เข็มนาฬิกาโบราณในเรือนตะวันตกเดินผ่านเลขเจ็ดไปได้ไม่นาน เสียงจักรเย็บผ้าเก่าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แทรกผ่านความเงียบยามเช้าของบ้านตระกูลหลิว มือบางของหลิงเมิ่งเหยาประคองผ้าไหมสีครามให้เคลื่อนผ่านฟันจักรอย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วที่เคยบอบช้ำจากการซักผ้าและงานบ้านหนักๆ บัดนี้เริ่มชินกับการสัมผัสเนื้อผ้านุ่มละมุน
เธอแอบจัดมุมเล็กๆ ในห้องของตนให้เป็นที่ทำงาน โดยวางจักรเย็บผ้าไว้ใกล้หน้าต่างบานเก่าที่มองเห็นสวนหลังบ้านได้พอดี สวนที่เธอกับหลิวอันอันช่วยกันปลูกดอกไม้ ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังจากการเผชิญหน้าอันดุเดือดกับหัวเฉินหรู เงินก้อนแรกที่ได้จากหลานอิงทำให้เธอสามารถจ่ายค่าเช่าให้แม่สามีได้ทันที การร่วมงานของเธอกับหลานอิงเป็นไปอย่างราบรื่น ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมาที่แผงในตลาดอีกต่อไป พวกเขาสามารถไปวัดตัวที่บ้านของหลานอิงได้เลย การทำงานจึงรวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หลิงเมิ่งเหยาวางมือบนผ้าที่เพิ่งเย็บเสร็จ นิ้วเรียวสัมผัสความเรียบของตะเข็บ ดวงตาของเธอทอประกายความภูมิใจขณะมองชุดใหม่ที่แขวนเรียงรายอยู่บนราวไม้ไผ่ แต่ละชุดที่ตัดเย็บออกมาเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความพิถีพิถัน เสียงชมเชยของลูกค้าคนแรกที่ดังก้องอยู่ในหู ทำให้เธอยิ้มน้อยๆ ลูกค้าสาวคนนั้นชอบชุดของเธอมากและนำไปเล่าต่อที่ทำงาน จนตอนนี้มีคิวจองยาวไปถึงสามเดือน
หลิวอันอันนั่งอยู่ที่มุมห้อง กำลังวาดรูปบนกระดาษแผ่นเก่า เด็กน้อยดูมีความสุขเมื่อได้เห็นแม่ทำงานที่รัก ไม่ต้องคอยหลบสายตาดุดันของย่าอีกต่อไป ช่างตัดเย็บคนใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามาอีกสองคนนั้นช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก พวกเขามีจักรเย็บผ้าของตนเอง แค่มารับงานไป เอางานมาส่งก็รับเงิน ความสัมพันธ์แบบนี้ดีกับทุกฝ่าย แม้จะยังไม่คุ้นเคยกับงานนัก แต่ความตั้งใจของพวกเขาทำให้หลิงเมิ่งเหยารู้สึกอุ่นใจ
เมื่อวานตอนเย็น หลานอิงนำข่าวจากเหม่ยจูมาบอกว่า วันนี้ให้หลิงเมิ่งเหยาไปพบที่แผงในตลาดตอนเก้าโมงเช้า เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุย และที่แปลกกว่านั้นคือ เหม่ยจูกำชับมาว่าไม่ให้พาหลิวอันอันไปด้วย หลิงเมิ่งเหยาได้แต่ครุ่นคิดว่าเรื่องสำคัญที่ว่านั้นคืออะไร ทำไมถึงต้องลึกลับเพียงนี้
“แม่คะ” เสียงใสของหลิวอันอันดังขึ้น เด็กน้อยวางสมุดวาดรูปลง เดินมาหาแม่ที่จักรเย็บผ้า “วันนี้หนูอยู่กับป้าหลานได้ค่ะ หนูจะเป็นเด็กดี”
“แม่รู้ว่าลูกเป็นเด็กดีอยู่แล้ว” หลิงเมิ่งเหยายิ้มบางๆ มือลูบผมลูกสาวแผ่วเบา ก้มลงจูบที่หน้าผากของหลิวอันอัน ก่อนจะกลับไปสนใจผ้าที่กำลังเย็บต่อ แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าข่าวที่เหม่ยจูจะบอกนั้นสำคัญขนาดไหน
