ตอนที่ 6. ขายได้ตั้งแต่วันแรก

ณ ตลาดเช้าซูโจว หลิงเมิ่งเหยากุมถุงผ้าที่ใส่ชุดแนบอก ชุดที่เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจตัดเย็บมาเกือบสัปดาห์ ทั้งการวัดตัว ลองผิดลองถูกกับการตัดผ้า และฝึกเย็บจนนิ้วเจ็บระบม กว่าจะได้ชุดที่พึงพอใจ

เท้าของเธอพาเดินไปยังแผงผักอันคุ้นเคย แผงของหลี่เหม่ยจู คนที่เคยช่วยเหลือเธอมาตลอดในยามลำบาก ตั้งแต่ครั้งที่เธอยังต้องแอบมาซื้อผักราคาถูก เพราะถูกแม่สามีตัดเงินค่าอาหาร จนถึงวันนี้ที่เธอได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อชีวิตใหม่

หลังจากตกลงกับแม่สามีเรื่องการจ่ายค่าเช่าแล้ว เธอนั่งอยู่หน้าจักรเย็บผ้าทั้งวัน ไม่มีเวลามากังวลว่าใครจะมาเห็นหรือต้องคอยแอบซ่อนอีกต่อไป เพราะนี่คือสิทธิ์ที่เธอแลกมาด้วยคำสัญญาว่าจะจ่ายค่าเช่าให้แม่สามี

ขณะที่เดินฝ่าสายหมอกจางๆ ไปตามตรอกแคบระหว่างแผงร้านค้า มือเล็กๆ ของหลิวอันอันจับมือแม่ไว้แน่น ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น เพราะปกติแม่สามีไม่อนุญาตให้พวกเธอออกมาที่ตลาดบ่อยนัก

กลิ่นติ่มซำร้อนๆ ลอยมาตามสายลมยามเช้า เสียงพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังจัดแผงของตัวเอง เสียงลากเข่งปลา เสียงวางลังผัก และเสียงทักทายกันของคนคุ้นเคย ทุกอย่างผสมผสานกันเป็นเสียงประสานยามรุ่งอรุณที่คุ้นหูของตลาดยามเช้า

หลี่เหม่ยจูกำลังจัดแผงผักของเธออยู่ เมื่อเห็นสองแม่ลูกเดินมา รอยยิ้มกว้างก็ผุดขึ้นบนใบหน้า

“เมิ่งเหยา! มาแต่เช้าเชียว” เอ่ยทักแล้วก็ลงมือจัดผักต่อไป

“พี่เหม่ยจู...” หลิงเมิ่งเหยาทักทายเบาๆ มือยังกำห่อผ้าแน่น “ขอฉันวางของขายข้างแผงพี่ได้ไหมคะ?”

มือที่กำลังจัดผักชะงักค้าง หลี่เหม่ยจูหันมามองหลิงเมิ่งเหยาอย่างสนใจ “อ้าว นี่เธอตัดเย็บเสร็จแล้วเหรอ? ขอดูหน่อยสิ”

หลิงเมิ่งเหยาค่อยๆ แกะห่อผ้า หยิบชุดทำงานสีฟ้าออกมา เธอใช้เวลาจัดวางอย่างประณีต หวังว่าจะมีคนสนใจ ในใจคำนวณตัวเลขไม่หยุด ค่าผ้าที่ยังติดค้างหวังปิง ค่าเช่าห้องที่แม่สามีเรียกร้องในราคาห้าสิบหยวนต่อเดือน ยังไม่รวมค่ากินค่าอยู่ของเธอกับลูก หากขายชุดละสามสิบกว่าหยวน ในหนึ่งสัปดาห์เธอต้องขายออกให้ได้อย่างน้อยห้าชุด เงินถึงจะพอใช้จ่าย

“สวยมาก พี่ไม่เคยเห็นชุดแบบนี้มาก่อน” หลี่เหม่ยจูเอ่ยขึ้นหลังจากที่ล้างมือจนสะอาดและเช็ดจนมือแห้งสนิทแล้ว พร้อมกับพลิกชุดดูทั้งด้านหน้าด้านหลัง

“แม่ตั้งใจเย็บมากเลยค่ะ” หลิวอันอันพูดแทรกขึ้น ใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความภูมิใจ

ขณะที่รับชุดกลับคืนมาจากหลี่เหม่ยจูแล้วเตรียมจะจัดวางลง เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านหลัง หญิงวัยกลางคนในชุดทำงานเรียบร้อยเดินผ่านมา สายตาของเธอหยุดที่ชุดในมือหลิงเมิ่งเหยา

“นี่...ชุดของคุณหรือคะ?” ผู้หญิงคนนั้นถาม น้ำเสียงแสดงออกว่าสนใจ

“ใช่ค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาตอบเบาๆ “ฉันเพิ่งเย็บเสร็จ”

“ขายเท่าไรคะ?” ฝ่ายนั้นถาม พลางรับชุดมาจากหลิงเมิ่งเหยาแล้วลูบเนื้อผ้าอย่างพึงพอใจ

หลิงเมิ่งเหยากลืนน้ำลายเบาๆ ก่อนตอบคำถาม “สามสิบห้าหยวนค่ะ”

“สามสิบห้า...” หญิงผู้นั้นทวนราคา “ขอลองใส่ดูได้ไหมคะ?”

