ฟังลูกพี่ลูกน้องบ่นกรอกหู เทียวย้ำให้ได้ยินอยู่สามวันติดเกี่ยวกับเด็กสาวแก่แดดแก่ลม คุณานนท์ชักสีหน้ารำคาญขึ้นมาหน่อยๆ โทรศัพท์ก็มีทำไมไม่คุยกันล่ะ หรือไม่ไร่ฟ้าอุ่นอยู่แค่นี้เอง ขับรถไปหายังได้ ทำอย่างกับอยู่ไกลคนละประเทศ ญาติผู้พี่วางเฉยไม่เดือดร้อน หญิงสาวเจ้าของใบหน้ากลมหวานนัยน์ตากระจ่างใสจึงยู่ปากแอบเสียดาย นันท์นรีถึงขั้นมาตามติดเขาตั้งสองเดือนเต็มๆ จนตอนนี้พี่ครามก็ไม่หวั่นไหวเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายสักนิดเลยเหรอ
“พี่ครามนี่ไร้หัวใจชะมัด คนเขาป่วยเพราะมาตากแดดตากลมเฝ้า ถามไถ่หน่อยก็ไม่ น่าสงสารหนูนาจริงๆ”
น้ำปิงบ่นลอยๆ ตามประสาแล้วเดินกลับไปทำงานส่วนพานักท่องเที่ยวเยี่ยมชมไร่องุ่น ประโยคคำพูดของเธอแผ่วเบาแต่คุณานนท์ยังได้ยิน เขาขมวดคิ้วเข้มย่นเข้าหากัน จากนั้นล้วงโทรศัพท์ออกมาเลื่อนดูแชทข้อความของใครบางคน เงียบกริบ…“ฮึ! มาเฝ้าเอง พอป่วยขึ้นมาเป็นความผิดของฉันหรือไงวะ”
เขาจะไปรู้เหรอว่าคนทางนั้นเป็นอะไร ในเมื่ออีกฝ่ายเงียบสนิท มันไม่ใช่ธุระกงการที่ต้องทักไปถามไถ่สักหน่อย
พ่อเลี้ยงหนุ่มดันลิ้นดุนกระพุงแก้ม คล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ คุณานนท์จึงเข้าบ้านไปหยิบของแล้วขึ้นขับรถออกไป
ในเวลาเดียวกัน อาการคันคอแทบอยากเกาให้ผิวหนังถลอกก็เล่นงานนันท์นรีจนจะบ้า เธอเป็นคนแข็งแรงไม่ค่อยป่วย แต่พอเป็นขึ้นมากลับเป็นหนักทีเดียว นี่ก็สามวันแล้ว หวัดยังไม่หาย ตัวก็ร้อนอ่อนเพลียอย่างยิ่ง แถมที่ทรมานที่สุดคือโก่งไอจนแสบคอ หมอให้ยามารักษาใช่จะหายในวันสองวัน ระหว่างนี้จึงไม่สามารถออกจากบ้านพักไปแพร่เชื้อให้คนอื่น
ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว! จามทีก็น้ำมูกน้ำตาไหล นันท์นรีจ้องหน้าจอโทรศัพท์ในมือ ตลอดทั้งสามวันเธออยากกดส่งข้อความไปหาคุณานนท์ใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้าเพราะตื๊อมากไปจะดูน่ารำคาญ ประกอบกับช่วงนี้ทางไร่มั่นรักปรับปรุงทำสนามขี่ม้าใหม่ คุณานนท์คงยุ่งมาก เธอลองไตร่ตรองดู รู้สึกว่าสองเดือนที่ผ่านมาตนวางตัวไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร
เป็นสาวเป็นนางกลับเทียวตอแยเทียวโผล่ไปให้เขาเห็นอยู่เรื่อย ตามติดต้อยๆ ไม่กลัวสายตาใคร คุณานนท์เป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมมองว่าพฤติกรรมของเธอไม่น่ารักและไร้สาระ ยิ่งจะไม่ชอบไม่เปิดใจให้ เห็นได้จากการที่เขาชักสีหน้าดุใส่เสมอแถมมักพูดจาตำหนิติเตียน นันท์นรีจึงถอยสักก้าวเพื่อตั้งหลัก คนทางนั้นเองก็จะได้พักหายใจหายคอบ้าง
