ตอนที่ 13. จะหาพ่อให้หลิวอันอัน?

“คุณหลิง ผมต้องขอโทษด้วยที่นัดพบที่นี่” เสียงทุ้มนุ่มของเฉินเจิ้งหยวนเอ่ยขึ้น ขณะที่เขาลุกขึ้นต้อนรับหลิงเมิ่งเหยาที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวของโรงแรมชื่อดังในเมืองซูโจว “เรื่องเงินและแบบชุดค่อนข้างสำคัญ ผมเลยอยากให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะปลอดภัย”

หลังจากที่หลิงเมิ่งเหยาได้รับโอกาสครั้งสำคัญจากเฉินกรุ๊ป วันนี้คือวันที่เธอต้องส่งแบบชุดงวดแรก

แสงจากโคมไฟคริสตัลส่องประกายระยิบระยับ สะท้อนกับผนังห้องที่บุด้วยวอลเปเปอร์สีครีมอ่อน สร้างบรรยากาศหรูหราอบอุ่น หลิงเมิ่งเหยารู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างที่นี่กับตลาดเก่าซูโจวอย่างชัดเจน เธอกระชับแฟ้มแบบชุดในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาตอบเบาๆ พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่จูลู่ฉีเลื่อนให้ “ฉันเข้าใจ”

เฉินเจิ้งหยวนผายมือเชิญ “เชิญดื่มชาก่อนครับ เราค่อยๆ คุยกัน”

เขารินชาจุนซานหอมกรุ่นใส่ถ้วยกระเบื้องลายคราม หลิงเมิ่งเหยามองไอชาที่ลอยเป็นริ้วบาง ความทรงจำย้อนกลับไปถึงคืนที่อยู่ทำงานจนดึก วาดแบบชุดทั้งห้าแบบด้วยความมุ่งมั่น ทั้งลบทิ้ง ทั้งวาดใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนั้น เธอเหนื่อยล้าจนบางครั้งก็เริ่มท้อ แต่เธอไม่ยอมหยุดพัก จนกว่าจะได้แบบที่สมบูรณ์แบบที่สุด

“ผมได้ยินมาว่าคุณทำงานหนักมากเพื่อแบบชุดในวันนี้” เฉินเจิ้งหยวนเอ่ยขึ้น ดวงตาฉายแววเป็นห่วง “หวังว่าคุณจะไม่หักโหมจนเกินไป”

หลิงเมิ่งเหยายกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ก่อนตอบ “ฉันแค่อยากทำให้ดีที่สุดค่ะ”

เธอค่อยๆ เปิดแฟ้ม วางภาพสเกตช์แบบชุดทั้งห้าลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ชุดแรกเป็นชุดทำงานสำหรับสตรี ตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม แขนยาวสามส่วน คอวีประดับด้วยผ้าต่วนขลิบทอง หลิงเมิ่งเหยาอธิบายแต่ละรายละเอียดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ฉันออกแบบให้เหมาะกับผู้หญิงทำงานยุคใหม่ ดูภูมิฐานแต่สวมใส่สบาย”

“ผมชอบวิธีที่คุณผสมผสานความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม” เฉินเจิ้งหยวนพยักหน้าช้าๆ พลางเอ่ยชม สายตาจับจ้องที่ภาพสเกตช์อย่างพินิจ

“ส่วนชุดที่สอง...” หลิงเมิ่งเหยากำลังจะอธิบายต่อ แต่เฉินเจิ้งหยวนยกมือขึ้นห้าม

“เรากินอาหารกันก่อนดีไหมครับ?” เขาเสนอพลางส่งสัญญาณให้พนักงานบริกรนำอาหารเข้ามา “ผมอยากให้คุณได้พักสักหน่อย แล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน”

กลิ่นหอมของอาหารชั้นดีลอยมาเตะจมูก หลิงเมิ่งเหยารู้สึกถึงความหิวที่เพิ่งจะร้องประท้วงขึ้นมา เธอพยักหน้ารับ รู้สึกซาบซึ้งในความใส่ใจของชายหนุ่มตรงหน้า

จูลู่ฉียืนอยู่ตรงมุมห้องด้วยท่าทีนิ่งสงบ คอยสังเกตการณ์ทุกอย่างด้วยสายตาอันเฉียบคม เขาไม่อาจซ่อนความประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจและความเชี่ยวชาญในการพูดคุยเรื่องแฟชั่นของหญิงสาวที่ดูภายนอกเป็นเพียงแม่หม้ายธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับมีความรู้ความเชี่ยวชาญราวกับเป็นนักออกแบบมืออาชีพ

อาหารมื้อนั้นดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เฉินเจิ้งหยวนเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงของวงการแฟชั่นในเซี่ยงไฮ้ ขณะที่หลิงเมิ่งเหยาฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็แทรกคำถามที่แสดงถึงความเข้าใจในธุรกิจ

