ตอนที่ 10 เด็กน่ารำคาญหายไปไหน

“เดี๋ยวทุกคนจะได้ฝึกขี่ม้ากับครูฝึกนะครับ ใครสวมเครื่องแต่งกายเรียบร้อย มีหมวกมีสนับเข่าแล้วก็เตรียมตัวได้เลย”

นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติฟังคำแนะนำของผู้ดูแลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มองไปทางกองฟางไกลๆ ไม่เห็นมีใครอยู่ พนักงานของไร่มั่นรักถามขึ้นทันที “ใครบอกว่าพ่อเลี้ยงอยู่สนามขี่ม้าวะ”

“อ้าว ก็พวกแม่บ้านบอกมาแบบนี้ ยังฝากกับข้าวมาให้ด้วย หรือกลับไปแล้ว” ชายคนงานคนหนึ่งที่ถือปิ่นโตบอกออกไป

“ไม่รู้ว่ะ งั้นลองเรียกดูแล้วกัน พ่อเลี้ยงครับ! พ่อเลี้ยงครับ!”

“ไกลขนาดนี้จะไปได้ยินเหรอะ เดินไปดูเลยเผื่อนอนงีบอยู่หลังกองฟาง”

เพราะเจ้านายยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง คนงานผู้รับอาสานำอาหารมาส่งจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาคน ทว่าอีกไม่กี่ก้าวจวนจะถึงหูพลันได้ยินเสียงบางอย่างจึงหยุดกึก ดวงตาเบิกค้างเดี๋ยวนั้น ใครมันมาทำอะไรอยู่หลังกองฟาง บัดสีบัดเถลิง ฟ้าแจ้งลมโกรกทุกทิศ ไม่อายไม่คันยุกยิกกันเหรอ

“อือ! พี่ครามเหมือนหนูจะได้ยินเสียงคนเรียกเลย อ๊า! พอแล้วค่ะ หนูไม่ไหวแล้ว”

คุณานนท์ที่กำลังซอยเอวเพลินเหงื่อหยดย้อย ยิ่งกระแทกร่องยิ่งเมามัน แทบไม่สนใจโลกภายนอก “ไม่ไหวแต่ตอดไม่หยุดเลยนะ เธอนี่มันเชื่อไม่ได้” เขาเสยเข้าใส่สุดความยาว สูดลมหายใจลึกก่อนจะโจนจ้วงหนักกว่าเดิม

“เสียวก็ร้องออกมา ชอบร้องไห้นักไม่ใช่เหรอ จำไว้เลยนะ ถ้าครั้งหน้ายังมาน้ำตาอาบให้พี่เห็น เธอจะโดนแบบนี้”

“อร้ายย! เบาค่ะ อร้ายย! แรงไปแล้ว”

สองหนุ่มสาวกำลังควบขี่กันในท่าคลานเข่า เหงื่ออาบไหลโทรมพลันได้ยินเสียงตะโกนแว่วมา “พ่อเลี้ยงอยู่นั่นไหมครับ!”

ไม่ใช่เสียงที่อยู่ใกล้นัก ระยะเหมือนตะโกนมาจากอีกฝาก คุณานนท์ชะโงกหน้าจากกองฟางไปมอง สบตากับคนงานรุ่นน้องที่มาพร้อมปิ่นโตอาหาร ซึ่งยืนตัวแข็งทื่อใกล้ๆ พวกเขาไม่ว่ารู้นานแค่ไหนแล้ว “มีเรื่องอะไร?”

“ผมเอาข้าวมาส่งครับพ่อเลี้ยง”

“อืม วางไว้นั่นแหละ” เขาทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ไม่อายที่กำลังสอบสะโพกเย้ยฟ้าท้าดิน พอเร่งเร้าจนเสร็จยกนี้ก็ถอนตัวออก ดวงตาเหลือบมองหยาดสายธารสีขาวขุ่นที่ไหลรดออกมาจากโพรงเนื้อนุ่มแวบหนึ่ง “แต่งตัว จะได้กินข้าว”

จุกจนเหมือนจะตายแบบนี้ ใครมันมีอารมณ์กินข้าวกัน ขอร้องเถอะ ตอนนี้เธออยากกลับบ้านไปอาบน้ำเหลือเกิน มันคับยุบยิบทั้งตัว โดนฟางบาดแสบผิวหมดแล้ว

ต่างคนต่างแต่งตัว มองไปเห็นพวกนักท่องเที่ยวลูกค้าของรีสอร์ทมาหัดขี่ม้ากันแล้ว นันท์นรีก็ลอบโล่งใจและตะลึงเวลาที่พวกเขาใช้ทำกัน ดีว่าหยุดทัน แต่เหมือนก่อนหน้านั้นคุณานนท์จะคุยกับใครหรือเปล่า โอ๊ย! เธอมัวแต่มึนงงเลยไม่ได้สังเกต คนที่นำปิ่นโตอาหารมาให้ต้องรู้แล้วแน่ๆ

