ตอนที่ 8.ไม่เป็นไปตามที่พูด

เช้าวันนี้หลังจากกลับมาจากตลาด หลานอิงกลับมาที่บ้านหลิวพร้อมกับหลิงเมิ่งเหยาด้วย หญิงสาวให้หลานอิงกับหลิวอันอันไปรอที่เรือนตะวันตกก่อน ส่วนตนเองหยุดยืนชั่วครู่ตรงระเบียงทางเดิน มือกำเงินค่าเช่าที่เก็บหอมรอมริบมาตลอดเดือนไว้แน่น

หลิงเมิ่งเหยาสูดหายใจลึก พยายามรวบรวมความกล้า เสียงบ่นของแม่สามีดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงกระทบของถ้วยชาที่ถูกวางลงแรง

“จื่อหลาน เธอเป็นสะใภ้ของบ้าน ต้องช่วยกันทำงานบ้านและทำอาหารสิ จะมาอ้างว่าทำงานนอกบ้านไม่ได้นะ” เสียงของหัวเฉินหรูแหลมขึ้นด้วยความไม่พอใจ

หลิงเมิ่งเหยายืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องโถง มองเห็นเงาร่างของแม่สามีที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดวางอาหาร มือเหี่ยวย่นของหญิงชรากำลังยกหม้อข้าวออกมาวางบนโต๊ะ ท่าทางอ่อนล้าแฝงไว้ด้วยความดื้อรั้น ความทรงจำหลายปีที่ผ่านมาวูบผ่านความคิดของหลิงเมิ่งเหยา ความทรงจำของการถูกกดขี่ ดูถูก และบีบบังคับ

จางจื่อหลานที่นั่งอยู่ที่โต๊ะในชุดทำงานราคาแพง ปัดผมยาวสลวยไปด้านหลัง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส

“แม่ ฉันทำงานนอกบ้านนะ ฉันต้องรักษาภาพลักษณ์สิ” เธอยกมือขึ้นส่องดูเล็บที่เพิ่งทำมาใหม่ “ขืนไปทำงานบ้าน ทำอาหาร มือของฉันได้ด้านกันพอดี แล้วยังมีกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าอีก ถ้าฉันออกไปพบลูกค้า ฉันไม่อายแย่เหรอ ไม่เอาหรอก”

หัวเฉินหรูวางถ้วยชามลงบนโต๊ะแรงกว่าปกติ “ฉันต้องมานั่งทำงานบ้านเป็นเดือนๆ คอยทำอาหารให้พวกแก คิดว่ามันสบายหรือไง” เหงื่อเม็ดเล็กๆ เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของหญิงชรา

“ก็แม่ไปอนุญาตให้นังเมิ่งเหยาออกไปทำงานทำไมล่ะ” หลิวอี้หานที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะในชุดทำงานสีเทาเรียบ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“อ้าว พวกแกสองคนจะมาโทษแม่ได้ยังไง” หัวเฉินหรูกระแทกหม้อข้าวลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น ทำให้น้ำชาในถ้วยกระเพื่อม “ก็ไม่ใช่เพราะความคิดที่จะเก็บเงินค่าเช่านังเมิ่งเหยามันหรอกเหรอ มันถึงได้มาต่อรองออกไปทำงานนอกบ้านแบบนี้”

จางจื่อหลานยิ้มเย้ยหยัน ขณะที่จัดแต่งทรงผมของตัวเองผ่านเงาสะท้อนบนกระจกพกพาขนาดเล็ก

“วันนี้ครบกำหนดจ่ายค่าเช่าบ้านของนังเมิ่งเหยาแล้วไม่ใช่เหรอแม่ ถ้ามันหาเงินมาให้ไม่ได้ แม่ก็ถือโอกาสนี้ให้มันไม่ต้องทำงาน แล้วมาทำงานบ้านเหมือนเดิมเถอะนะแม่” เธอหยิบลิปสติกขึ้นมาแต้มริมฝีปากเบาๆ “จะให้ฉันมาทำงานบ้าน ทำอาหาร ฉันบอกเลยนะว่าฉันไม่ทำ”

เสียงถอนหายใจหนักๆ ของหัวเฉินหรูดังก้องในความเงียบ “เออ! แม่ก็คิดไว้แบบนี้เหมือนกัน ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

