“เอาไปฝากยัยหนูอันอันด้วย” หลี่เหม่ยจูยื่นส้มให้ “เด็กๆ ชอบส้มหวานๆ กันทั้งนั้นแหละ แถวนี้ส้มร้านพี่หวานที่สุดแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ พี่เหม่ยจู” หลิงเมิ่งเหยารับส้มมาถือไว้ สายตามองร่างของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง คนที่ไม่เคยมองข้ามความทุกข์ของผู้อื่น แม้ตัวเองจะมีชีวิตที่ลำบากไม่ต่างกัน
“รีบไปรับลูกเถอะ” หลี่เหม่ยจูบอก พลางหันไปต้อนรับลูกค้าที่เพิ่งเดินมา “แล้วอย่าลืมเอาชุดใหม่ๆ มาให้พี่ดูด้วยนะ”
หลิงเมิ่งเหยาพยักหน้าก่อนจะเดินจากไป ในตลาดเก่าแห่งนี้ นอกจากความวุ่นวายจอแจ ยังมีมิตรภาพที่งอกเงยเหมือนต้นไม้เล็กๆ ที่แทรกตัวขึ้นมาระหว่างซอกอิฐ ไม่โดดเด่น แต่แข็งแกร่งและมั่นคง
หลิงเมิ่งเหยาถือส้มสองลูกที่ได้จากเหม่ยจูเดินเข้าไปในบ้านของหลานอิง หญิงสาวแทบอดใจไม่ไหวที่จะส่งข่าวดีให้กับเพื่อนรุ่นพี่ได้รับฟังและร่วมยินดี
ในห้องทำงานเล็กๆ หลานอิงกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับผ้าผืนใหญ่บนโต๊ะตัดเย็บ เธอตัดผ้าอย่างคล่องแคล่วตามรอยชอล์กที่ขีดไว้ ไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของหลิงเมิ่งเหยาที่ยืนอยู่ตรงประตู
“พี่หลานอิง ฉันมีข่าวดีค่ะ!” หลิงเมิ่งเหยาเปล่งเสียงออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ วางส้มสองลูกลงบนโต๊ะข้างๆ
หลานอิงละมือจากงานตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมองคนที่เธอรักดุจน้องสาวด้วยความประหลาดใจ กรรไกรในมืออีกข้างถูกวางลงอย่างแผ่วเบา
“ข่าวดีอะไร ข่าวดีของวันนี้ใช่ไหม” น้ำเสียงของเธอแฝงรอยยิ้มและความอยากรู้อยากเห็น
“ใช่แล้วค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาจูงมือหลานอิงไปนั่งที่เก้าอี้ไม้เก่าตัวโปรด หลิวอันอันที่เดินตามมาติดๆ นั่งลงข้างผู้เป็นแม่ ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความสนใจ
ความรู้สึกอบอุ่นและความตื่นเต้นเอ่อท้นในอกของหลิงเมิ่งเหยา ห้องเล็กๆ ที่เคยเป็นที่พักพิงยามทุกข์ใจ กำลังจะกลายเป็นที่แบ่งปันความสุขครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอ
หลิงเมิ่งเหยาสูดหายใจเข้าลึก เธอเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พลางกุมมือของหลานอิงแน่นขึ้นเล็กน้อย
“พี่หลานอิงรู้ไหมคะ วันนี้ฉันไปเจอใครมา” ดวงตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับ ภาพเหตุการณ์ในตอนบ่ายยังชัดเจนในความทรงจำ “คุณชายเฉินค่ะ เขาเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่ส่งขายทั้งในและนอกประเทศ”
หลานอิงขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น สายตาจับจ้องใบหน้าของหลิงเมิ่งเหยาที่เปล่งประกายด้วยความสุข
“เขาสนใจแบบของร้านเรา” หลิงเมิ่งเหยาเล่าต่อด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม “เขาเลยเสนอให้ฉันออกแบบแล้วเอาไปขายให้เขา ได้เงินตั้งหนึ่งร้อยหยวนต่อแบบเลยนะคะ แล้วยังให้ส่วนแบ่งจากยอดขายอีก ร้อยละสองด้วย สัญญาจ้างตั้งตั้งสิบปีแน่ะค่ะ”
หลานอิงยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะก้มลงมองหลิวอันอันที่นั่งซุกตัวอยู่ข้างหลิงเมิ่งเหยา
“อันอัน ได้ยินไหมลูก แม่ของเราจะรวยแล้วนะ” น้ำเสียงของเธอตื่นเต้นไปกับข่าวที่เพิ่งได้ยิน
หลิวอันอันเงยหน้าขึ้นมองแม่ ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยระคนดีใจ
“เราจะรวยแล้วเหรอคะแม่” เสียงใสของเด็กน้อยทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความสุข
หลิงเมิ่งเหยาโอบกอดลูกสาว เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“ใช่จ้ะ ต่อไปอันอันของแม่ก็จะได้ไปโรงเรียน แล้วก็มีอาหารอร่อยๆ กินแล้ว ดีใจไหมจ๊ะ”
“ดีใจค่ะ หนูอยากไปโรงเรียน” คำตอบของเด็กน้อยทำให้สองคนหันมาสบตากัน รอยยิ้มแห่งความสุขและความหวังปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่
ขณะที่เสียงหัวเราะและความยินดียังไม่ทันจางหาย หลานอิงค่อยๆ หยิบส้มลูกหนึ่งขึ้นมาปอก เธอแบ่งส้มให้หลิวอันอันกินหนึ่งกลีบ มองดูเด็กน้อยเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะค่อยๆ เลือนหาย
ในขณะที่หลิวอันอันกับหลิงเมิ่งเหยายังคงพูดคุยถึงความฝันในวันข้างหน้า หลานอิงกลับจมลึกลงไปในห้วงความคิด มือที่ถือกลีบส้มค้างนิ่ง สายตาเหม่อลอยมองผ่านหน้าต่างบานเก่าออกไป ความคิดมากมายเริ่มวนเวียนในหัว เสียงพูดคุยรอบข้างค่อยๆ เบาลงจนแทบจะหายไป เหลือเพียงเสียงพัดลมเพดานที่หมุนเอื่อยๆ
ความกังวลที่เธอพยายามเก็บงำไว้ค่อยๆ ผุดขึ้นในดวงตา
หลิงเมิ่งเหยาที่กำลังเล่าถึงแผนในอนาคตชะงักกลางคัน เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของผู้มีพระคุณ
“เมิ่งเหยา...ถ้าเราเอาแบบไปขายให้กับคุณชายเฉินแล้ว ...แล้วพี่ล่ะ” หลานอิงเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงด้วยความลังเล ดวงตาฉายแววหม่นหมอง “พี่ยังจะมีงานทำอยู่ไหม”
หลิงเมิ่งเหยารู้สึกถึงความกังวลที่มากับน้ำเสียงของหลานอิง เธอมองใบหน้าของหญิงวัยกลางคนตรงหน้า คนที่เคยยื่นมือช่วยเหลือเธอกับลูกในยามที่ชีวิตมืดมน คนที่ร่วมฝ่าฟันความยากลำบากมาด้วยกัน เธอขยับเข้าไปใกล้ จับมือของหลานอิงไว้แน่น
“พี่หลานอิงคะ พี่ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ” น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลหนักแน่น
“ลูกค้าและตลาดของคุณชายเฉินกับของเรามันต่างกัน เรามีหน้าที่ตัดให้เหมาะกับบุคลิกของแต่ละคน” หลิงเมิ่งเหยาอธิบาย มือข้างหนึ่งลูบศีรษะหลิวอันอันที่ซุกตัวอยู่ข้างๆ เบาๆ
“พี่ไม่ต้องกลัวว่าแบบเราจะหมดนะคะ เชื่อมือฉันได้เลย” เธอบีบมือหลานอิงแน่นขึ้น “ฉันจะทิ้งพี่ได้ยังไงล่ะคะ ก็พี่เป็นเหมือนพี่สาวของฉันนี่นา”
คำพูดนั้นทำให้ริมฝีปากของหลานอิงค่อยๆ คลี่ยิ้มอย่างโล่งใจ เธอพยักหน้าเบาๆ พลางดึงมือของหลิงเมิ่งเหยามากุมไว้
“ขอบใจนะที่ยังนึกถึงพี่เสมอ” หลานอิงเอ่ยขอบคุณ หลิงเมิ่งเหยายิ้มตอบ หลานอิงก็ยิ้มกลับมา
สองหัวใจที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ได้แบ่งปันความหวังและคำมั่นสัญญาที่จะก้าวเดินไปด้วยกัน ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?