ตอนที่ 11. ความฝันใกล้เป็นจริง

ม่านไม้ไผ่ที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านน้ำชาเก่าแก่ที่มุมตลาดแกว่งไหวเบาๆ ตามแรงลม กระดิ่งเล็กๆ ที่ติดตรงมุมม่านส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง กลิ่นชาอู่หลงชั้นดีลอยมาในอากาศ

หลิงเมิ่งเหยาก้าวตามหลังเฉินเจิ้งหยวนเข้ามาในร้าน พยายามควบคุมความประหม่าขณะที่สายตาของลูกค้าในร้านจับจ้องมายังพวกเขา เธอในชุดกี่เพ้าผ้าฝ้ายธรรมดาสีน้ำเงิน เดินตามหลังชายหนุ่มในชุดสูทราคาแพงและผู้ช่วยของเขาที่แต่งตัวภูมิฐานไม่แพ้กัน ความแตกต่างระหว่างพวกเขาช่างชัดเจนราวกับฟ้ากับดิน

เฉินเจิ้งหยวนเลือกโต๊ะมุมในสุดของร้าน เถ้าแก่ในชุดจงซานรีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที เขาโค้งคำนับ

“ยินดีต้อนรับครับ วันนี้ทางร้านมีชาอู่หลงคัดพิเศษที่เพิ่งได้มาใหม่พอดี ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจชิมชาอู่หลงไหมครับ”

“ได้สิ เถ้าแก่อย่าลืมขนมด้วยนะ” ชายที่คล้ายเป็นผู้ติดตามของคุณชายเฉินเป็นคนตอบคำถามแก่เถ้าแก่เจ้าของร้าน

“รอสักครู่นะครับ ผมจะรีบไปเอามาให้ทันที” เถ้าแก่ว่าแล้วก็ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วหันหลังจากไป

หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเรียบร้อย เฉินเจิ้งหยวนยิ้มบางๆ ก่อนจะผายมือไปทางชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ “คุณหลิงเมิ่งเหยา นี่คือจูลู่ฉี ผู้ช่วยคนสนิทและที่ปรึกษาของผม”

จูลู่ฉีพยักหน้าค้อมศีรษะทักทายอย่างสุภาพ ดวงตาฉายแววฉลาดและมีไหวพริบ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณหลิงเมิ่งเหยา”

“เช่นกันค่ะ” หลิงเมิ่งเหยาตอบรับเบาๆ

เถ้าแก่ถือถาดไม้เดินมาที่โต๊ะ วางถ้วยชากระเบื้องลายครามตรงหน้าแขกทั้งสามอย่างนุ่มนวล พร้อมกับจานขนม กลิ่นหอมของชาอู่หลงคัดพิเศษลอยฟุ้ง

“เชิญครับ” เขากล่าวพร้อมค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบๆ

เฉินเจิ้งหยวนยกถ้วยชาขึ้นจิบ พวกเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าทุกคนจิบชารอบแรกเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงเริ่มเปิดบทสนทนาขึ้น

“คุณหลิง” เฉินเจิ้งหยวนเริ่มต้น น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงความจริงจัง “ผมสนใจในฝีมือการออกแบบของคุณ และอยากชวนคุณมาทำงานกับทางเรา”

จูลู่ฉีเปิดสมุดบันทึก ปากกาในมือพร้อมจดทุกรายละเอียด

“โรงงานของเราต้องการนักออกแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์” เฉินเจิ้งหยวนกล่าวต่อ พลางพยักหน้าให้จูลู่ฉีหยิบเอกสารออกมาวางตรงหน้าหลิงเมิ่งเหยา “ผมอยากให้คุณออกแบบชุดให้กับเรา ทางโรงงานจะรับผิดชอบการผลิตทั้งหมด”

หลิงเมิ่งเหยาก้มมองเอกสาร ตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีขาวดูพร่าเลือนไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงจนแทบได้ยินเสียง

“สำหรับค่าตอบแทน” เฉินเจิ้งหยวนชี้ที่ตัวเลขในเอกสาร “เราจะจ่ายค่าแบบให้ชุดละหนึ่งร้อยหยวน และคุณจะได้ส่วนแบ่งจากยอดขายร้อยละสอง”

ความคิดในหัวของหลิงเมิ่งเหยาหมุนวน ตัวเลขเหล่านี้มากกว่าที่เธอเคยได้รับจากการขายเสื้อผ้าในตลาดหลายเท่า

“สัญญามีกำหนดสิบปี” จูลู่ฉีเสริม น้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “เราต้องการแบบใหม่เดือนละหนึ่งถึงสองแบบ ชุดที่คุณออกแบบให้เรา จะต้องเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว”

หลิงเมิ่งเหยานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ความรู้สึกหลากหลายพลุ่งพล่านในอก ตัวเลขค่าตอบแทนที่เพิ่งได้ยินทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก

“ทำไม...” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “ทำไมถึงให้ค่าตอบแทนสูงขนาดนี้คะ?”

