หลังจากการเผชิญหน้าที่หนักหนากับแม่สามีเมื่อคืน หลิงเมิ่งเหยาตัดสินใจออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อสงบสติอารมณ์ เธอรู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งต่อไปเกี่ยวกับค่าเช่าบ้านจะต้องเกิดขึ้น แต่เธอต้องการเวลาในการคิดหาวิธีรับมือ เส้นทางเดินที่นำเธอมายังตลาดเก่าซูโจวเป็นเหมือนทางออกชั่วคราวที่ช่วยให้เธอหลบหนีความตึงเครียดได้สักพัก
เสียงอึกทึกของตลาดเก่าซูโจวดังก้องไปทั่วบริเวณ แผงลอยเรียงรายแน่นขนัดตลอดสองข้างทาง ทางเดินแคบๆ ที่ปูด้วยอิฐเก่าถูกล้อมด้วยผู้คนมากมาย บ้างกำลังเลือกซื้อของ บ้างกำลังต่อรองราคา บรรยากาศยามเช้าชวนให้หลิงเมิ่งเหยารู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาที่ขัดแย้งกับความกังวลภายในใจ
เธอยืนอยู่หน้าแผงผ้าสีสันสดใสที่ตัดกับความจืดชืดในชีวิตของเธอ สายตาของหลิงเมิ่งเหยาจับจ้องผ้าฝ้ายลายดอกไม้ผืนหนึ่ง การออกจากบ้านในเช้าวันนี้คือการตัดสินใจครั้งสำคัญ เธอไม่สนใจว่าแม่สามีจะบ่นจะดุด่าที่ไม่ทำงานในบ้านเหมือนตามปกติ
“นี่คุณ…ชอบผ้าผืนนี้หรือ?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง หลิงเมิ่งเหยาสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองเจ้าของเสียง ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย แต่ดูสะอาดสะอ้านยืนอยู่ตรงนั้น เขาคือหวังปิง พ่อค้าผ้าที่มีชื่อเสียงในตลาดเก่า ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเป็นมิตร แฝงด้วยความจริงจังในแววตา
“ฉัน…กำลังดูอยู่ค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาตอบเบาๆ พร้อมพยักหน้า เธอยังไม่คุ้นเคยกับการสนทนากับคนแปลกหน้า แต่สายตาที่จริงใจของหวังปิงทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หวังปิงเดินเข้ามาใกล้ แววตาของเขาสำรวจผ้าผืนที่เธอถืออยู่ “ผืนนี้เหมาะกับการตัดชุดสตรีเลยนะ สีสดใสแต่ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป คุณคิดเหมือนกันไหม?”
“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าสีนี้จะทำให้คนใส่ดูสดชื่นขึ้น” หลิงเมิ่งเหยาพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันเคยทำงานด้านการออกแบบ แต่ยังไม่เคยลองออกแบบด้วยผ้าแบบนี้มาก่อน…ฉันเลยอยากเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
หวังปิงหัวเราะเบาๆ “ถึงคุณจะมีประสบการณ์ด้านการออกแบบ แต่การลองใช้ผ้าแบบใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าสนุก ถ้าคุณสนใจจะทำเสื้อผ้า ผมยินดีช่วยแนะนำเรื่องผ้ากับแหล่งตัดเย็บที่น่าเชื่อถือให้คุณได้”
หลิงเมิ่งเหยามองเขาด้วยความแปลกใจ “คุณจะช่วยฉันจริงๆ หรือคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความไม่เชื่อมั่น การที่ใครสักคนเสนอตัวช่วยโดยไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงดูเหมือนจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอ
“แน่นอนครับ” หวังปิงตอบด้วยรอยยิ้ม “ผมเชื่อว่าการเริ่มต้นเล็กๆ อาจนำไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้าคุณมีความตั้งใจ”
คำพูดของเขาทำให้หัวใจของหลิงเมิ่งเหยาอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีคนที่พร้อมยื่นมือช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน หลิงเมิ่งเหยาสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยด้วยความจริงใจ “ขอบคุณมากค่ะ”
หวังปิงพยักหน้า “คุณค่อยๆ ตัดสินใจก็ได้ ลองคิดดูว่าอยากเริ่มจากตรงไหน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็มาหาผมได้ทุกเมื่อ ผมอยู่ที่นี่ทุกวัน”