“หนูไม่กินค่ะ จะกลับบ้านแล้ว ตอนนี้มันคันมากๆ” นันท์นรีเกาคอเกาแขน แสบร้อนเจียนจะบ้า

คุณานนท์มองเธอ สีหน้าแฝงความหมายคลุมเครือ “ยังไม่หายคันอีกเหรอ โดนเอาตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสามแล้ว”

“คันที่หมายถึงคันจริงๆ ค่ะ กองฟางนะไม่ใช่ที่นอนนุ่มๆ” ประโยคหลังหญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว สวมเสื้อผ้าเสร็จก็ติดปัญหาเดิมอีกครั้ง หลังจบศึกเธอไม่เคยข่มความเจ็บแสบที่หว่างขาได้เลย พอลองเดินก็น่องสั่นจนสีหน้าย่ำแย่ แต่ไม่อ้อนให้เขามองว่าสำออยหรอก แข็งใจหน่อยก็สามารถยืมรถเอทีวีของทางไร่ขับกลับบ้านได้แล้ว

ชายหนุ่มส่งเสียงเยาะ “ฮึ! โดนของใหญ่แล้วยังทำเป็นเก่ง สภาพนี้กลัวคนอื่นเขาไม่รู้ว่าพึ่งเอากันมาเหรอไง”

คำพูดหน้าไม่อายทำคนฟังถึงกับสะอึก นันท์นรีหน้าบึ้ง “แล้วพี่จะอุ้มหนูนาไหมล่ะคะ หรือจะด่าอีกว่าสำออย”

“หรือเธอจะบอกว่าตัวเองไม่ได้สำออย”

คนมองโลกในแง่ร้าย ใจคออำมหิตที่สุด “งั้นก็ช่างเถอะค่ะ เดินเองยังดีกว่าฟังคำพูดไม่น่ารักจากคนบางคน”

ตั้งใจส่อเสียดเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็น่าสงสารเกินจนขัดหูขัดตา คุณานนท์แม้เย็นชาไม่อบอุ่นเหมือนแต่ก่อน ทว่ายังมีใจเอื้อเฟื้ออยู่บ้างจึงโน้มตัวลงไปอุ้มนันท์นรีลอยหวือขึ้นมา ทุกย่างก้าวมีสายตาจับจ้องทั้งของคนงานไร่มั่นรักเองและนักท่องเที่ยวหัวดำหัวทองจากรีสอร์ทไร่ส้มข้างเคียง จะว่าแปลกก็ไม่เกินไป ใครเขาอุ้มกันเดินไปมาแบบนี้บ้าง

“คุณหนูนาลูกสาวกำนันเล็กไม่ใช่เรอะนั่น เป็นอะไรไป ทำไมพ่อเลี้ยงถึงได้อุ้มมาล่ะ” คนไม่รู้ถามด้วยความงุนงง

ส่วนคนที่พอจะเดาสาเหตุได้ไม่ค่อยอยากเล่า แต่มันคันปากยุบยิบ อย่าเรียกว่านินทาเลยประเดี๋ยวจะตกงาน เรียกว่าคลายข้อสงสัยแล้วกัน “เดินไม่ไหวกันทีเดียว พ่อเลี้ยงของเราตั้งแต่มาอยู่ไร่ไม่เคยมีข่าวกับคนงานสาวๆเลย ฉันก็หลงคิดว่าเจ้านายของเราถือศีลไม่ยุ่งสีกา ที่ไหนได้ แค่ยังไม่เจอคนที่ชอบพอจะให้ความสนใจมากกว่า”

เขาลุ้นแทบตายอยากรู้ว่าสาวคนไหนกันที่กำลังร้องครางสะอึกสะอื้นอยู่หลังกองฟางกับพ่อเลี้ยงหนุ่ม ไอ้เดาก็ส่วนเดา พอเฉลยว่าเป็นเถ้าแก่สาวสวยจบใหม่ไร่ข้างเคียง ก็ทำเอาอึ้งอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน

“เอ็งหมายความว่ายังไงวะ พูดให้มันชัดๆ ซิ”

“ก็คุณหนูนาสวยหยาดเยิ้มอย่างกับนางฟ้าลงมาโปรดขนาดนั้น พ่อเลี้ยงเราจะอดใจไหวเหรอ เมื่อกี้ฉันไปขัดจังหวะ ดีนะไม่โดนด่า อย่าเอาไปพูดต่อล่ะ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงรู้เข้าได้โดนแน่”