“คุณมีความคิดที่น่าสนใจมาก” เฉินเจิ้งหยวนเอ่ยขึ้นหลังจากการสนทนายาวนาน “ผมว่าคุณน่าจะได้เห็นโลกภายนอกมากกว่านี้ บางทีถ้ามีโอกาส ผมอยากพาคุณไปดูงานที่เซี่ยงไฮ้”

คำพูดนั้นทำให้หลิงเมิ่งเหยาชะงัก เธอวางตะเกียบลงช้าๆ นึกถึงหลิวอันอันที่รออยู่ที่บ้านหลานอิง “ขอบคุณค่ะ แต่ตอนนี้ฉันคงต้องจัดการเรื่องสำคัญที่ซูโจวให้เรียบร้อยก่อน”

“นี่คือค่าตอบแทนแบบชุดตามที่ตกลงกันไว้ครับ” เฉินเจิ้งหยวนพยักหน้าเข้าใจ หยิบซองสีน้ำตาลออกมาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปให้หลิงเมิ่งเหยา “สำหรับเดือนถัดไป เรายังคงทำตามสัญญาเดิมใช่ไหมครับ?”

“ค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาตอบอย่างมั่นใจ “หนึ่งถึงสองแบบต่อเดือนตามที่เราตกลงกัน ฉันต้องการเวลาในการออกแบบแต่ละดีไซน์ให้สมบูรณ์ที่สุด”

“ดีครับ” เฉินเจิ้งหยวนยิ้มพอใจ “ผมเห็นด้วยว่าคุณภาพต้องมาก่อน ชุดที่คุณออกแบบมาครั้งนี้ทำให้ผมเห็นว่าคุณมีความตั้งใจและเข้าใจว่าตลาดต้องการอะไร”

หลิงเมิ่งเหยารับซองสีน้ำตาลมาด้วยท่าทางมั่นคง ขณะที่แสงจากโคมไฟคริสตัลสะท้อนกับกระดาษแบบที่วางอยู่บนโต๊ะ เงินก้อนนี้จะเป็นทุนให้เธอพาลูกสาวออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่

มือเรียวเลื่อนไปแตะขอบกระดาษที่วาดแบบชุดชิ้นแรก “งานออกแบบแต่ละชิ้นสะท้อนถึงความเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่กำลังเติบโตในสังคมที่เปลี่ยนแปลง นั่นคือสิ่งที่ฉันนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดค่ะ”

“และนั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกร่วมงานกับคุณ” เฉินเจิ้งหยวนตอบ น้ำเสียงจริงจัง

เมื่อการพบปะสิ้นสุดลง จูลู่ฉีขับรถพาหลิงเมิ่งเหยาไปรับหลิวอันอันที่บ้านหลานอิง แล้วค่อยกลับมาส่งสองแม่ลูกที่บ้านหลิว

รถยนต์สีดำแล่นผ่านถนนเก่าในซอยบ้านหลิว หลิงเมิ่งเหยานั่งนิ่งอยู่เบาะหลัง มือข้างหนึ่งกุมกระเป๋าสะพายซึ่งมีซองเอกสารอยู่ในนั้น อีกข้างโอบไหล่หลิวอันอันที่เอนซบอยู่ข้างกาย กลิ่นอายของความเก่าแก่และความอึดอัดเริ่มแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึก เมื่อรถเคลื่อนเข้าใกล้บ้านหลังใหญ่

เสียงล้อรถบดกับพื้นหินดังกรอบแกรบ ก่อนที่รถจะจอดสนิท หลิวอันอันลืมตาขึ้นช้าๆ มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่คุ้นเคยกับความกังวล “แม่...” เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องกลัวนะลูก” หลิงเมิ่งเหยากระซิบ น้ำเสียงมั่นคง “วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราต้องทนกับความอึดอัดที่บ้านนี้”

จูลู่ฉีลงจากรถมาเปิดประตูให้ เมื่อรถจอดหน้าประตูบ้านหลิว หลิงเมิ่งเหยาก้าวลงจากรถพร้อมกับหลิวอันอัน

“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” หลิงเมิ่งเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“เป็นหน้าที่ของผมครับ” จูลู่ฉีพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้ามีอะไรให้ช่วย คุณชายบอกว่าสามารถติดต่อได้ตลอดครับ”

หลิงเมิ่งเหยาพยักหน้ารับ จูลู่ฉีกลับขึ้นรถและขับจากไป ขณะที่เธอพาหลิวอันอันเดินเข้าประตูบ้าน หัวเฉินหรูยืนกอดอกอยู่ที่ระเบียงไม้หน้าห้องโถง สายตาเย็นชาจับจ้องมาที่พวกเธอ