คนป่วยวางโทรศัพท์ลง หยิบหน้ากากอนามัยมาสวมตั้งใจจะลุกเดินออกไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมบ้าง ระยะจากบ้านพักของเธอกับตัวบ้านของพ่อกับแม่อยู่ห่างกันสิบนาที กำลังหิวพอดี ยังไม่ถึงกับต้องนอนซมให้แม่มาส่งอาหารเลยว่าจะไปกินเอง ทางปูหินสีขาวตัดผ่านสวนหย่อมเชื่อมต่อบ้านสองหลัง นันท์นรีเรียนจบก็แยกออกมาอยู่บ้านพักในส่วนของรีสอร์ทเพื่อดูแลงานบริการลูกค้าให้ทั่วถึง ว่างๆ จึงจะไปร่วมรับประทานอาหารคุยเล่นกับพวกท่านบ้าง
บ้านของบิดามารดาเป็นบ้านที่เธออาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก ระหว่างทางต้องข้ามสะพานเล็กๆ ยี่สิบกว่าก้าวเดินซึ่งเป็นงานออกแบบและก่อสร้างโดยบิดา ด้านล่างคือบ่อปลาคาร์ฟสามสิบตัว ก้นบ่อลึกประมาณต้นขา ปูพื้นดำเมื่อม ใช้น้ำระบบหมุนเวียนเลยใสสะอาด มองลงไปจะเห็นปลาตัวยาวเท่าท่อนแขนสีส้มบ้าง ขาวบ้างแหวกว่ายฉวัดเฉวียนเฉียดชนกันไปมา และเพราะว่าตอนนั้นรอบบริเวณมันเงียบมาก นันท์นรีจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ เธอมองเพียงปลาสีสันสวยงามในน้ำ
จู่ๆ คันคอเลยไอขึ้นมายกใหญ่ “แค่กๆ แค่กๆ”
ข้างบ่อปลามีความเคลื่อนไหว พอโก่งคอไอจนสะใจนันท์นรีค่อยรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของอีกฝ่าย “แค่กๆ”
ไม่พูดไม่จาก็หันหลังวิ่งลิ่วกลับไปยังเส้นทางเดิมคุณานนท์ที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวตื่นตกใจอะไรย่นคิ้ว ถูกกระต่ายตื่นตูมในชุดนอนสีชมพูหวานทำให้ยืนนิ่งไปแล้ว เมื่อครู่ใช่เด็กแก่แดดหรือเปล่า ถ้าใช่ ไฉนต้องวิ่งหนีหางจุกตูดราวกับเห็นผี ดูแปลกประหลาดไม่เหมือนนิสัยที่ผ่านมาของเธอเลย
ปัง! ประตูปิดสนิท นันท์นรีถอดหน้ากากอนามัยออกเพื่อให้หายใจคล่อง “พี่ครามมาที่นี่เหรอ มาทำไม หรือว่ามาเยี่ยมเรา” หญิงสาวเหนื่อยหอบหน้าแดง ที่มากกว่าคือตื่นเต้นจนลนลานรีบสาวเท้าไปยืนหน้ากระจกส่องดูสารรูปตัวเอง
“ดีนะที่ใส่หน้ากากอนามัย โทรมขนาดนี้จะมีหน้าไปเจอเขาได้ยังไง ว่าแต่พี่ครามมาทำไม มาหาพ่อกับแม่? หรือว่ามาหาเธอ?” นันท์นรีเข้าข้างตัวเองได้อย่างหน้าไม่อาย
ทว่าที่ตนวิ่งไม่คิดชีวิตเมื่อครู่มันออกจะแปลกไปหน่อยไหม ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ฉุกละหุกจวนตัวใครก็ต้องทำตามสัญชาตญาณทั้งนั้นแหละ ขืนให้คุณานนท์เห็นสภาพอย่างกับวิญญาณหลุดออกจากร่างของตนคงแย่ จะมีผู้หญิงที่มั่นใจในหน้าสดสักกี่เปอร์เซ็นต์กัน
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูฉุดดึงสติของนันท์นรี เวลานี้คงเป็นมารดามาหา ไม่คิดระแวงระวัง เพียงสวมหน้ากากอนามัยให้เรียบร้อย หญิงสาวก็บิดกลอนดึงประตูเปิดออก
“โอ๊ะ! พี่คราม!?” นันท์นรีตกใจจนใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วสามารถซีดลงได้อีก ให้ตายก็ไม่อยากเชื่อว่าคนที่มาเคาะเรียกเธอจะเป็นคุณานนท์ ในช่วงเวลาที่บีบคั้นนันท์นรีลืมแม้กระทั่งว่าต้องถามต้องหยอกล้อฉอเลาะชายหนุ่มยังไง เธอเอาแต่ยืนทึ่มทื่อกลั้นสุดขีดไม่ให้ไอ เขาจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเอ่ยปากแทน
“วิ่งหนีทำไม?”
