เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ในบ้านใหญ่ตระกูลหลิว เสียงถ้วยชากระทบจานรองดังกังวานในห้องโถงกลาง หัวเฉินหรูนั่งจิบชาอย่างสงบตรงโต๊ะไม้ ขณะที่หลิงเมิ่งเหยายืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า
“แม่...ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาเอ่ยเสียงหนักแน่น “ฉันจะจ่ายค่าเช่าให้ตามที่แม่ต้องการ”
หัวเฉินหรูวางถ้วยชาลงช้าๆ สายตาเย็นชาจ้องมองลูกสะใภ้ “แล้วเธอจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย?”
“ฉันจะออกไปทำงาน” หลิงเมิ่งเหยาตอบ “แต่ถ้าฉันต้องออกไปหาเงิน ฉันคงทำงานบ้านไม่ได้เหมือนเดิม”
“แกนี่มันช่างกล้า!” หัวเฉินหรูลุกขึ้นยืนพร้อมเสียงหัวเราะเยาะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“คิดจะทิ้งงานบ้านไปทำอะไรข้างนอก? น้ำหน้าอย่างแกจะไปทำงานอะไรได้ ความรู้ก็ไม่มี ไม่เหมือนจื่อหลาน สะใภ้คนโตของฉันนะทั้งหน้าตาดี ความรู้ก็ดี หน้าที่การงานก็ดี หัดมองดูสารรูปตนเองบ้าง” น้ำเสียงดูถูกของหัวเฉินหรูทำให้หลิงเมิ่งเหยากำมือแน่น ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ยอมเหมือนเมื่อก่อน
“ถ้าแม่อยากได้ค่าเช่า ฉันก็ต้องมีรายได้” หลิงเมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นสบตาแม่สามีเป็นครั้งแรก “ฉันจะเริ่มธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ไม่ได้ไปทำอะไรเสียหาย ทำไมบ้านหลิวต้องขายหน้าด้วย”
หัวเฉินหรูนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ได้...ถ้าแกอยากจะดื้อ ฉันจะดูว่าแกจะไปได้สักกี่น้ำ แต่จำไว้ว่าถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า แกกับนังเด็กเหลือขอ ลูกของแก ต้องออกไปจากบ้านหลิวทันที”
***
คำขู่นั้นยังก้องอยู่ในหูของหลิงเมิ่งเหยา ขณะที่เธอเดินตามหวังปิงไปตามทางแคบริมคลองเก่า เธอไม่มีเวลามานั่งกลัวคำขู่ของหัวเฉินหรูอีกต่อไป ทุกย่างก้าวคือการเดินไปสู่อนาคตที่เธอต้องสร้างขึ้นมาเอง ถ้าหัวเฉินหรูคิดว่าเธอจะยอมแพ้ง่ายๆ เธอจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่าอีกฝ่ายนั้นคิดผิด
“ทางนี้ครับ” หวังปิงชี้ไปที่อาคารอิฐสีแดงเลือดนกหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ปลายทาง “โกดังของผมอยู่ที่นั่น”
หลิงเมิ่งเหยาก้มมองถุงผ้าในมือ เงินก้อนนี้ได้มาจากการเก็บหอมรอมริบและใช้สอยอย่างประหยัดมานานหลายปี ซึ่งเธอแอบเจียดมาจากค่าขนมของหลิวอันอัน ในตอนที่ค้นตู้เก่าวันนั้น เธอพบมันโดยบังเอิญ หากวันหนึ่งต้องพาลูกหนีออกจากบ้านใหญ่ เงินก้อนนี้จึงเป็นความหวังสุดท้าย แต่วันนี้ เธอตัดสินใจเอามันมาลงทุนก่อน
“คุณแน่ใจนะครับว่าจะซื้อผ้าทั้งหมดนี่?” หวังปิงหยุดเดิน หันมาถามด้วยความเป็นห่วง “เริ่มจากน้อยๆ ก่อนก็ได้นะ”
“ฉันคิดมาดีแล้วค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาส่ายหน้าเบาๆ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ถ้าไม่เริ่มตอนนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสอีก”