เสียงจากแผงลอยดังขึ้นอีกครั้ง หลิงเมิ่งเหยามองผ้าผืนสวยในมือ ก่อนจะเงยหน้ามองหวังปิงที่กำลังช่วยลูกค้าคนอื่น เธอรู้สึกถึงประกายแห่งความหวังที่เริ่มส่องแสงในชีวิตใหม่ของเธอ
หลิงเมิ่งเหยาเดินกลับเข้ามาในบ้าน ความรู้สึกเป็นสุขที่ได้จากการเดินตลาดถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศตึงเครียดทันทีที่ก้าวเท้าเข้าเรือนตะวันตก เสียงของหัวเฉินหรูดังแว่วมาแต่ไกล ทำให้เธอต้องหยุดหายใจชั่วขณะ
“หลิงเมิ่งเหยา! ทำไมกลับมาช้าขนาดนี้? คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เที่ยวเล่นสบายๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไง?” เสียงแหลมของแม่สามีดังสะท้อนออกมาจากห้องโถงกลาง
“ฉันไปตลาดมาค่ะ…” หลิงเมิ่งเหยาตอบเบาๆ
“ตลาด? ไปทำอะไร? หรือว่าแค่เดินเล่นอย่างเดียว? เสียเวลาเปล่าอีกแล้ว?” หัวเฉินหรูเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาเย็นชาจับจ้องเธอราวกับเหยื่อที่ไม่มีทางหนี
“ฉันไปดูผ้าค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาพยายามอธิบาย แต่แม่สามีกลับยิ้มเยาะ
“ดูผ้า? แล้วเอาเงินจากไหนไปซื้อ? หรือว่าเธอขโมยเงินของฉันไป”
ความอับอายและความโกรธที่ต้องเก็บกลั้นไว้ทำให้หลิงเมิ่งเหยาเม้มริมฝีปากแน่น เธอรู้ดีว่าการโต้กลับไปในตอนนี้มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง
“ฉันคิดแล้วว่า ต่อไปถ้าเธอกับลูกจะอยู่ที่บ้านหลิว ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านทุกเดือน ถ้าไม่มีจ่ายก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นซะ!” หัวเฉินหรูยังคงพูดต่อ แต่ละประโยคเต็มไปด้วยความเย็นชาและความกดดัน
เสียงฝีเท้าของหลิวอันอันดังขึ้นจากด้านหลัง หลิงเมิ่งเหยาหันกลับไปมองลูกสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงประตู ใบหน้าซีดขาวของหลิวอันอันฉายแววกังวล เธอรีบก้าวเข้ามายืนข้างแม่ กุมมือของหลิงเมิ่งเหยาแน่น
“ย่า…หนูจะช่วยแม่ทำงานค่ะ” หลิวอันอันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่คำพูดของเด็กน้อยกลับทำให้หัวเฉินหรูยิ้มเยาะกว่าเดิม
“ช่วยอะไร? ตัวแค่นี้จะทำอะไรได้? แค่กินข้าวเปล่าก็เกินพอแล้ว” แม่สามีเอ่ยพลางจ้องมองหลิวอันอันอย่างรังเกียจ
หลิงเมิ่งเหยาสูดหายใจลึก พยายามรวบรวมสติ เธอก้มลงกอดหลิวอันอันแน่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “ฉันขอโทษค่ะที่กลับมาช้า…ฉันจะไปเตรียมอาหารเช้าให้เดี๋ยวนี้”
หัวเฉินหรูหรี่ตามองเธอ ราวกับยังไม่พอใจกับคำตอบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หลิงเมิ่งเหยาพาหลิวอันอันเดินเข้าไปในครัว เธอรู้ว่าช่วงเวลาสงบสุขในเช้านี้จบลงแล้ว และเธอต้องเผชิญหน้ากับความตึงเครียดในบ้านใหญ่ต่อไป
ในครัว หลิงเมิ่งเหยามองดูวัตถุดิบ เครื่องปรุงที่เหลือเพียงน้อยนิด ข้าวสารและผักดองที่ถูกเก็บไว้ในมุมหนึ่งของห้อง เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองหลิวอันอันที่กำลังช่วยล้างผัก
“แม่…เราจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานไหมคะ?” หลิวอันอันถามพลางเงยหน้ามองแม่ ดวงตาใสบริสุทธิ์ของเด็กน้อยทำให้หัวใจของหลิงเมิ่งเหยาเจ็บปวด
