ตอนที่ 12 ของเล่นราคาแพง

“เอาข้อเสนอของฉันกลับไปคิดให้ดี แต่ต้องรีบหน่อยนะ เพราะมีคนรอต่อคิวเยอะ อาศัยตอนที่ฉันกำลังสนุกกับเธออยู่รีบกอบโกยดีกว่า” คาชาทิ้งท้ายอย่างยียวนเช่นเคยก่อนที่สาวน้อยหน้ายุ่งจะลงจากรถ

ปัง! คำตอบของมาเบลส่งคืนพร้อมเสียงกระแทกประตูรถเมอร์ซิเดสคันหรูสนั่น มาเฟียถ่อยนี่! คิดจะใช้เงินซื้อความเป็นคนของเธอเหรอ ยอมเป็นของเล่นให้เขาหรือว่าเป็นของเล่นคนอื่นมันต่างกันตรงไหน ยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองจ่ายหนักอีก ถ้าให้มาเลยหนึ่งล้านต่อหนึ่งครั้ง เธออาจจะแกล้งหลับหูหลับตาสักสามสี่รอบก็ได้

มาเบลค่อยๆ เดินขึ้นไปบนห้อง ขณะค้นหากุญแจในกระเป๋าสะพายใบเก่า โทรศัพท์พลันสั่นแจ้งเตือนข้อความส่งเข้ามา นิ้วมือเรียวขาวกดดู พอได้เห็นบัญชีปริศนาโอนเงินจำนวนหนึ่งผ่านธนาคารมาให้ ดวงตาที่ซึมเซาพลันเบิกกว้าง รถยนต์ด้านล่างยังไม่ขับออกไป มาเบลไม่ได้หันมอง แต่ก็รู้สึกได้ว่าดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นกำลังจดจ้องมายังเธอ

“จ่ายหนักจริงด้วย สำหรับเขาหนึ่งล้านมันคงเป็นแค่เศษเงิน” เงินจำนวนนี้ในเมื่อมันคือค่าตอบแทนที่เขาปู้ยี้ปู้ยำร่างกายเธอทั้งคืน ก็จะรับเอาไว้และใช้มันจ่ายส่วนของเงินต้น อย่างน้อยๆหนี้จำนวนมหาศาลจะได้ลดลงสักเสี้ยว

“พี่เบลกลับมาแล้วเหรอครับ” น้ำเสียงของเด็กชายมีความโล่งใจและยินดี มาวินรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งมาหาพี่สาวราวกับไม่ได้เจอเธอมานานเหลือเกิน ดวงตาของเขาแดงระเรื่อเหมือนคนที่พึ่งร้องไห้

“ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น” มาเบลเริ่มกระวนกระวายรีบพลิกดูตัวน้องชาย เผื่อจะมีคนมาทำร้ายเขาตอนที่เธอไม่อยู่

“วิน…ฮึก! วินนึกว่าพี่เบลจะทิ้งวินไปแล้ว” น้ำตาที่พึ่งเหือดแห้งไหลนองอาบแก้มสีชมพูแดงอีกรอบ

มาเบลได้ยินเกิดความสงสารรีบกอดน้องชายตัวน้อยเอาไว้ คงเพราะเธอกลับห้องไม่ตรงเวลามาวินถึงได้คิดมากเช่นนี้

“ไม่ร้องแล้วนะ ไม่ร้อง พี่ส่งข้อความมาบอกแล้ว ไม่ได้อ่านเหรอ อย่าบอกว่าตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยงก็ยังไม่ได้กินข้าว”

“วินทนได้…” เด็กน้อยสะอึกสะอื้นปาดน้ำตา เขาเป็นเด็กผู้ชาย คุณครูที่โรงเรียนบอกว่าผู้ชายไม่ควรงอแง ก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วโมงเขาพยายามอดทน แต่เวลายิ่งผ่านไปพี่สาวก็ยังไม่กลับมาสักที สุดท้ายจึงกลายเป็นแบบนี้ มาวินเลี่ยงจะไม่พูดถึงกระดานอัจฉริยะแท็บเล็ต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพียงชิ้นเดียวที่เอาไว้ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารกับมาเบล

ถ้าบอกว่าพ่อเอามันไปขาย พี่สาวจะต้องเหนื่อยหาเงินซื้อมาให้ใหม่แน่ แต่มาเบลไม่ปล่อยผ่าน เธอเกรงว่าหากยังมีครั้งต่อไปที่ตัวเองกลับบ้านช้าน้องชายจะเป็นห่วงอีก เลยบอกให้มาวินไปเอาแท็บเล็ตแจกฟรีของทางโรงเรียนมาตรวจดูหน่อย เหตุใดมันถึงไม่ส่งแจ้งเตือน เด็กชายอิดออดคิดหาคำพูด เขาไม่อยากโกหกพี่และก็ไม่อยากให้พี่เหนื่อย

มาเบลจับสังเกตได้จากสีหน้าที่ปกปิดความกังวลไม่มิดของน้องชาย เด็กก็คือเด็ก เมื่อมีบางอย่างผิดปกติพวกเขามักจะเปิดเผยมันออกมาผ่านทางการกระทำเสมอ “อย่าบอกว่าทำหาย ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมไม่บอกพี่ล่ะ?”

โดนจับได้เช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเก็บเงียบอีก มาวินจึงได้สารภาพ “พ่อแอบเอาไปขายตั้งแต่เดือนที่แล้ว”

“ว่าไงนะ! เอาไปขายตั้งแต่เดือนที่แล้วเหรอ งั้นที่ผ่านมาเวลาพี่ทักมาหาวินก็ไม่เคยอ่านข้อความเลยน่ะสิ แท็บเล็ตมันต้องใช้เรียนด้วย เรื่องแบบนี้มันควรจะบอกพี่ตั้งนานแล้วไหม” มาเบลเริ่มทำเสียงดุ

“วินกลัวพี่เบลจะเหนื่อยกว่าเดิม ก็เลย…เลยไม่อยากบอก แต่วินยืมดูกับเพื่อนก็ได้”

หญิงสาวคลายหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นไปพลางถอนหายใจ “อย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม มีอะไรให้บอกพี่ แท็บเล็ตเป็นของอย่างเดียวที่พี่ส่งข้อความหรือโทรมาถามไถ่วินได้ อย่าคิดเองคนเดียว ไม่งั้นเกิดเรื่องขึ้นจะทำยังไง”

อบรมกันไปยกหนึ่งตอนบ่ายสองพี่น้องพากันไปที่ตลาดสดในซอยไม่ไกลจากที่พัก วันหยุดทั้งทีจะกินแต่กับข้าวเดิมๆ ไม่ได้ มาเบลจึงเลือกซื้อผักกับเนื้อมาเผื่อทั้งสัปดาห์ ผ่านเข้าร้านเครื่องปรุงก็เข้าไปเลือกน้ำจิ้มและผงซุปกระดูก รวมถึงวัตถุดิบจำเป็นไว้สำหรับทำอาหาร บ่ายนี้จะตั้งเตากินเนื้อย่างของโปรดน้องชาย

กลับมาถึงห้อง ขณะพี่สาวกำลังยุ่งอยู่กับการตระเตรียมของ มาวินไม่อยากอยู่เฉยจึงกวาดพื้นและนำไม้ถูมาทำความสะอาดรอ ตอนที่เด็กชายเปิดประตูจะเอาขยะลงไปทิ้งด้านล่าง ที่หน้าห้องพลันปรากฏผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งยืนขวางอยู่

กลิ่นน้ำซุปกระดูกหมอลอยมาแตะจมูก เขามองเข้าไปด้านในจากนั้นถามกับเด็กชาย “กำลังกินข้าวกันอยู่?”

“ผมกำลังจะเอาขยะลงไปทิ้ง ส่วนพี่เบลกำลังจะทำหมูกระทะ ก่อนเข้าห้องถอดรองเท้าไว้บนชั้นก่อนนะครับ วินพึ่งทำความสะอาดพื้น มันจะสกปรกครับ” มาวินแหงนคอคุยกับแขกเสียงแหลมใส จากนั้นเอี้ยวตัวหลบ ในมือหิ้วถุงขยะวิ่งตุบๆ ลงบันไดไปทิ้งที่ด้านล่างของตึก คุณลุงตัวใหญ่มาทีไรก็ชอบใส่รองเท้าเดินเหยียบเข้าข้างในจนเปื้อนไปหมด จำเป็นจะต้องเตือนเขาก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้ทำความสะอาดอีกรอบ

