“ก็กูชอบมึงยังไงละไอ้งั่ง”
“….”
“ก็เพราะคิดกับมึงมากกว่าเพื่อนยังไงละกูถึงเป็นแบบนี้ รู้สึกปวดใจเวลาที่มึงมาหงุดหงิดใส่ตอนที่กูหยอก กูชอบตอนที่มึงมีโมเมนต์น่ารักกับกู แต่ช่างแม่งเถอะ มึงเป็นผู้ชายนี่ ไม่ได้เป็นเกย์แบบกู”
ผมถึงกับนิ่งงันไปพักหนึ่ง เพราะอึ้งกับข้อมูลใหม่นี้ที่ได้รับรู้ ผมไม่ได้ตอบอะไรมัน และก็ไม่คิดว่าหูจะได้ยินอะไรแบบนี้ออกจากปากของเพื่อนสนิทที่สุดของตัวเองด้วย
“ขอโทษที่ทำให้อึดอัดละกัน”
ไอ้เดย์พอทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้กับผมก็สะบัดแขนเดินจากไป ปล่อยให้ผมที่กำลังยืนโง่อยู่ จมปลักกับความคิดฟุ้งซ่านที่เริ่มคืบคลานเข้ามาในจิตใจตัวเอง
เดย์ชอบผมงั้นเหรอ
ผมยืนทื่ออยู่กลางห้องเรียนคนเดียวด้วยความรู้สึกปวดหัวใจ ให้ตายเถอะไม่น่าเชื่อว่าการที่มันปฏิบัติต่อผมคล้ายทีเล่นทีจริงแทบทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันมันไม่ใช่การหยอกล้อแบบเพื่อน ใช่...ไอ้เดย์มันคิดแบบนั้นจริง ๆ มาโดยตลอด แต่ไหงการที่มันบอกผมแบบนั้นผมถึงรู้สึกเจ็บเองซะได้ ผมทำให้มันโกรธซึ่งไม่ควรทำเลย บ้าชะมัดไอ้มาร์ชเอ๊ย
............................................................
“ทำไมกลับมาดึกจังมาร์ช วันนี้มีกิจกรรมเหรอ?”
ประโยคคำถามของแม่ดังขึ้นขณะที่สองเท้าของผมก้าวเข้ามาในบ้าน
สภาพใบหน้าอมทุกข์เหม่อลอยที่เดินอ้อยอิ่งมายังโต๊ะอาหารซึ่งเหลือจานข้าวเพียงจานเดียว เพราะคนในครอบครัวทานไปหมดแล้ว ทำให้แม่ผมถึงกับต้องกลอกตามองบน
วันนี้กว่าผมจะกลับถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม เพราะไอ้เพื่อนตัวดีมาบอกชอบ ผมจึงไปนั่งคิดถึงเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาคนเดียว ในคาเฟ่ใกล้โรงเรียน ผมกะจะไปหาอะไรทำคนเดียวให้รู้สึกดีและไม่ฟุ้งซ่าน แต่สิ่งเหล่านั้นกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย สักนิด ซ้ำร้ายภาพเหตุการณ์ตอนที่เคยไปนั่งเล่นตรงนั้นกับมัน ก็ผุดฉายขึ้นมา ในหัวราวกับเป็นเครื่องตอกย้ำความรู้สึกให้ถลำลึกเข้าไปอีก
“เป็นอะไรหน้าบึ้งมาเชียว?”