“ไม่หรอกจ้ะ…สักวันเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น…” หลิงเมิ่งเหยาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง แม้ในใจเธอยังเต็มไปด้วยความกังวล แต่เธอต้องให้กำลังใจลูกสาว เธอสัญญากับตัวเองว่าจะหาทางพาหลิวอันอันออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ในตอนบ่าย หลิงเมิ่งเหยาและหลิวอันอันช่วยกันจัดเก็บของในครัว หลิงเมิ่งเหยาลองนำเศษผ้าบางส่วนที่เหลือจากตลาดมาเย็บเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก แต่เธอกลับพบว่าการทำงานด้วยเครื่องมือพื้นฐานในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องยากกว่าที่คิด เข็มและด้ายที่ใช้ไม่คมพอ รวมถึงไม่มีกรรไกรที่ตัดได้เรียบกริบเหมือนอุปกรณ์ในสตูดิโอของเธอในอดีต
หลิวอันอันนั่งอยู่ข้างๆ คอยช่วยแม่ถือเข็มกับด้าย เด็กน้อยแอบยิ้มเมื่อเห็นความตั้งใจของแม่ที่ไม่ลดละ แม้ผลงานแรกจะดูไม่สมบูรณ์
แสงจันทร์อ่อนโยนสาดส่องลงมาทั่วเรือนตะวันตก หลิงเมิ่งเหยานั่งอยู่ริมหน้าต่างไม้เก่าที่เริ่มผุพัง เธอจ้องมองออกไปยังสวนหลังบ้านที่เคยสวยงาม แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยวัชพืชและความทรุดโทรม ความคิดในหัวของเธอหมุนวนอย่างไม่หยุดยั้ง
ความกดดันและคำพูดดูถูกที่แม่สามีโยนใส่เธอยังคงดังสะท้อนในใจ หากยังอยู่ที่นี่ ชีวิตของเธอกับหลิวอันอันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง หลิวอันอันเดินเข้ามาหาแม่ พร้อมกับยื่นกระดาษวาดรูปที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันให้เธอ
“แม่…หนูวาดรูปนี้ให้ค่ะ” เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดอกไม้พวกนี้…หนูอยากให้เรามีสวนที่สวยงามอีกครั้ง…เหมือนในรูปค่ะ”
หลิงเมิ่งเหยารับกระดาษนั้นมาดูอย่างตั้งใจ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้แต่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หลิวอันอันยังคงมีความหวังและความฝัน เธอกอดลูกสาวแน่น
“แม่สัญญา…เราจะมีสวนที่สวยงามแบบนี้ให้ได้…” หลิงเมิ่งเหยากระซิบ พลางลูบหัวหลิวอันอันเบาๆ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถรอให้ความช่วยเหลือมาถึง เธอต้องเป็นคนสร้างความเปลี่ยนแปลงเอง
เมื่อลูกสาวเข้านอน หลิงเมิ่งเหยานั่งลงที่โต๊ะไม้เก่าตัวเล็กๆ กลางห้อง มือถือดินสอพร้อมกับสมุดจดบันทึกที่เจอตอนสำรวจห้องเมื่อวาน เธอเริ่มร่างแผนการในใจ เส้นดินสอที่ลากผ่านกระดาษแต่ละเส้นนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความหวัง สายตาจดจ่อกับตัวอักษรราวกับกำลังวาดฝันให้เป็นจริง
แรกสุด เธอต้องกลับไปหาหวังปิง พ่อค้าผ้าที่ดูจะเป็นความหวังเดียวในการเริ่มต้นใหม่ เขาอาจมีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับเนื้อผ้าและแนวโน้มตลาด ถัดมา เธอจำเป็นต้องหาร้านตัดเย็บที่ไว้ใจได้ ที่จะเข้าใจวิสัยทัศน์และความฝันของเธอ
สุดท้าย เธอวางแผนเริ่มจากงานเล็กๆ ก่อน ทำเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นเพื่อทดลองตลาด ต่อจากนี้ทุกก้าวต้องรอบคอบ เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะพาลูกสาวออกจากความทุกข์ยาก
เสียงลมพัดผ่านหน้าต่าง ทำให้ผ้าม่านสีซีดปลิวไหว หลิงเมิ่งเหยามองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวที่ระยิบระยับราวกับเป็นสัญญาณแห่งความหวัง
“ว่านอี้ หนักกว่านี้ฉันก็เคยมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ ฉันจะไม่ยอมแพ้” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ ความมุ่งมั่นในน้ำเสียงสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในจิตใจ
ค่ำคืนนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ในชีวิตหลิงเมิ่งเหยา และไม่ว่าอุปสรรคจะมากมายเพียงใด เธอก็พร้อมจะต่อสู้
“ลองดูกันสักตั้งสิ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?