ตอนที่ 10 แผนการของสกุลเซวีย

หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานรางวัลให้กับผู้ชนะเสร็จสิ้น เทศกาลล่าสัตว์ในปีนี้ก็ได้สิ้นสุดลง ขบวนรถม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์เริ่มทะยอยเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ขณะที่ขบวนรถม้าของเหล่าขุนนางและครอบครัวจำต้องรั้งรอเพื่อติดตามไปทีหลัง ซูเยี่ยนหลิงจึงอาศัยช่วงจังหวะนี้เข้าไปสนทนากับลู่ฟางหนิงที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางเหมือนกับคนอื่นๆ

“หนิงหนิงเจ้าได้ล่ากระต่ายป่ามาให้ข้าหรือไม่”

ก่อนหน้านี้ซูเยี่ยนหลิงเคยขอร้องให้ลู่ฟางหนิงล่ากระต่ายป่ามาให้นาง ดังนั้นเมื่อการล่าสัตว์จบลงนางจึงมาทวงถามตามคำสัญญานั้น เมื่อกลับเมืองหลวงไปแล้ว นางจะได้นำกระต่ายป่าไปโอ้อวดเพราะต้องการให้ตนเองดูโดดเด่นในหมู่สตรีวัยเดียวกันโดยที่ผลงานทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของลู่ฟางหนิงทั้งสิ้น

ลู่ฟางหนิงเมื่อพบว่าซูเยี่ยนหลิงเดินมาหาตน นางก็ลอบกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย เพราะนางไม่อยากเห็นหน้าสตรีนางนี้อีกต่อไปแล้ว แต่กระนั้นนางก็ยังต้องเก็บกลั้นอารมณ์นั้นเอาไว้ แล้วหันกลับไปเอ่ยตอบซูเยี่ยนหลิงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เพราะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเจ้า ข้าจึงไม่ได้เข้าป่าล่าสัตว์ต่อ นอกจากไก่ป่าสองตัว ข้าก็ล่าอย่างอื่นไม่ได้อีกเลย”

ซูเยี่ยนหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ลอบกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ นางอุตส่าห์คุยโว้โอ้อวดเอาไว้ว่ากลับไปจะนำกระต่ายป่าไปให้สตรีวัยเดียวกันได้เชยชม เพื่อให้ตนเองได้รับความนิยมมากกว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะลู่ฟางหนิงที่เก่งกาจไปเสียทุกด้าน

ก่อนหน้านี้ที่นางเคยขอร้องลู่ฟางหนิงเพราะคิดว่าระดับฝีมือของอีกฝ่ายต้องล่ากระต่ายมาได้อย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดว่านอกจากไก่ป่า ลู่ฟางหนิงจะล่าอะไรไม่ได้เลย แล้วเช่นนี้นางจะเอาอันใดไปโอ้อวดผู้อื่นเล่า แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าคำพูดของนางเป็นคำพูดลอยๆ ที่ไม่น่าเชื่อถือนะสิ

ทว่าซูเยี่ยนหลิงก็มิได้แสดงความไม่พอใจออกมาให้ลู่ฟางหนิงได้เห็น แต่ลู่ฟางหนิงก็จับอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก นางจึงจงใจเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่รังเกียจจะนำไก่ป่าสองตัวที่ข้าล่ามากลับไปก็ได้นะ เพราะพี่ชายของข้าล่าได้ทั้งกวางและสุนัขจิ้งจอก ไก่ป่าสองตัวนี้มอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

ลู่ฟางหนิงเอ่ยเช่นนั้นจบก็พยักหน้าให้คนไปนำไก่ป่ามา ซูเยี่ยนหลิงมองดูไก่ป่าที่ลู่ฟางหนิงยื่นให้ นางก็พยายามข่มกลั้นความไม่พอใจสุดกำลัง เพราะนอกจากไก่ป่าของลู่ฟางหนิงจะมิได้มีลักษณะที่งดงาม หากแต่ขนทั้งร่างก็ร่วงหล่นเป็นหย่อมๆ ราวกับเป็นโรคร้ายก็ไม่ปาน หากนางเอาไก่ตัวนี้ไปโอ้อวด นอกจากจะไม่ได้รับคำชื่นชมหรือความนิยมในกลุ่มสตรีวัยเดียวกัน คนอื่นๆ คงจะหัวเราะเยาะนางจนฟันหักแน่ๆ

ลู่ฟางหนิงเห็นสีหน้าเช่นนั้นของซูเยี่ยนหลิง นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอันใดอยู่จึงได้รีบยัดไก่ป่าใส่มือของซูเยี่ยนหลิงทันที โดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้เลย เพราะนางอยากให้ซูเยี่ยนหลิงได้รับรู้ว่าความรู้สึกอับอายขายขี้หน้าจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีมันเป็นอย่างไร

อีกด้านหนึ่ง

รถม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์ทะยอยเคลื่อนตัวออกมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว หนึ่งในนั้นคือรถม้าของเซวียกุ้ยเฟยกับรุ่ยอ๋อง แม้พวกเขาจะเป็นแม่ลูกกัน ทว่าบรรยากาศด้านในกลับให้ความรู้สึกอึดอัดเพราะระหว่างทางไม่มีการสนทนาใดๆ เกิดขึ้นแม้เพียงประโยคเดียว

หลังจากที่เงียบอยู่นาน เซวียกุ้ยเฟยจึงเอ่ยขึ้น “แผนการของเจ้าล้มเหลวอย่างนั้นหรือ” ดูจากท่าทางของบุตรชายในยามนี้ หากมิใช่เพราะแผนการที่วางเอาไว้ล้มเหลว เซวียกุ้ยเฟยก็คาดเดาสาเหตุอื่นไม่ออกอีกแล้ว

โจวหยางเทียนเมื่อถูกมารดาเอ่ยถามเช่นนั้น เขาก็รีบคุกเข่าให้มารดาทันที เพราะกลัวว่ามารดาจะทุบตีหรือดุด่าเขาที่เขาไม่สามารถทำตามแผนการของนางได้สำเร็จ

“ขออภัยเสด็จแม่ เป็นเพราะกระหม่อมวางแผนการไม่รอบคอบเองจึงไม่สามารถทำให้ลู่ฟางหนิงตกหลุมพรางได้”

เซวียกุ้ยเฟยมิได้แสดงสีหน้าอื่นใดนอกจากความนิ่งสงบ นางยกชาขึ้นมาจิบราวกับว่าความผิดพลาดของบุตรชายเป็นสิ่งที่นางชินชาไปแล้ว ทว่าโจวหยางเทียนกลับไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย เพราะเขารู้ดีว่ายามนี้มารดาคงไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก แต่ที่นางยังสามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้ นั่นก็เพราะว่ายามนี้พวกเขากำลังอยู่บนรถม้า หาใช่ตำหนักส่วนตัว

ส่วนสาเหตุที่เซวียกุ้ยเฟยต้องการให้บุตรชายเข้าหาลู่ฟางหนิง เพราะนางรู้ว่าแม่ทัพลู่หนิงเหอผู้นั้นมีกองกำลังทหารในมือมากขนาดไหน หากสามารถทำให้สกุลลู่ที่ไม่ได้เข้าฝ่ายใดมาเป็นฝ่ายของตนโดยการเกี่ยวดองกัน การจะผลักดันโจวหยางเทียนขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ทว่าบุตรชายของนางกลับทำตามแผนการนั้นไม่สำเร็จ…

เซวียกุ้ยเฟยวางจอกชาลง แม้จะมิได้หันไปมองหน้าบุตรชาย แต่น้ำเสียงราบเรียบที่เปล่งออกมานั้นก็สามารถทำให้โจวหยางเทียนรู้สึกกดดันได้ไม่น้อย

“โอกาสมิได้มีเพียงครั้งเดียว ในเมื่อวันนี้เจ้าทำไม่สำเร็จ แต่วันหน้าต้องสำเร็จ อย่าให้ข้าได้ยินคำว่าล้มเหลวอีก”

โจวหยางเทียนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกราวกับว่าบนบ่าของตนหนักอึ้งเหมือนกำลังแบกรับสิ่งที่หนักหนาเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยตอบมารดาด้วยท่าทางนิ่งสงบ แม้ภายในใจจะเกิดความกดดันมากขนาดไหนก็ตาม

“พ่ะย่ะค่ะ ครั้งหน้ากระหม่อมจะไม่ทำให้เสด็จแม่ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

เซวียกุ้ยเฟยเหลือบตามองบุตรชายครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยบอกให้เขาลุกขึ้น จากนั้นจึงหันไปจิบชาที่เหลือต่อโดยไม่ได้สนใจบุตรชายอีกต่อไป

โจวหยางเทียนกลับไปนั่งที่ของตน ทว่าภายในใจของเขากลับมีความคิดมากมายเกิดขึ้นไม่หยุด ตั้งแต่เล็กจนโต มารดามักจะคาดหวังในตัวของเขาเอาไว้สูง ทุกครั้งที่เขาไม่สามารถทำตามคำสั่งของนางได้สำเร็จ นางก็ลงโทษเขาด้วยการทุบตี ดังนั้นทุกอย่างที่เป็นคำสั่งของนาง เขาจะต้องทำให้สำเร็จเพราะไม่อยากเจ็บตัว

จนกระทั่งเขาเติบโต ความต้องการของมารดาก็เหมือนจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จากตอนเด็กที่นางมักใช้เขาเป็นข้ออ้างเพื่อเรียกร้องให้บิดาที่เป็นฮ่องเต้มาสนใจ ทว่ายามนี้นางกลับอยากให้เขาแย่งชิงตำแหน่งของน้องชายมาครอบครอง

เดิมทีตำแหน่งนั้นควรเป็นของเขามิใช่หรือ เพราะหากนับตามอายุแล้ว เขาที่เป็นถึงองค์ชายใหญ่ควรถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แต่เพราะมารดาของเขามีตำแหน่งเป็นเพียงแค่กุ้ยเฟยเท่านั้น หาใช่ฮองเฮาเหมือนกับมารดาของโจวหยางอวี้ ตำแหน่งรัชทายาทจึงหลุดมือของเขาไปอย่างง่ายดาย

อีกทั้งมารดายังกดดันให้เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตำแหน่งนั้นมาครอบครอง แม้นางจะไม่เอ่ยออกมาตรงๆ แต่การกระทำของนางก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดมิใช่หรือ แทนที่จะผลักดันให้เขาแย่งชิงตำแหน่งของผู้อื่น เหตุใดก่อนหน้านี้มารดาของเขาถึงไม่แย่งตำแหน่งฮองเฮามาเองเสียเล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาที่เป็นบุตรชายคนโตคงไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนั้นมาด้วยตนเองเช่นนี้

แม้ภายในใจจะตำหนิมารดาของตนว่าหากนางอยู่เหนือกว่ามารดาของโจวหยางอวี้ พวกเขาทั้งสองคงไม่ต้องลำบากปูทางให้กับตนเองเช่นนี้ ทว่าโจวหยางเทียนจำต้องเก็บงำความคิดเหล่านั้นเอาไว้ สีหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่แตกต่างจากสีหน้าของเซวียกุ้ยเฟยสักเท่าใดนัก และเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอึดในตอนนี้ โจวหยางเทียนจึงเอ่ยขึ้นว่า “แล้วแผนการนั้นของเสด็จแม่ดำเนินไปถึงไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เซวียกุ้ยเฟยได้ยินคำถามของบุตรชาย จากสีหน้านิ่งเรียบก็เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา

“สกุลเซวียใกล้จะลงมือแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เป็นห่วงเพียงแค่เรื่องของตนเองก็พอ”

“พ่ะย่ะค่ะ” โจวหยางเทียนพยักหน้ารับคำ จากนั้นพวกเขาสองแม่ลูกก็นั่งเงียบตลอดทางไม่มีการสนทนาอื่นใดเกิดขึ้นอีก จนกระทั่งขบวนรถม้าของพวกเขาเดินทางมาถึงวังหลวง

โพสต์ข้อความ