จูลู่ฉีวางปากกาลง รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า

“คุณอาจจะยังไม่รู้จักเฉินกรุ๊ปดีพอ” เขาเปิดแฟ้มเอกสารหนาๆ ตรงหน้า ภาพถ่ายของอาคารสำนักงานสูงตระหง่านใจกลางเมืองปักกิ่งปรากฏขึ้น “นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่คุณชายเฉินสร้างขึ้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา”

บนโต๊ะภาพถ่ายแห่งความสำเร็จเรียงรายอย่างภาคภูมิ ทั้งโรงงานขนาดใหญ่ในซูโจวที่เครื่องจักรทำงานไม่หยุดพัก โชว์รูมหรูหราในเซี่ยงไฮ้มีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย และภาพการเซ็นสัญญากับบริษัทในฮ่องกงและญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จของเฉินกรุ๊ปนั้นอยู่ในระดับนานาชาติ

จูลู่ฉีเล่าต่อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “เรามียอดจำหน่ายเสื้อผ้ากว่าห้าแสนชิ้นต่อปี มีพนักงานรวมกันทั้งหมดกว่าพันคน และกำลังจะเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่กวางโจว”

“โรงงานใหม่นี้จะใช้เครื่องจักรทันสมัยที่สุดนำเข้ามาจากญี่ปุ่น มีกำลังการผลิตมากกว่าที่ซูโจวถึงสองเท่า” เขาชี้ไปที่แผนผังขนาดใหญ่บนกระดาษ

หลิงเมิ่งเหยารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ขณะที่จูลู่ฉีพลิกเอกสารหน้าต่อไป

“และนี่คือสิ่งที่พิเศษที่สุด” เขาชี้ไปที่ภาพสเกตช์ชุดสตรีหลายแบบ “คุณชายเฉินต้องการสร้างแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ที่ผสมผสานความงามแบบตะวันออกเข้ากับความทันสมัยของตะวันตก”

จูลู่ฉีหยุดพูดชั่วครู่ สายตาจับจ้องหลิงเมิ่งเหยาอย่างจริงจัง “คุณชายเฉินเห็นศักยภาพในตัวคุณ เขาบอกว่าแบบเสื้อที่คุณทำมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชุดของคุณผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมกับความร่วมสมัยอย่างลงตัว และสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน นั่นคือสิ่งที่คุณชายกำลังมองหา”

หลิงเมิ่งเหยานั่งนิ่ง เธอนึกถึงวันแรกที่เริ่มตัดเย็บเสื้อผ้าในห้องเล็กๆ ของเรือนตะวันตก นึกถึงคืนที่นั่งร้องไห้เพราะเข็มทิ่มนิ้วจนเลือดออก และนึกถึงรอยยิ้มของลูกค้าคนแรกที่สวมชุดของเธอ ต่อให้เธอจะเคยเป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงแต่ก็อยู่ในยุคที่ทุกอย่างล้วนสะดวกสบาย ไม่ได้ล้าสมัยเหมือนที่นี่

“ค่าตอบแทนที่เราเสนอให้” จูลู่ฉีพูดต่อ รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นบนใบหน้า “มันคือการลงทุนเพื่ออนาคต เราเชื่อว่าคุณจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาแบรนด์ของเรา และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวัง ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับอาจมากกว่านี้อีกหลายเท่า”

เสียงนาฬิกาแขวนบนผนังดังติ๊กๆ ในความเงียบ หลิงเมิ่งเหยามองภาพตึกระฟ้าในปักกิ่งอีกครั้ง ความฝันที่เคยดูไกลเกินเอื้อมกำลังค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

“ฉัน...” เธอเริ่มพูดน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย “ฉันสามารถส่งแบบให้คุณได้ห้าแบบภายในสิ้นเดือนนี้ค่ะ และ...ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากขอรับเงินทันทีที่ส่งมอบแบบ”

เฉินเจิ้งหยวนและจูลู่ฉีสบตากันชั่วครู่

“คุณมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนหรือครับ?” เฉินเจิ้งหยวนถามอย่างนุ่มนวล

หลิงเมิ่งเหยาไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที สมองประมวลผลถึงคำตอบอย่างไรถึงจะเหมาะสม สุดท้ายก็ตอบออกไปตามความสิ่งที่มันควรจะเป็น

“ฉันเป็นหม้ายค่ะ” เธอตัดสินใจเล่าความจริงด้วยน้ำเสียงไม่ดังมากนัก “มีลูกสาวอายุหกขวบ ตอนนี้เรายังอาศัยอยู่กับครอบครัวสามี แต่...”