“ได้ค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาตอบ ก่อนจะยกมือตบหน้าผากตนเอง เพราะลูกค้าจะลองได้ยังไง ในเมื่อที่นี่เป็นแผงขายผัก เธอไม่มีห้องลองชุด

‘ไม่น่าประมาทเลยเรา’ หลิงเมิ่งเหยาตำหนิตนเองในใจ

หลี่เหม่ยจูได้ยินบทสนทนา จึงคิดหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขึ้น เธอรีบคลี่ผ้ากันเปื้อนผืนใหญ่ที่เธอใช้คลุมแผงผักทำเป็นฉากบังตา ลูกค้าสาวลองสวมชุดทับชุดชั้นในที่สวมมา นิ้วมือลูบไล้ตามรอยตะเข็บอย่างตรวจสอบ

“พอดีตัวเลย ฝีมือดีมากๆ” เธอชื่นชม “แต่ว่าราคาสูงกว่าที่อื่นนิดหน่อยนะคะ สามสิบหยวนได้ไหม?”

หลิงเมิ่งเหยาลังเลเล็กน้อย “สามสิบสองหยวนค่ะ ต่ำกว่านี้ไม่ได้จริงๆ ผ้าเนื้อดี ฝีเข็มละเอียด รับประกันความทนทาน”

เงินสามสิบสองหยวนไม่ใช่จำนวนน้อยในยุคนี้ บางครอบครัวใช้จ่ายกันทั้งอาทิตย์ด้วยซ้ำ เธอรู้ดีว่าราคานี้สูงกว่าเสื้อผ้าทั่วไปในตลาด แต่คุณภาพและการตัดเย็บก็คุ้มค่ากับราคา

“ฉันทำงานที่สำนักงานเปิดใหม่แถวถนนกวางตงค่ะ” เธอคนนั้นเล่าขณะหยิบเงินออกมา “ต้องการชุดทำงานดีๆ พอดี...คุณมีแบบอื่นอีกไหมคะ?”

“มีค่ะ กำลังตัดเย็บอยู่หลายแบบ” หลิงเมิ่งเหยารีบตอบ รู้สึกถึงความหวังที่พุ่งขึ้นในอก

“ดีเลย ฉันจะแวะมาดูอีกนะคะ” ลูกค้าคนแรกของหลิงเมิ่งเหยายิ้มให้ ก่อนจากไปพร้อมชุดใหม่

หลังจากที่ส่งชุดให้ลูกค้าไปแล้ว หลิงเมิ่งเหยาครุ่นคิด... สามสิบสองหยวนต่อชุด ใช้เวลาเย็บเกือบสัปดาห์ หากทำแบบนี้ต่อไป เธอคงไม่มีทางพาลูกออกจากบ้านใหญ่ได้ เธอต้องหาทางทำให้เร็วขึ้น ต้องมีแบบชุดให้หลากหลายขึ้นด้วย

“พี่เหม่ยจู” เธอหันไปกระซิบ “พี่รู้จักช่างเย็บผ้าคนอื่นบ้างไหม? ฉัน...ฉันคงต้องหาคนมาช่วย”

“รู้จักอยู่บ้าง เดี๋ยวพี่ลองถามให้ แต่...” หลี่เหม่ยจูพยักหน้า พลางมองสำรวจใบหน้าของหลิงเมิ่งเหยา “เธอไหวเหรอ? ต้องมีเงินจ้างเขานะ”

“ฉันต้องไหว” หลิงเมิ่งเหยากำมือแน่น “ถ้าไม่ทำอะไรมากกว่านี้...ฉันกับอันอันคงไม่มีทางได้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง”

“แม่” หลิวอันอันที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ดึงชายเสื้อแม่เบาๆ “หนูหิวแล้วค่ะ”

หลิงเมิ่งเหยาก้มลงมองลูกสาว เกิดความกังวลไม่น้อยเมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋าที่มีอยู่น้อยนิด แต่เธอฝืนยิ้ม “ไปกินติ่มซำกันนะ วันนี้แม่ขายของได้แล้ว”

“ดีค่ะแม่” หลิวอันอันกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ

มือเล็กๆ ของหลิวอันอันสอดประสานกับมือของแม่ ทั้งสองคนเดินผ่านแผงขายของมากมายในตลาด กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมาเป็นระยะ เสียงพ่อค้าแม่ค้าต่อรองราคากับลูกค้าดังแว่วมาตามทาง ในหัวของหลิงเมิ่งเหยายังคงวนเวียนกับตัวเลขและแผนการ เธอรู้ดีว่าวันนี้เป็นเพียงก้าวแรก และเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล

สิบวันผ่านไปนับจากวันที่หลี่เหม่ยจูรับปากจะช่วยหาช่างฝีมือมาช่วยงาน ชุดทำงานสีฟ้าอ่อนที่หลิงเมิ่งเหยาตัดให้พนักงานคนแรกกลายเป็นใบเบิกทางชิ้นสำคัญ เธอทุ่มเทเย็บมันอย่างประณีตทุกฝีเข็มจนดึกดื่น

ภายใต้แสงไฟสลัวในห้องเล็กๆ ของเรือนตะวันตก หลิงเมิ่งเหยาจัดวางชุดตัวอย่างบนแผงไม้เล็กๆ มือที่เริ่มด้านจากการจับเข็มและกรรไกรค่อยๆ จัดแต่งชายกระโปรงให้เรียบตรง เธอนึกถึงคำพูดของหลี่เหม่ยจูเมื่อวานที่บอกว่า

‘เจอช่างฝีมือดีคนหนึ่งแล้ว รอฟังข่าวดีในอีกไม่กี่วันนี้ได้เลย’

***

“พี่เมิ่งเหยา!” เสียงใสๆ ดังมาจากด้านหลัง หญิงสาวในชุดทำงานสีฟ้าอ่อนคุ้นตาเดินตรงมาที่แผง ใบหน้าเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม “ชุดที่พี่ตัดให้สวยมากเลยค่ะ เมื่อวานฉันใส่ไปทำงาน มีคนชมไม่หยุดเลย แถมหัวหน้าแผนกยังถามว่าไปตัดมาจากไหน บอกว่าดูสวยกว่าชุดที่เคยเห็นในห้างด้วยค่ะ”

“ขอบคุณมากนะคะที่ชอบ” หลิงเมิ่งเหยายิ้มบางๆ หัวใจพองโตด้วยความภาคภูมิใจ พลางนึกถึงคืนที่นั่งร่างแบบอยู่นาน กว่าจะได้ทรงกระโปรงที่ดูทันสมัยเหมาะกับการทำงานในสำนักงาน

“ฉันอยากสั่งตัดอีกค่ะ” หญิงสาวพูดต่อพลางหยิบผ้าห่อหนึ่งออกจากกระเป๋า “คราวนี้เอามาเองเลย เป็นผ้าไหมที่พ่อซื้อมาฝากจากหางโจว อยากได้ชุดใส่ไปงานแต่งงานเพื่อนค่ะ”

“เห็นไหม พี่บอกแล้วว่าฝีมือเธอต้องมีคนเห็นค่า” หลี่เหม่ยจูที่กำลังจัดผักอยู่ข้างๆ หันมายิ้มพร้อมวางตะกร้าผักลง “ช่วงนี้งานเยอะขึ้น ช่างที่พี่แนะนำให้น่าจะมาพอดี”

หลิงเมิ่งเหยาพยักหน้า เธอคลี่ผ้าไหมสีครีมอมชมพูออกดู เนื้อผ้าเนียนนุ่มเป็นประกาย

“สวยมากเลยค่ะ” เธอเอ่ยชม พลางนึกถึงแบบชุดที่คิดว่าเหมาะกับผ้าแบบนี้ “คุณลูกค้าอยากได้ทรงแบบไหนคะ?”

ขณะที่เธอกำลังวัดตัวลูกค้า เสียงหัวเราะเบาๆ ของเด็กหญิงดังมาจากมุมแผง หลิวอันอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก มือน้อยๆ กำลังเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรดของตนเองคนเดียวเงียบ ๆ

“น่ารักจังค่ะ” ลูกค้าเอ่ยชม

“ค่ะ อันอันช่วยแม่ได้หลายอย่างเลย บางทีก็ช่วยแม่เลือกสีผ้าให้เข้ากับลูกค้าอย่างที่ฉันก็คิดไม่ถึงเลยละค่ะ” หลิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างภาคภูมิใจ

ระหว่างจดบันทึกรายละเอียดการตัดชุด หลิงเมิ่งเหยานึกถึงเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ในกล่องไม้ใต้เตียง เงินที่เธอหวังว่าจะใช้จ่ายค่าเช่าที่แม่สามีเพิ่งเรียกเก็บ และอีกส่วนหนึ่งสำหรับจ้างช่างตัดเย็บคนใหม่ที่หลี่เหม่ยจูกำลังจะแนะนำมา

“สัปดาห์หน้าจะมารับชุดได้ไหมคะ?” ลูกค้าถามพลางยื่นเงินมัดจำยี่สิบหยวนส่งให้

“ค่ะ” หลิงเมิ่งเหยารับเงินมา “ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณลูกค้ามาบอกฉันที่แผงได้ทุกวันนะคะ”

บรรยากาศในตลาดดังจอแจขึ้นเรื่อยๆ หลิงเมิ่งเหยามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา หลายคนเริ่มหยุดชะลอฝีเท้าเมื่อเห็นชุดที่วางไว้ ในใจของเธอเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ถ้ามีช่างฝีมือดีมาช่วย เธอจะสามารถรับงานได้มากขึ้น และนั่นหมายถึงโอกาสที่จะพาลูกสาวออกจากบ้านหลังนั้นได้ไวขึ้นด้วย

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