ไม่คิดว่าจะเจอคำถามนี้ ให้หลอกว่าตนไม่ใช่นันท์นรี ไม่ได้เป๋อเหลอสติแตกวิ่งหนี คนเชื่อคงโง่เต็มที หญิงสาวพลันถอยหลังไปสามก้าวและส่ายมือส่ายหน้าห้ามเขาเข้ามาในบ้าน “อย่าอยู่ใกล้หนูนาค่ะ ตอนนี้หนูนาเป็นหวัด พี่คราม เอ่อ…มีอะไรหรือเปล่าคะถึงมาหา หรือว่า แค่กๆ คิด…แค่กๆ”
จะพูดก็ไม่ได้พูด แค่อยากล้อเขาว่าคิดถึงเธอใช่ไหมช่างยากเย็นอะไรอย่างนี้ ไอโขลกจนแสบคอ นันท์นรีจึงสงบลง
คุณานนท์ก็ไม่ได้ก้าวขาเข้าไป เพียงวางถุงกระดาษซึ่งมีขนมอยู่จำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะแทน “พี่มาทำธุระ นี่เป็นของที่น้ำปิงฝากมาให้ ยังไออยู่ก็อย่าพึ่งกินขนม”
“ออ…ค่ะ งั้นฝากขอบคุณน้ำปิงให้ด้วยนะคะ ไว้หายดีแล้วจะเอาขนมไปฝากเธอบ้างค่ะ”
“บอกเองสิ โทรศัพท์พังเหรอถึงส่งข้อความไปไม่ได้”
“เอ่อ…ขอโทษที่รบกวนค่ะ เดี๋ยวหนูนาทักไปหาน้ำปิงเอง พี่ครามมีอะไรอีกไหมคะ? สนามม้าน่าจะปรับปรุงเสร็จแล้ว หลายวันมานี้พี่ยุ่งน่าดูเลย ไว้หนูนาจะทำของอร่อยๆ ไปให้พี่กินตอนหายดีนะคะ แค่กๆ”
เสียงแหบแห้งของคนตรงหน้าชวนเวทนาเหลือทน ป่วยจนกลายเป็นแบบนี้ยังไม่ประมาณตนคิดเซ้าซี้เขาอีก
ทว่าในความรำคาญมีความสงสารน้อยนิดผุดขึ้นมา ราวกับบ่อน้ำพุกระจิดริดกลางพื้นที่แห้งแล้ง ซึ่งมอบความเย็นชอนไชความชื้นให้พื้นดินแตกระแหงอย่างไรอย่างนั้น ยังมีความเอ็นดูแปลกๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุผสมด้วย
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ช่วงนี้พี่ไม่ยุ่ง ถ้าอากำนันกับแม่หวานไม่อยู่ก็ส่งข้อความมา เป็นอะไรไปจะได้ช่วยทัน”
นันท์นรีนึกว่าตัวเองถูกพิษไข้เล่นงานจนหูฝาด ทั้งไม่ค่อยอยากเชื่อเพราะคนที่พูดคือคุณานนท์
“พี่ครามหมายความว่า หนูนาส่งข้อความหาพี่ได้เหรอคะ”
“เท่าที่จำเป็น ไม่ฉุกเฉินไม่ต้องพร่ำเพรื่อ”
คำตอบสมกับเป็นพ่อเลี้ยงหนุ่มผู้เย็นชาเข้าถึงยาก แต่กับคนที่ได้รับการเหลียวแลมันมีค่ามากมาย นันท์นรีดีใจจนเหงื่อซึมร้อนลวกไปทั้งตัว พอตกเย็นก็ได้จิ้มนิ้วส่งข้อความแรกในรอบสามวันไปหาเขา ถามไถ่สารพัด เล่าอาการของตนให้เขาฟัง แต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับสักแอะ เพียงเปิดอ่านแล้วเงียบไป
“ทำไม่ไม่คุยกับเราเลยล่ะ” หรือต้องเรียกร้องความสนใจมากกว่านี้ นันท์นรีคิดถึงเรื่องหนึ่ง แก้มพลันร้อนผ่าวขวยเขิน
เธอเป็นสาวหัวสมัยใหม่ก็จริง ทว่ากลับไม่เคยลองทำแบบนี้มาก่อน…
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?