“ข้าหวังว่าเถ้าแก่จะนำคำพูดเหล่านั้นไปบอกพวกเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องสักประโยคนะขอรับ” เอ่ยจบลู่ฟางหนิงก็จากไปทันทีทิ้งให้หลี่เซียนเมิ่งได้แต่นั่งตกตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่อยู่ภายในห้องเพียงลำพัง
เด็กหนุ่มคนนี้รู้เรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร?