ตอนที่ 15 ฮูหยินรองอาละวาด

“ข้าได้ยินสาวใช้พูดกันทั่วจวนจึงมาสอบถามพี่หญิงให้แน่ใจอีกครั้งก็เท่านั้น” จูเหิงเยว่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคำพูดที่นางกล่าวมาล้วนเป็นเพียงคำโกหก นางมิได้ยินสาวใช้ของจวนสกุลลู่สนทนาเรื่องนี้กันสักคน แต่นางเห็นกับตาว่าเมื่อเช้านี้มีขันทีจากในวังนำราชโองการของฮองเฮามามอบให้กับไป๋เจียฮวา นางถึงได้รู้ว่าฮองเฮาต้องการให้บุตรสาวสกุลลู่เข้าวังหลวงไปเป็นพระสหายร่วมเรียนกับองค์หญิงสาม

ไป๋เจียฮวาเหลือบตามองภรรยารองของสามีครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เป็นดั่งเช่นที่เจ้าได้ยินมาจริงๆ ฮองเฮาต้องการให้บุตรสาวสกุลลู่ไปเป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนขององค์หญิงสาม”

“เช่นนั้นอวิ้นเหมยของข้าก็จะได้เข้าวังด้วยใช่หรือไม่”

แววตาของจูเหิงเยว่เปล่งประกายขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด หากฮองเฮาบอกว่าต้องการให้บุตรสาวสกุลลู่เข้าวัง หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นบุตรสาวของนางอย่างแน่นอน

ทว่าความหวังของจูเหิงเยว่ที่อยากจะส่งบุตรสาวเข้าวังกลับถูกดับกลางคัน เมื่อลู่ฮูหยินเอ่ยว่า “ฮองเฮาทรงมีพระประสงค์ให้หนิงหนิงเข้าวังเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนบุตรสาวของเจ้าไม่มีรายชื่อ”

“ไม่มีรายชื่อ?”

จูเหิงเยว่ได้ยินไป๋เจียฮวาเอ่ยเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ลู่อวิ้นเหมยจะไม่มีรายชื่อได้อย่างไร ในเมื่อนางก็เป็นบุตรสาวสกุลลู่เหมือนกับลู่ฟางหนิง เห็นทีว่าเรื่องนี้ไป๋เจียฮวาคิดจะกีดกันบุตรสาวของนางมากกว่า

“ข้าไม่เชื่อว่ารายชื่อที่ฮองเฮาคัดเลือกมาจะไม่มีอวิ้นเหมยรวมอยู่ด้วย ข้าว่าพี่หญิงต้องอ่านผิดแน่ๆ”

หลังสิ้นคำพูดนั้นจูเหิงเยว่ก็คิดที่จะแย่งเอาราชโองการมาจากมือของไป๋เจียฮวา ทว่าอีกฝ่ายกลับว่องไวกว่า จูเหิงเยว่จึงคว้าได้เพียงความว่างเปล่ากลับมาเท่านั้น

“น้องหญิงเจ้าคิดจะทำอันใด?” ไป๋เจียฮวาเอ่ยด้วยความไม่พอใจที่จูเหิงเยว่เสียมารยาทต่อนาง

“ข้าเพียงแค่ต้องการตรวจสอบราชโองการของฮองเฮาให้แน่ใจก็เท่านั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าด้านในนั้นจะไม่มีรายชื่ออวิ้นเหมยของข้าเขียนเอาไว้”

“เจ้าคิดว่าข้าโกหกเจ้าอย่างนั้นหรือ”

“หากพี่หญิงบริสุทธิ์ใจ เช่นนั้นก็เปิดราชโองการนั่นให้ข้าดูตรงนี้เสียสิ”

ลู่อวิ้นเหมยเห็นว่าสถานการณ์ของมารดากับลู่ฮูหยินชักจะบานปลายไปกันใหญ่ นางจึงดึงแขนของมารดาออกมา ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านแม่ หากฮูหยินใหญ่บอกว่าไม่มีรายชื่อของข้าก็คงจะไม่มีจริงๆ นั่นแหละ ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย พวกเรากลับเรือนกันเถิด อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ต้องการเข้าวังหลวง”

“ไม่ได้! เจ้าเป็นถึงบุตรสาวคนโตของสกุลลู่ เจ้าสมควรจะได้เข้าไปเป็นพระสหายร่วมเรียนขององค์หญิงสามมากกว่าใคร”

จูเหิงเยว่เริ่มแสดงความโกรธเกรี้ยวของตนออกมา อย่างไรคนที่ต้องได้เข้าวังหลวงไปเป็นพระสหายร่วมเรียนขององค์หญิงสามต้องเป็นบุตรสาวของนางเท่านั้น

ไป๋เจียฮวาเองก็ไม่คาดคิดว่าจูเหิงเยว่จะมาอาละวาดใส่นางเพราะเรื่องนี้ นางบอกไปแล้วว่าลู่อวิ้นเหมยไม่มีรายชื่อ แต่จูเหิงเยว่ก็แสดงท่าทางออกมาราวกับว่าไม่เชื่อคำพูดของนาง

โชคยังดีที่ระหว่างนั้นพ่อบ้านของจวนสกุลลู่เข้ามาพบเหตุการณ์นี้เข้าพอดี เขาจึงรีบไปรายงานแม่ทัพลู่หนิงเหอ และก่อนที่จูเหิงเยว่จะได้อาละวาดใส่ไป๋เจียฮวาอีกครั้ง แม่ทัพลู่หนิงเหอก็ปรากฏตัวขึ้น เอ่ยว่า “เกิดเรื่องอันใดกัน?”

น้ำเสียงดุดันที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้จูเหิงเยว่รีบหุบปากกลืนคำพูดที่กำลังจะต่อว่าไป๋เจียฮวาลงคอทันที จากนั้นนางจึงรีบวิ่งไปเกาะแขนของสามีเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจว่า

“ท่านพี่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าและอวิ้นเหมยนะเจ้าคะ เมื่อเช้านี้ฮองเฮาทรงมีราชโองการให้ส่งบุตรสาวสกุลลู่เข้าไปเป็นพระสหายร่วมเรียนขององค์หญิงสาม แต่พี่หญิงกลับบอกว่าอวิ้นเหมยของข้าไม่มีรายชื่อในนั้น ข้าไม่เชื่อ อวิ้นเหมยเป็นบุตรสาวคนโตของสกุลลู่สมควรจะมีรายชื่อในนั้นมิใช่หรือเจ้าคะ”

ลู่หนิงเหอได้ยินมาจนถึงตรงจุดนี้ เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จากนั้นจึงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของจูเหิงเยว่ด้วยความรำคาญแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อฮวาเอ๋อร์บอกว่าบุตรสาวของเจ้าไม่มีรายชื่อในนั้นก็ไม่มีสิ เจ้าจะโวยวายให้มันได้อันใดขึ้นมา”

“ท่านพี่!” จูเหิงเยว่มองหน้าสามีอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยเข้าข้างไป๋เจียฮวาแล้วมองว่านางเป็นคนผิด

ลู่หนิงเหอมองภรรยารองของตนด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรำคาญ จากนั้นจึงเอาราชโองการของฮองเฮาจากภรรยาเอกมากางให้นางดู

“ดูให้เต็มตาเสียว่าในนี้ไม่มีรายชื่อบุตรสาวของเจ้า เลิกโวยวายแล้วกลับเรือนไปเสีย ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทนแล้วสั่งกักบริเวณเจ้า”

จูเหิงเยว่มองราชโองการที่ถูกกางอยู่ตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ เพราะในนี้ไม่มีรายชื่อบุตรสาวของนางจริงๆ ลู่อวิ้นเหมยเห็นว่าบิดาเริ่มโมโหเพราะการกระทำอันโง่เขลาของมารดา นางจึงรีบก้มศีรษะเอ่ยว่า “ข้าขอโทษด้วยเจ้าค่ะที่ท่านแม่เสียมารยาทใส่ฮูหยินเช่นนี้ ข้าจะพานางกลับเรือนไม่มาสร้างความวุ่นวายให้กับฮูหยินอีกเจ้าค่ะ”

“อวิ้นเหมย!” จูเหิงเยว่อยากจะกรีดร้องใส่บุตรสาวที่ยอมก้มหัวให้กับไป๋เจียฮวา ทว่านางกลับถูกลู่อวิ้นเหมยใช้มือปิดปากแล้วพากลับเรือนทันทีโดยที่ไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้เลย