หวังปิงพยักหน้าเข้าใจ เขาดึงกุญแจเหล็กขึ้นมาไขประตูโกดัง เสียงลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูบานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยม้วนผ้านับร้อย วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนถึงเพดาน
หลิงเมิ่งเหยากวาดสายตามองไปยังผ้าต่าง ๆ ภาพของการเลือกผ้าในโรงงานที่ปารีส ความรู้สึกของการได้สัมผัสเนื้อผ้าคุณภาพดี แต่คราวนี้ เธออยู่ในโกดังเก่าริมคลองในเมืองซูโจว ไม่ใช่โรงงานหรูในยุโรป
“ตรงนี้เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี นำเข้าจากเซี่ยงไฮ้” หวังปิงเดินนำไปที่กองผ้าด้านใน “ราคาไม่แพงเพราะผมซื้อมาตอนที่ราคายังไม่ขึ้น แถมยังมีผ้าลายพิเศษที่โรงงานเลิกผลิตแล้วด้วย”
หลิงเมิ่งเหยายื่นมือไปสัมผัสผ้าม้วนหนึ่ง เนื้อผ้านุ่มละมุน มีลวดลายดอกไม้เล็กๆ สีพาสเทล เธอรู้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่เธอกำลังมองหา
“ผ้าพวกนี้เหมาะกับการตัดชุดสตรี โดยเฉพาะชุดทำงานที่ดูเรียบร้อยแต่ทันสมัย” เธอพูดพลางคลี่ผ้าออกดู “สมัยนี้ผู้หญิงเริ่มออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น พวกเธอต้องการชุดแบบนี้”
“คุณรู้เรื่องแฟชั่นดีจังนะครับ” หวังปิงฟังด้วยความสนใจ
“ฉัน...เคยอ่านนิตยสารแฟชั่นบ้าง” หลิงเมิ่งเหยาชะงักไปนิด ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “ขอดูผ้าสีอื่นด้วยได้ไหมคะ?”
หวังปิงพาเธอเดินดูผ้าแต่ละชนิด พร้อมอธิบายข้อดีและการใช้งาน หลิงเมิ่งเหยาเลือกผ้าอย่างพิถีพิถัน ทั้งผ้าฝ้ายเนื้อดี ผ้าลินิน และผ้าไหมธรรมชาติที่ราคาไม่แพงนัก เธอรู้ว่าต้องเริ่มจากสินค้าที่คนทั่วไปซื้อได้ก่อน
“ทั้งหมดนี้...” หวังปิงคำนวณตัวเลขในกระดาษ “ราคาปกติคงต้องแพงกว่านี้ แต่เพราะคุณซื้อครั้งละมากๆ ผมจะลดให้เป็นพิเศษ”
“นี่คือทั้งหมดที่ฉันมี ส่วนที่เหลือฉันขอมาจ่ายทีหลังได้ไหม” หลิงเมิ่งเหยายื่นถุงเงินให้เขา
หวังปิงนิ่งไป สายตาจับจ้องที่ถุงเงิน เกิดความเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จนหลิงเมิ่งเหยารู้สึกราวกับหัวใจจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“คุณมีประสบการณ์เรื่องการตัดเย็บมาก่อนหรือเปล่า?” เขาถามขึ้นในที่สุด
“เคยทำมาหลายปีค่ะ” เธอตอบ น้ำเสียงหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย
“งั้น...ผมจะให้คุณผ่อนจ่ายส่วนที่เหลือ แล้วค่อยๆ หักจากกำไรที่คุณขายของได้ ยังไงผ้าพวกนี้ก็อยู่ในโกดังผมมานาน ถึงเวลาที่มันควรได้เปลี่ยนมือไปสร้างประโยชน์บ้างแล้ว” หวังปิงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยื่นข้อเสนอ
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของหลิงเมิ่งเหยา นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รู้สึกว่าโชคชะตากำลังเข้าข้างเธอ
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอก้มศีรษะให้เขา “ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”
หลังจากที่ได้ผ้ามาจากหวังปิง หลิงเมิ่งเหยาก็จ้างรถให้มาส่งที่บ้าน เธอไม่ต้องทำงานบ้านและทำอาหารให้กับคนในบ้านใหญ่อีกต่อไป ส่วนใครจะทำนั่นไม่ใช่เรื่องของเธอ เพราะหน้าที่ของเธอตอนนี้คือหาเงินให้ได้มากที่สุด