เวลาผ่านไปช้าๆ ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงจักรเย็บผ้าที่ดังเป็นจังหวะ เมื่อนาฬิกาโบราณบอกเวลาใกล้เก้าโมง หลิงเมิ่งเหยาจึงวางมือจากงาน เธอเลือกชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้มที่เพิ่งตัดเสร็จมาสวม เธอรวบผมยาวเป็นมวยเรียบร้อย สูดหายใจเข้าลึกเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ก่อนจะก้าวออกจากเรือนตะวันตกแล้วมุ่งหน้าสู่ตลาด
ตลาดยามเช้าคึกคักด้วยเสียงต่อรองราคา หลิงเมิ่งเหยาเดินผ่านแผงขายผักสด ร้านขายเนื้อ และแผงขนมหวานที่เรียงรายสองข้างทาง เสียงเด็กร้องไห้งอแงดังแว่วมาจากไกลๆ ผสานกับเสียงพ่อค้าแม่ค้าที่ตะโกนเรียกลูกค้า
“พี่เหม่ยจู” หลิงเมิ่งเหยาทักทายพร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้แผงผักของเหม่ยจูที่กำลังชั่งมะเขือให้ลูกค้า พยายามทำตัวให้ดูมั่นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกังวลและอยากรู้ “เรื่องที่ฝากบอกมามันคืออะไรกันแน่คะ บอกไม่หมดแบบนี้ ทำเอาฉันนอนไม่หลับเลย”
เหม่ยจูเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนเสาไม้ริมทางเดิน แววตาเป็นประกาย “รออีกนิดเถอะ ถ้าพี่บอกก่อน มันก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ”
มือหยาบกร้านของหลี่เหม่ยจูคว้าแขนหลิงเมิ่งเหยาให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กข้างแผง หลิงเมิ่งเหยาสังเกตเห็นว่าหลี่เหม่ยจูมีท่าทีกระสับกระส่ายผิดปกติ สายตาของหญิงสาวกวาดมองไปรอบๆ บ่อยครั้ง ราวกับรอคอยใครบางคน
“พี่เหม่ยจู ทำไมพี่ต้องมีลับลมคมในขนาดนี้ด้วย?”
“รอหน่อย ยังไม่ถึงเวลา” เหม่ยจูว่าพลางจัดเรียงผักในแผง ก่อนจะเหลือบมองชุดที่แขวนอยู่บนราวไม้ไผ่ “ว่าแต่ มีชุดใหม่ๆ ออกมาอีกไหม ตอนนี้ที่เอามาขายก็แทบไม่พอขายแล้ว ถ้าเธอบอกว่าชุดพวกนี้ไม่ขาย แต่ให้เป็นแบบตัวอย่าง พี่คงไม่เหลือชุดให้ลูกค้าดูแล้ว” เหม่ยจูขยิบตาให้กับเพื่อนรุ่นน้อง พลางชี้ไปยังชุดกี่เพ้าสีแดงที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่สาวๆ ช่วงนี้
“โหย พี่เหม่ยจู แค่นี้ฉันก็ตัดไม่ทันแล้ว ฉันละอยากมีโรงงานมาช่วยตัดเสียจริง” หลิงเมิ่งเหยาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะบ่นมาหนึ่งคำรบ น้ำเสียงทั้งดีใจและกังวลปะปนกัน
ความภูมิใจผุดขึ้นในอกเมื่อเห็นผลงานของตัวเองแขวนเรียงราย แต่ในขณะเดียวกันก็อดกังวลไม่ได้ การใช้จักรเย็บผ้าในครัวเรือนช่วงเปิดประเทศใหม่ๆ แบบนี้ช่างลำบากเหลือเกิน จะให้ไปจ้างโรงงาน ทุนก็ไม่มีพอ แค่ทุกวันนี้เงินที่จะต้องจ่ายให้หลานอิงกับหวังปิงก็เยอะแล้ว ไหนจะค่าใช้จ่ายและค่าเช่าในอนาคตอีก คิดแล้วก็ปวดหัว
“แต่เธอก็ทำได้ดีนะ” เหม่ยจูพูดพลางยิ้มอย่างภูมิใจ “ใครจะคิดว่าแค่สองเดือน ชื่อเสียงของเธอจะดังไปทั่วตลาดขนาดนี้”
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับเงาร่างสูงใหญ่ที่ทาบทับลงบนพื้น หลิงเมิ่งเหยารู้สึกถึงการมาเยือนของผู้มาใหม่ เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น
“ถ้าผมจะเป็นคนลงทุนให้ คุณสนใจจะทำธุรกิจกับผมไหม?”