หลังจากสองแม่ลูกนั่นจากไปแล้ว แม่ทัพลู่หนิงเหอจึงเอ่ยปลอบภรรยาว่าเขาจะไม่ให้จูเหิงเยว่เข้ามาวุ่นวายกับนางและลู่ฟางหนิงอีก ไป๋เจียฮวาพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นลู่หนิงเหอจึงออกไปจัดการงานที่เหลือในกองทัพ

เมื่ออยู่กันตามลำพังกับบุตรสาวสองต่อสอง ลู่ฮูหยินจึงเอ่ยขึ้นว่า “หนิงหนิง อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเข้าวังไปเป็นพระสหายร่วมเรียนขององค์หญิงสามแล้ว เครื่องประดับที่เจ้ามีช่างน้อยนิดยิ่งนัก แม่คิดว่าเจ้าควรจะออกไปซื้อเครื่องประดับใหม่มาเตรียมเก็บไว้”

เดิมทีลู่ฟางหนิงคิดจะเอ่ยปฏิเสธมารดา ทว่านางรู้จักนิสัยของมารดาดีว่าต้องไม่ยินยอมแน่ๆ เพราะนางเป็นถึงบุตรสาวตระกูลแม่ทัพ ดังนั้นเครื่องประดับที่สวมใส่เข้าวังหลวงในครานี้ย่อมหมายถึงหน้าตาของวงศ์ตระกูล

ในชาติที่แล้วเพราะนางแต่งกายเรียบง่ายจึงมักถูกสตรีที่เป็นสหายร่วมเรียนด้วยกันเหยียดหยามอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังโดนพวกนั้นกลั่นแกล้งสารพัดจนนางขอถอนตัวออกมากลางคัน ทว่าในชาตินี้นางจะไม่มีทางให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นกับนางอีกครั้งแน่

และในระหว่างที่ลู่ฟางหนิงกำลังออกมาเดินเลือกซื้อเครื่องประดับอยู่ภายในตลาด สหายรักอย่างซูเยี่ยนหลิงก็ปรากฏตัวขึ้น แม้ลู่ฟางหนิงจะโกรธแค้นทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับซูเยี่ยนหลิง แต่นางจำต้องเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้จนกว่านางจะหาทางแก้แค้นอีกฝ่ายได้สำเร็จ

“หนิงหนิงยินดีด้วยนะที่เจ้าได้รับเลือกให้เป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนขององค์หญิงสาม” ซูเยี่ยนหลิงเอ่ยบอกลู่ฟางหนิงด้วยรอยยิ้ม ทว่าภายใต้รอยยิ้มจอมปลอมนั่นกลับซ่อนความอิจฉาริษยาเอาไว้มากมาย

ลู่ฟางหนิงมีหรือที่จะไม่รู้ว่าซูเยี่ยนหลิงคิดอย่างไรกับนาง อีกฝ่ายคงกำลังอิจฉานางอยู่จนใจแทบขาดแล้วกระมัง ทว่ากลับฝืนยิ้มออกมาได้เช่นนี้นับว่ามีความสามารถไม่น้อย

“ข้าเสียดายที่เจ้าไม่ได้เข้าวังด้วย”

ลู่ฟางหนิงจงใจเอ่ยเช่นนั้นออกมา และคำพูดของนางก็ทำให้ซูเยี่ยนหลิงแทบจะข่มกลั้นความอิฉาริษยาเอาไว้ไม่ไหว เพราะนางเป็นเพียงบุตรสาวของรองเจ้ากรมพิธีการเท่านั้น นางถึงไม่ได้รับคัดเลือกให้เป็นพระสหายร่วมชั้นเรียน

ลู่ฟางหนิงเห็นมือที่กำจนแน่นของซูเยี่ยนหลิง นางจึงเอ่ยขึ้นอีกคำว่า “หากเข้าวังไปแล้ว ข้าจะลองขอร้ององค์หญิงสามให้เจ้าเข้าวังด้วยดีหรือไม่”

ซูเยี่ยนหลิงได้ยินดังนั้นฝ่ามือที่กำเอาไว้จนแน่นก็คลายออก ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจเจ้ามากนะหนิงหนิง”

ลู่ฟางหนิงแย้มรอยยิ้มตอบกลับอีกฝ่าย ทว่าภายในใจกลับมีแผนการบางอย่างผุดขึ้นไม่หยุด

โพสต์ข้อความ