แม่ถามแต่ผมส่ายหน้าตอบ ผมสนใจกับจานข้าวที่อยู่ตรงหน้าแล้วจัดแจงหยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักทานเนื่องจากรู้สึกหิว แต่การทานข้าวครั้งนี้ไม่อร่อยเลย
“วันนี้ตอนเย็น เดย์เขามาเอาเสื้อผ้าจากที่บ้านกลับไปนะ เห็นบอกว่าคงไม่ได้กลับมาอีก ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า?” ประโยคนั้นของแม่ทำให้ผมเงียบนิ่ง รู้สึกจุกในอกเหมือนคนที่กำลังอกหัก ผมไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนสนิทที่มานอนบ้านด้วยกันทุกวันจะมาขนเสื้อผ้าของตัวเองกลับกะทันหันแบบนี้
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ไอ้เดย์โกรธผมได้ไม่นานหรอก”
ผมเสแสร้งตอบทั้งที่รู้ความจริงว่ามันอาจไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“ขอให้จริงเถอะ แล้วข้าวน่ะ ทานเสร็จแล้วล้างให้ด้วย แม่จะขึ้นไปนอนแล้ว...และคุณล่ะ...จะขึ้นไปพร้อมกันไหม?”
แม่หันไปถามพ่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือจิตวิทยาอยู่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะอาหาร พ่อเพียงแค่พยักหน้าตอบแม่ ก็เป็นอันเข้าใจว่ากำลังใช้สมาธิไปกับการอ่านหนังสือที่ชอบ
“โอเคค่ะคุณ งั้นมาร์ชลูก ถ้าไม่มีใครอยู่แล้วปิดไฟข้างล่างให้ด้วยนะ”
“ครับแม่”
ผมตอบก่อนจะกลับมาจัดการตักข้าวไก่ทอดที่อยู่บนโต๊ะเข้าปาก แต่พอเห็นน่องไก่ทอดแล้วใบหน้ากวนตีนของไอ้เดย์ก็ลอยขึ้นมาในหัวเฉยเลย
เมื่อทุกอย่างเงียบลง ทั้งบ้านก็ไม่มีเสียงอะไรมากวนใจอีกนอกจากเสียงรถวิ่งผ่าน
ผมก้มหน้านิ่งชั่วครู่ก่อนที่จู่ ๆ น้ำตาจะไหลลงมา ใช่...ผมกำลังรู้สึกแย่ที่เพื่อนสนิทโกรธผมแบบนั้น ผมกินข้าวทั้งน้ำตาจนพ่อที่นั่งอยู่เห็นผมที่กำลังเป็นบ้าอยู่คนเดียวจนต้องถาม
“เป็นอะไร?”
หลายครั้งที่ผมมีปัญหาผมมักจะปรึกษาพ่อ การที่ผมร้องไห้ให้เขาเห็นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันกลับเป็นความสบายใจของผมเสียอีก
“เดย์บอกชอบผมครับ”
ผมตอบก่อนกะพริบตาปริบ ๆ มองหน้าพ่อด้วยความรู้สึกเสียใจ
“แต่เดย์เป็นเพื่อนสนิทของผม”
“แล้วไงล่ะ เดย์ชอบแก แล้วแกรู้สึกยังไง?”
พ่อถามผมต่อ ผมเพียงแต่ส่ายหน้าแล้วนึกหาคำตอบ
“ผมไม่รู้อะ ผมแค่รู้สึกเหมือนกำลังเสียเพื่อนไป”
“เดย์บอกชอบแก แล้วแกจะทำยังไงต่อล่ะ จะร้องไห้ทำไม เป็นผู้ชายหรือเปล่า?”
พ่อสอนให้ผมเข้มแข็ง หลายครั้งที่ผมร้องไห้เขาก็มักจะพูดคำนี้ ตอนนี้ดูเหมือนมันกลายเป็นคำล้อไปเสียแล้ว ผมห้ามน้ำตาของตัวเองไม่ได้จริง ๆ
“ผมก็แค่ไม่ตอบ ผมสับสนอะพ่อ ถ้าผมเป็นเกย์ล่ะ พ่อจะรู้สึกยังไง”
ผมก้มหน้าปาดน้ำตา พยายามพูดความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดที่มี การที่ผมแคร์เดย์ขนาดนั้น การที่ผมร้องไห้เพราะมันขนาดนี้ ผมเป็นอะไร ทำไมผมต้องเป็นแบบนี้ ผมสับสน สับสนไปหมดเลย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?