คาชาเหลือบมองไอ้ตัวเล็กแสนรู้เสียงเจื้อยแจ้วแวบหนึ่ง พี่น้องสองคนจะเหมือนกันไปถึงไหน ตัวแค่นั้นกลับกล้ามาออกคำสั่งกับเขา นี่คือห้องเช่าในเขตความดูแลของแก๊งค์บอสโควิก จะใส่รองเท้าเข้าไปหรือทำให้สกปรกสักกี่ครั้ง แล้วจะทำไม? ทว่าจังหวะที่เหยียบลงบนพื้น ไม่รู้นึกรำคาญอะไรขึ้นมา สุดท้ายเขาก็ถอดรองเท้าหนังชั้นดีของตนวางไว้บนชั้น จากนั้นมองหารองเท้าใส่ในบ้าน

ไม่มี….ไม่มีรองเท้าใส่ในบ้าน และขนาดเท้าของเขาก็ไม่น่าจะสวมได้ด้วย นั่นยิ่งน่ารำคาญเข้าไปใหญ่ คาชากลับไปสวมรองเท้าดังเดิม เขาคือหัวหน้าแก๊งค์มาเฟีย ทำไมจะต้องเกรงใจเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม

มาเบลยกผักกับเนื้อที่เตรียมไว้มาวางลงบนโต๊ะ พอหันไปเห็นคนอื่นอยู่ในห้องไม่ให้สุ้มให้เสียงก็ตกใจ “นี่คุณ?”

“ทำหน้าเหมือนเห็นผีไปได้ รับเงินฉันไปแล้วแท้ๆ น่าจะยินดีต้อนรับกันมากกว่านี้หน่อยนะ”

“นั่นเป็นค่าตอบแทนที่คุณเต็มใจจ่ายให้ฉัน แลกเปลี่ยนกับเรื่องเมื่อคืน”

“หมายความว่าเธอตกลงจะขายตัวเองให้ฉันแล้ว อย่าอายไปเลยน่า ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอก แม้แต่เธอก็ต้องจำนนให้กับอำนาจของเงิน” คาชาได้ทีรื้อฟื้นตอนที่มาเบลไม่ยอมรับแขกทั้งยังกระด้างกระเดื่องใส่เขา สุดท้ายก็ขายตัวใช้หนี้ทุกรายนั่นแหละ

“คุณอุตส่าห์ย้อนกลับมาที่นี่อีก เพื่อพูดเรื่องพวกนี้เหรอ ลงทุนเกินไปไหม” มาเบลไม่สนใจเขาอีก

เธอนำกระทะไฟฟ้ามาเสียบปลั๊ก จากนั้นนำมันหมูลงเกลี่ยสัมผัสกับความร้อนก่อน เดี๋ยวนี้พวกมาเฟียคงมีเวลาว่างกันมาก เลยชอบมากวนประสาทชาวบ้าน คาชาที่กลายเป็นอากาศธาตุทั้งที่ได้รับความสำคัญอยู่เสมอ สีหน้าของแขกหนุ่มจึงไม่ค่อยน่าดู เขาเดินไปนั่งลงบนโต๊ะอาหาร สำรวจการแต่งกายที่แปลกตาของหญิงสาวขึ้นๆ ลงๆ

มือที่ไวกว่าความคิดยื่นไปวางบนก้นของเธอ มาเบลเหลือกตาโตเดี๋ยวนั้นรีบปัดออก

“คุณมีธุระอะไรกันแน่”

“ฉันก็แค่มาเยี่ยมลูกหนี้ แล้วก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เธอยอมเป็นของฉันแล้ว ต่อไปก็ดูแลฉันให้ดีด้วยสิ”

“ใครยอมเป็นของคุณ พูดให้มันชัดเจนนะ…”

ทั้งสองตั้งหน้าจะลับฝีปากกัน พอได้ยินเสียงฝีเท้าเด็กน้อยที่ลงไปทิ้งขยะกลับมาแล้ว ก็จบบทสนทนาไว้เพียงแค่นั้น มาวินรีบไปล้างมือให้สะอาดก่อนค่อยมานั่งร่วมโต๊ะ พอเห็นว่าคาชาก็อยู่ด้วยจึงหันไปถามกับมาเบลทันทีว่า

“พี่เบล คุณลุงเขาก็จะกินหมูกระทะกับเราด้วยเหรอ”

“อุ๊บ! แค่กๆ”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