หลิงเมิ่งเหยานั่งอยู่หน้าจักรเย็บผ้าที่หวังปิงให้ยืมมา เธอต้องลงมือปลุกปล้ำกับเจ้าจักรเย็บผ้ารุ่นเต่าล้านปีอยู่เกือบเป็นชั่วโมง กว่าจะเข้าใจการทำงานและใช้อย่างคล่องมือ โชคยังดีที่เธอพอมีความรู้พวกนี้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงยังเริ่มงานตัดเย็บไม่ได้ในทันทีเหมือนกัน
“คุณเอาใช้ไปก่อนเถอะ” คำพูดของหวังปิงยังก้องอยู่ในหัว “ก็คุณเพิ่งบอกว่าไม่มีจักรเย็บผ้า แต่คุณเหมาผ้าไปมากมายขนาดนั้น แล้วคุณยังติดหนี้ค่าผ้าผมอยู่ไม่น้อย ถือว่าผมสนับสนุนให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น ผมก็จะได้เงินเร็วขึ้นเช่นกัน” น้ำใจของเขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ ท่ามกลางความหนาวเหน็บของชีวิตที่ต้องเผชิญ
หลิวอันอันนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ข้างแม่ มือน้อยๆ พยายามช่วยเก็บเศษผ้าที่ร่วงหล่น แต่ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงทีละน้อย เด็กน้อยสะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุน
“แม่คะ” เสียงหวานใสเอ่ยขึ้น “ชุดนี้สวยจัง ดอกไม้ตรงคอเสื้อเหมือนในสวนของเราเลย”
หลิงเมิ่งเหยาชะงักมือที่กำลังจัดผ้า หันมายิ้มให้ลูกสาว “จริงด้วยจ้ะ แม่ตั้งใจทำให้มันสวยเหมือนดอกไม้ที่เราปลูกไว้ด้วยกัน”
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบสองทุ่ม เสียงหาวของหลิวอันอันดังขึ้นเบาๆ เด็กน้อยพยายามต่อสู้กับความง่วง แต่เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง
“อันอัน...” หลิงเมิ่งเหยาวางมือจากงานตรงหน้า โอบร่างเล็กที่เอนพิงมา “หลับแล้วเหรอจ๊ะ”
ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงลมหายใจสม่ำเสมอของเด็กน้อยที่หลับไปแล้ว ใบหน้ากลมซุกอยู่กับไหล่แม่ หลิงเมิ่งเหยาก้มลงจูบที่หน้าผากลูกเบาๆ ก่อนจะอุ้มบุตรสาวไปวางบนเตียง
“ฝันดีนะลูก” เธอกระซิบพลางห่มผ้าให้ มองดูใบหน้าที่หลับสนิทด้วยความรัก ก่อนจะกลับไปนั่งที่จักรเย็บผ้า
เสียงฝีจักรดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เบาลงเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของลูก หลิงเมิ่งเหยาจัดแต่งดอกไม้ผ้าเล็กๆ บนปกเสื้อ นึกถึงคำพูดของลูกสาว ดอกไม้พวกนี้ไม่ใช่แค่ลวดลายธรรมดา แต่เป็นความหวังเล็กๆ ที่กำลังผลิบาน เหมือนดอกไม้ในสวนที่พวกเธอช่วยกันปลูก
เสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดิน หลิงเมิ่งเหยาชะงัก เงาของแม่สามีลอดผ่านช่องประตู แต่คราวนี้อีกฝ่ายเดินผ่านไปโดยไม่หยุด หลิงเมิ่งเหยาถอนหายใจโล่งอก หันกลับมามองผลงานตรงหน้า
ชุดทำงานสีฟ้าอ่อนที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างวางพาดอยู่บนโต๊ะ มันดูเรียบง่ายแต่งดงาม ดอกไม้เล็กๆ ที่ปกคอเสื้อเหมือนกำลังส่งยิ้มให้กำลังใจ ราวกับบอกว่าความพยายามของเธอจะต้องสำเร็จ
หลิงเมิ่งเหยามองลูกสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง แล้วกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า เธอรู้ว่าความฝันของเธอไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นความหวังของลูกสาวด้วย และเธอจะไม่ยอมให้ความหวังนั้นดับลง
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?