หญิงชราทรุดตัวลงนั่ง ร่างที่เคยสง่าผ่าเผยในอดีตบัดนี้โค้งงอด้วยความเหนื่อยล้า เหงื่อเม็ดเล็กๆ เป็นประกายวาววับบนหน้าผากที่เต็มไปด้วยริ้วรอย

หลิงเมิ่งเหยายืนนิ่งอยู่นอกประตู เธอรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ผ่านจากพื้นไม้เก่าขึ้นมาตามเท้า ราวกับพยายามดูดกลืนความกล้าที่เธอพยายามสะสมมา

แต่วันนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความทรงจำของการถูกกดขี่หวนกลับมาในความคิด เสียงสะอื้นของลูกสาวที่นอนกุมท้องเพราะความหิวในตอนดึกเพราะไม่กล้าออกมาขอข้าว ทุกภาพ ทุกเสียง หลอมรวมกันเป็นพลังที่ผลักดันให้เธอก้าวต่อไป

มือกำเงินในกระเป๋าแน่นขึ้น เงินก้อนนี้ไม่ใช่แค่ค่าเช่า แต่คือตั๋วสู่อิสรภาพ เป็นการประกาศว่าเธอไม่ใช่สะใภ้ที่ต้องก้มหน้ายอมจำนนอีกต่อไป

หลิงเมิ่งเหยาสูดหายใจเข้าลึก ยืดตัวตรง สายตาจับจ้องไปยังประตูห้องโถงเบื้องหน้า ความมั่นใจจากชีวิตในยุคก่อนทำให้เธอรู้ดีว่าต้องจัดการเรื่องนี้อย่างไร เสียงฝีเท้าของเธอที่ก้าวเข้าไปในห้องโถงดังกังวานชัดเจน เป็นจังหวะเดียวกับที่ทุกสายตาในห้องหันมามอง

หลิงเมิ่งเหยายืนตรงหน้าโต๊ะอาหาร ถือกระดาษสัญญาในมือไว้แน่น หัวเฉินหรูนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ริ้วรอยแห่งความไม่พอใจฉายชัดบนใบหน้าเหี่ยวย่น

“แม่ วันนี้ฉันเอาเงินค่าเช่าบ้านมาจ่าย” หลิงเมิ่งเหยาพูดเสียงหนักแน่น ยื่นกระดาษสัญญาไปข้างหน้า “แต่ฉันขอให้แม่ลงชื่อรับเงินไว้ด้วย”

เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น จางจื่อหลานนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้ กวาดตามองหลิงเมิ่งเหยาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลน ชุดราคาแพงของเธอตัดกับเสื้อผ้าธรรมดาของหลิงเมิ่งเหยาอย่างชัดเจน

“นี่ นังเมิ่งเหยา มันจะมากไปแล้วนะ นี่แกคิดว่าแม่จะโกงแกเหรอ?” หลิวอี้หานลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ เสียงขาเก้าอี้ครูดกับพื้นไม้ดังสนั่น

หลิงเมิ่งเหยาจับจ้องใบหน้าแม่สามี ภาพของหลิวอันอันที่ต้องหลบซ่อนตัวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของย่าแวบเข้ามาในความคิด

“คนเป็นย่า...” เธอเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “ขนาดอันอันเป็นหลานแท้ๆ ยังทำร้ายจิตใจเด็กได้ลงคอ ปล่อยให้หิวโหย ไม่เคยสนใจว่าหลานจะเป็นอย่างไร”

เธอหยุดชั่วครู่ สูดหายใจลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาแม่สามีอย่างตรงไปตรงมา “แล้วฉัน...ที่เป็นแค่สะใภ้คนหนึ่ง สามีก็ตายจากไปแล้ว จะไว้ใจได้ยังไงว่าจะไม่ถูกรังแกมากไปกว่านี้”

หัวเฉินหรูนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มือเหี่ยวย่นกำขอบโต๊ะแน่น

“ดี ดีมาก ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งถึงกับยืนเถียงฉันแล้ว” เธอแค่นเสียงพูด “ไหนเงินค่าเช่า เอามาสิ”

หลิงเมิ่งเหยายื่นกระดาษออกไปตรงหน้า ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ราคาเช่าห้องเป็นจำนวนห้าสิบหยวนต่อเดือน วันที่และรายละเอียดครบถ้วน ทว่าหัวเฉินหรูไม่ได้ยื่นมือออกมารับ เธอจึงวางกระดาษลงบนโต๊ะ ดันมันไปข้างหน้าช้าๆ