เธอหยุดไปครู่หนึ่ง สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่สามีของฉันเสียชีวิต สถานการณ์ในบ้านของเราสองแม่ลูกก็ไม่ค่อยดีนัก ฉันต้องการหาที่อยู่ใหม่ให้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้”

เฉินเจิ้งหยวนนิ่งฟัง ดวงตาฉายแววเห็นอกเห็นใจ ขณะที่จูลู่ฉีวางแฟ้มเอกสารในมือลงเบาๆ

“คุณหลิง...” เฉินเจิ้งหยวนเอ่ยขึ้นหลังจากความเงียบผ่านไปครู่ใหญ่ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้น “ผมเข้าใจสถานการณ์ของคุณดี ถ้าคุณส่งแบบให้ผมครบห้าแบบภายในสิ้นเดือน ผมจะจ่ายเงินให้คุณห้าร้อยหยวนทันที”

หลิงเมิ่งเหยารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ จำนวนเงินนั้นมากพอที่จะทำให้เธอและหลิวอันอันมีที่พักใหม่ได้อย่างสบาย

“ขอบคุณมากค่ะ” เธอกล่าวเบาๆ พร้อมรอยยิ้มกว้าง “ฉันสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด”

“ผมเชื่อว่าคุณทำได้” เฉินเจิ้งหยวนยิ้มบาง

***

คำพูดของเฉินเจิ้งหยวนยังก้องในหัว ขณะที่หลิงเมิ่งเหยาเดินออกจากร้านน้ำชา เธอสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในจิตใจ ความหวังที่เคยริบหรี่เริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

ทุกย่างก้าวของเธอเบาราวกับลอยได้ ความทุกข์ที่เคยถ่วงอยู่ในอกเริ่มผ่อนคลายลง กลิ่นผักสดและอาหารทะเลที่ลอยในอากาศ ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมา วันแรกที่เธอพาหลิวอันอันมาที่ตลาดแห่งนี้ ทั้งคู่หิวโหย แต่มีเงินติดตัวเพียงน้อยนิด หลี่เหม่ยจูเป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นสายตาอ้อนวอนของเด็กน้อย และแอบหยิบผักเพิ่มให้โดยไม่คิดเงิน

เธอเร่งฝีเท้าไปยังแผงผักที่คุ้นเคย หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจ ขอบคุณ และตื้นตันใจ หลี่เหม่ยจูกำลังจัดเรียงผักใบเขียวสดบนแผง เสียงต่อรองราคาและเสียงหัวเราะของแม่ค้าแผงข้างๆ ดังแว่วมาเป็นระยะ

“พี่เหม่ยจู!” หลิงเมิ่งเหยาเรียกเสียงดัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้าง “ขอบคุณมากนะคะที่แนะนำคุณชายเฉินให้รู้จัก”

“อ้าว เมิ่งเหยา” หลี่เหม่ยจูเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เธอวางผักในมือลงอย่างแผ่วเบา “คุยงานเป็นยังไงบ้าง?”

“เขาตกลงจ้างฉันออกแบบชุดให้ห้าแบบ พี่เหม่ยจู... ถ้าไม่ได้พี่...” หลิงเมิ่งเหยาพยักหน้า แววตาตื้นตันใจส่งผ่านไปยังหลี่เหม่ยจูอย่างปิดไม่มิด

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่แค่บอกความจริงเอง วันนั้นที่คุณชายเฉินมาเดินตลาด เห็นชุดของเธอแล้วถามถึง พี่ก็แค่บอกว่าจะติดต่อเจ้าของให้” หลี่เหม่ยจูโบกมือ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบส้มสองลูกจากตะกร้าผลไม้ข้างๆ

“เธอมีฝีมือจริงๆ ต่างหาก พี่แค่ช่วยเปิดประตูให้เท่านั้น”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