หลิงเมิ่งเหยาหันไปตามเสียงทุ้มนุ่ม ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ ชายหนุ่มในชุดสูทหรูยืนสง่าอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของตลาดเช้า
ใบหน้าคมคายแบบบุรุษจีนแผ่นดินใหญ่แต่แฝงกลิ่นอายความทันสมัย ดวงตาคมกริบทอประกายอ่อนโยนใต้คิ้วเข้ม ท่วงท่าการยืนและการเคลื่อนไหวบ่งบอกถึงการศึกษาจากต่างประเทศ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงอ่อนๆ รวมกับความสะอาดสะอ้านของเสื้อผ้า ยิ่งทำให้เขาโดดเด่นท่ามกลางผู้คนในตลาด เขามากับชายอีกคนที่ยืนเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย
“คะ...คุณว่าอะไรนะคะ?” เสียงของหลิงเมิ่งเหยาสั่นอย่างไม่แน่ใจ สมองพยายามประมวลผลคำพูดที่เพิ่งได้ยิน
“เมิ่งเหยา คุณชายเฉินถามว่า สนใจจะร่วมทำธุรกิจกับเขาไหมน่ะ” เหม่ยจูเป็นคนตอบคำถามนี้เอง
“หมายความว่ายังไง” หลิงเมิ่งเหยายังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เมิ่งเหยา” เหม่ยจูแทรกขึ้น น้ำเสียงอบอุ่นและภูมิใจ “พี่ขอแนะนำให้รู้จักกับคุณชายเฉิน เฉินเจิ้งหยวน นี่แหละคือข่าวดีที่พี่อยากบอกเธอ”
เหม่ยจูว่าแล้วก็หันไปหาเฉินเจิ้งหยวน พร้อมกับเอ่ยแนะนำหลิงเมิ่งเหยา “คุณชายเฉินคะ นี่น้องสาวฉันเองค่ะ เจ้าของแผงขายเสื้อผ้าที่คุณชายเฉินสนใจ เธอมีชื่อว่าหลิงเมิ่งเหยาค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณหลิงเมิ่งเหยานะครับ” เฉินเจิ้งหยวนค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณชายเฉิน” หลิงเมิ่งเหยาลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆ กังๆ มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน เธอโค้งคำนับเล็กน้อย
“ขอบคุณคุณหลี่เหม่ยจูมากนะครับที่ช่วยนัดให้ เอาเป็นว่า...เราไปคุยรายละเอียดกันที่ร้านน้ำชาตรงหัวมุมนั้นดีไหมครับ?” เขาชี้ไปยังร้านน้ำชาเก่าแก่ที่อยู่ไม่ไกล
หลิงเมิ่งเหยาหันไปมองเหม่ยจูด้วยสายตาขอความเห็น เมื่อเห็นเหม่ยจูพยักหน้าให้ เธอจึงตอบตกลงเบาๆ
“เชิญค่ะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?