“แม่ลงชื่อรับเงินก่อน”

หัวเฉินหรูก้มลงมองกระดาษ ดวงตาที่มีริ้วรอยหรี่ลงเล็กน้อย ขณะอ่านตัวเลขที่เขียนกำกับไว้ชัดเจน สีหน้าของหญิงชราค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนมือเหี่ยวย่นจะปัดกระดาษหล่นจากโต๊ะ

“ใครบอกแกว่าค่าเช่าเดือนละห้าสิบหยวน?” น้ำเสียงของหญิงชราเย็นเยียบ “ฉันพูดว่าร้อยหยวนต่างหาก”

เลือดในกายของหลิงเมิ่งเหยาแทบจะเย็นเฉียบ เธอรู้สึกถึงความอยุติธรรมที่กำลังเกิดขึ้น

“แม่ เดือนก่อนแม่บอกฉันเองว่าห้าสิบหยวน” มือของเธอกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ “แล้ววันนี้แม่จะมาบอกว่าร้อยหยวนได้ยังไง ฉันจะไปหาเงินเยอะแยะขนาดนั้นมาจากที่ไหนทัน”

“หึ!” จางจื่อหลานแทรกขึ้น รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏบนใบหน้า “ถ้าไม่อยากจ่ายค่าเช่าร้อยหยวน ก็ไม่ต้องออกไปทำงาน กลับมาทำงานบ้านแบบเดิมสิ”

“ใช่” หลิวอี้หานสนับสนุน “บ้านก็มีให้อยู่ ข้าวก็มีให้กิน แล้วยังจะเอาอะไรอีก”

ความเจ็บปวดและความโกรธที่สะสมมานานหลายปีพลันระเบิดออกมา ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกของใครกันแน่ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ ทว่าหลิงเมิ่งเหยาไม่ยอมให้มันไหลออกมา

“พูดออกมาได้ว่าบ้านก็มีให้อยู่” เสียงของเธอสั่นเครือ ก่อนหันไปมองจางจื่อหลานที่กำลังยืนอ้าปากค้าง “ที่นอนเก่าขนาดนั้น เสื้อผ้าไม่ได้ของใหม่มากี่ปีแล้ว ในขณะที่สะใภ้ใหญ่ซื้อชุดใหม่เดือนละสองสามชุด”

“ข้าวก็มีให้กิน แต่พวกคุณกินอาหารอย่างดี แต่เราสองแม่ลูกต้องกินอาหารเหลือและบูดเน่า” น้ำเสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ “ฉันขอถามหน่อยเถอะ อันอันก็เป็นหลานแท้ๆ ของแม่ ทำไมถึงไม่รักไม่เอ็นดูหลานบ้าง”

“นังเมิ่งเหยา กล้ามาตั้งคำถามกับแม่แบบนี้ได้ยังไง” จางจื่อหลานตะคอก

“แกอยากรู้เหรอว่าทำไมแม่ถึงไม่เคยรักนังอันอัน ฉันก็ไม่เคยรักมัน ลูกสาวมันจะไปมีประโยชน์อะไร สืบสกุลก็ไม่ได้ มันต้องลูกชายสิ แม่เขาถึงจะได้เอ็นดู” จางอี้หานตอบคำถาม

“ใช่ อันอันเป็นเด็กผู้หญิง แต่อันอันก็เป็นหลาน เป็นคนสกุลหลิว แล้วพี่ใหญ่ล่ะ ลูกก็ไม่มี ไม่นานสกุลหลิวคงต้องสิ้นตระกูลที่พี่”

“นังเมิ่งเหยา แกกล้าแช่งลูกชายฉันให้สิ้นสกุลเหรอ ออกไป! ออกไปเลยนะ! ถ้าภายในสามวันแกหาเงินมาจ่ายค่าเช่าไม่ได้ แกก็เตรียมตัวออกจากบ้านนี้ไปได้เลย” หัวเฉินหรูโกรธจนถึงขีดสุด ลูกสะใภ้ที่เธอรังเกียจกล้ามาสาปแช่งให้สิ้นสกุลแบบนี้

“ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่บ้านเฮงซวยแบบนี้หรอก” หลิงเมิ่งเหยาว่าแล้วก็เดินฉับๆ ออกไป ไม่สนใจเสียงด่าทอที่ตามหลังมาแม้แต่น้อย

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