หลิงเมิ่งเหยาก้าวเดินด้วยท่าทีเรียบเฉย จับมือหลิวอันอันที่เกาะแขนเธอไว้

“ดูสิ คงภูมิใจมากสินะ” หัวเฉินหรูเอ่ยประชด น้ำเสียงแฝงความเหยียดหยาม “นั่งรถคันโก้ แต่งตัวสวยๆ คงได้ผู้ชายคนใหม่แล้วสินะ ริอ่านจะหาพ่อใหม่ให้ลูกสาวแกเหรอ? คงลืมไปแล้วสินะว่าตัวเองเป็นใคร”

หลิงเมิ่งเหยาหยุดยืนกลางลานบ้าน เธอรู้สึกถึงมือเล็กๆ ของหลิวอันอันที่จับมือเธอแน่นขึ้น แต่วันนี้เธอจะไม่ยอมให้ความกลัวครอบงำลูกของเธออีกต่อไป

“ฉันไม่เคยลืมว่าตัวเองเป็นใคร” หลิงเมิ่งเหยาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และฉันก็รู้ด้วยว่าต่อไปฉันจะเป็นยังไง”

“แล้วแกจะเป็นอะไรได้ หญิงหม้าย แถมยังมีลูกติด ผู้ชายดีๆ ที่ไหนเขาจะสนใจ” หัวเฉินหรูปล่อยมือที่กอดอกอยู่ พูดเสียงเยาะเย้ย

“พรุ่งนี้ฉันก็จะเป็นอิสระจากบ้านหลิวยังไงล่ะ” หลิงเมิ่งเหยายืนตรง สายตามั่นคง เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พรุ่งนี้ฉันจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้”

คำพูดของเธอทำให้รอยยิ้มเยาะหยันบนใบหน้าของหัวเฉินหรูหายไปในทันที

“ไม่ได้!” แม่สามีตวาดเสียงดัง ก้าวมายืนประจันหน้ากับหลิงเมิ่งเหยา “แกคิดว่าแกจะพานังอันอันไปไหนได้?”

“ทำไมจะไม่ได้?” หลิงเมิ่งเหยาถามกลับ น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงความแน่วแน่

“นังอันอันเป็นหลานของฉัน เป็นคนตระกูลหลิว!” หัวเฉินหรูชี้นิ้วไปที่เด็กหญิงที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังแม่ “เด็กคนนี้ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้!”

ที่หัวเฉินหรูพูดแบบนี้ไม่ใช่เกิดรักใคร่หลานสาวขึ้นมา แต่เพราะเธอมองเห็นว่าอีกไม่นานเด็กหญิงก็โตพอจะทำงานรับใช้คนบ้านหลิวได้แล้วนั่นเอง

“คนตระกูลหลิว?” เธอทวนคำพร้อมรอยยิ้มเยาะ ความขมขื่นผุดขึ้นในใจ “ถ้าอันอันเป็นคนตระกูลหลิว เป็นหลานของแม่จริง ทำไมแม่ถึงต้องเก็บค่าเช่าบ้านจากเรา? ทำไมต้องกดขี่ข่มเหงเราสองคนแม่ลูกด้วย?”

หัวเฉินหรูชะงัก ใบหน้าเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่แม่สามีจะได้พูดอะไร หลิงเมิ่งเหยาก็เอ่ยต่อ

“ถ้าอันอันไม่เป็นคนตระกูลหลิวแล้ว พวกเราก็ออกจากบ้านหลังนี้ได้ใช่ไหม?”

“แก...แก...” หัวเฉินหรูพูดติดขัด ความโกรธและความอับจนทำให้คำพูดสะดุด

หลิงเมิ่งเหยาปล่อยมือหลิวอันอัน ก้าวเข้าไปใกล้แม่สามีอีกก้าว “พรุ่งนี้ฉันจะไปขอให้หัวหน้าหมู่บ้านมาทำหนังสือแยกบ้าน ขอให้แม่อยู่บ้านด้วยนะ”

ลมเย็นพัดผ่านลานบ้าน ทำให้ใบไม้แห้งปลิวว่อน ความเงียบอึดอัดแผ่ปกคลุมบริเวณนั้น หลิวอันอันมองสลับไปมาระหว่างแม่กับย่า ดวงตาเด็กน้อยฉายแววสับสน แต่ก็มีประกายบางอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประกายแห่งความหวัง

หัวเฉินหรูยืนนิ่ง มือกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด สายตาที่เคยเต็มไปด้วยอำนาจบัดนี้ฉายแววหวาดกลัว หวาดกลัวการสูญเสียการควบคุม หวาดกลัวการสูญเสียรายได้ค่าเช่าบ้านที่สมควรจะได้ในทุกเดือน

“กะ...แก”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