อย่าเอาไปพูดต่อไม่มีอยู่จริง หลังคุณานนท์อุ้มนันท์นรีวันนั้น ไร่องุ่นมั่นรักกับไร่ส้มฟ้าอุ่นเกิดข่าวลือเกี่ยวกับทั้งสองคนจนลอยไปเข้าหูพวกพ่อๆ แม่ๆ ต่างฝ่ายต่างไถ่ถามลูกชายลูกสาวของตน พอคนยืนยันว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ต่อแต่นี้จะต้องจับตาดูความสัมพันธ์ของทั้งคู่เอาไว้

นันท์นรีไม่รู้ความคิดผู้ใหญ่ พอเริ่มไปมาหาสู่กับคุณานนท์บ่อยขึ้น อาศัยความร่วมมือทริปเที่ยวเพื่อให้มีข้ออ้างเจอหน้าเขา ล่วงไปเกือบเดือนอย่างไม่รู้ตัว จากคนแปลกหน้ากลายเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจ แถมมีความสัมพันธ์แนบเนื้อกันอย่างลับๆ ตามโอกาสที่เหมาะที่ควร โดนคนเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง แต่ก็ยังถูไถผ่านไปได้ แม้ชายหนุ่มจะยังเว้นระยะห่างไม่ให้เธอเข้าไปในพื้นที่หัวใจ แต่นันท์นรีก็ไม่เคยยอมแพ้

ทุ่มเทแรงกายแรงใจใช้ความน่ารักที่มาจากเนื้อในตามจีบคุณานนท์อย่างสม่ำเสมอ แทบจะกลายเป็นหางน้อยๆ ของเขาแล้ว คนในไร่มั่นรักชินตา ยังไม่ประกาศสถานะเป็นทางการแต่ก็เข้าใจได้เองว่าคนทั้งคู่กำลังศึกษาดูใจกันอยู่

“ใครบอกว่าศึกษาดูใจ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

คุณานนท์ไม่คล้อยตามสักนิด ต่อให้นันท์นรีจะประโคมข่าวรู้กันไปทั้งจังหวัด ก็ไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าตนกำลังทำเรื่องไร้สาระกับเธอ ในเมื่อมาอ้าขาให้ง่ายๆ ก็แค่เอาไปตามระเบียบ เด็กที่หน้าซื่อแต่เวลาอยู่บนเตียงราวกับคนละคน เขาไม่ชอบ มันสื่อให้เห็นว่าผู้หญิงประเภทนี้ไม่จริงใจ ล้วนแล้วแต่เหมือนคนเก่าๆ ที่ผ่านมา

“วันนี้ปฏิเสธ วันหน้าอาจเสียดายก็ได้นะคะ เราเป็นของกันและกันแล้ว พี่ครามไม่ใช่ว่าชอบทำอย่างนั้นก็หนูเหรอ” นันท์นรีลอยหน้าบอกออกไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“แก่แดด ใครสั่งให้สอนให้ทำเสียงแบบนี้กับผู้ใหญ่”

“หนูแก่แดดก็ได้ แต่คนแก่บางคนน่ะหัดยอมรับหน่อยเถอะค่ะว่าชอบหนูแล้ว อย่าปากไม่ตรงกับใจ” นันท์นรียังไม่ยอมแพ้ เดินอ้อมหน้าอ้อมหลังล้อเลียนคนแก่หน้าดุอย่างหยอกเย้า

“อย่ามายั่วโมโหพี่นะหนูนา” คุณานนท์หยุดเดินเอ่ยเสียงดุทั้งถลึงตาใส่ด้วย

นันท์นรีเบ้ปากหน้างอ ไม่เคยจะพูดดีๆ กับเธอเลยสักครั้ง คอยดูเถอะ ไม่มาหาแล้วจะเหงา

เวลาผ่านไปอีกเดือน คุณานนท์แม้รำคาญแต่ก็เริ่มชินเล็กน้อยกับการที่นันท์นรีมาวอแวเซ้าซี้อยู่รอบตัวเขา ทว่าช่วงนี้เงียบหูดีหน่อย สามวันแล้วที่คนหายหน้าหายตาไป ไร่มั่นรักจึงสุขสงบอย่างหาได้ยากในรอบสองเดือน

“คิดถึงหนูนาจังเลยพี่คราม นัดกันว่าจะทำขนมแต่คนดันป่วยก่อน” น้ำปิงลูกพี่ลูกน้องของคุณานนท์บ่นเสียดาย ตั้งแต่มีนันท์นรีมาเยี่ยมหา บ้านช่องที่แสนอึมครึมของญาติผู้พี่ก็น่าอยู่ขึ้นมาก พอช่วงนี้เธอไม่มา พริบตาเดียวกลับกลายไปเป็นสถานที่ของคนทุกข์อีกแล้ว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