ตอนที่ 9 เลี้ยงอาหาร

อาหลีไม่ได้เข้าไปในห้องโถงด้วย แต่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งยังเป็นถึงมือซ้ายของเหยียนฮ่าว

วรยุทธ์จึงสูงส่งไม่ต่างจากเจ้านายตนเองสักเท่าไหร่ คำพูดที่เหยียนฮ่าวกล่าวกับฮวาไท่ซีเขาล้วนได้ยินทุกคำ อาหลีขมวดคิ้วสงสัยอีกแล้ว และยังเป็นเหยียนฮ่าวที่เอ่ยปากคลายความสงสัยเช่นเดิม

“ต่อให้เรื่องเกิดเมื่อปีที่แล้วอย่างไรก็ต้องมีคนพบเห็นอยู่บ้าง เจ้าส่งคนไปบอกอาหลาง” เหยียนฮ่าวก้าวเท้าขึ้นรถม้า รอกระทั่งมันเคลื่อนพ้นหน้าจวนแม่ทัพสกุลฮวาแล้วถึงค่อยพูดต่อ “ให้ส่งคนไปตามหาแม่ทัพน้อยสกุลฮวาผู้นั้นด้วย ข้าเกรงว่าเขาจะไม่รอดจากสนามรบเสียแล้ว”

อาหลีพยักหน้ารับ แต่ยังคงถามต่อ “เช่นนี้แล้วจะต้องแจ้งแม่ทัพฮวาหรือไม่ขอรับ”

“คนเป็นบิดามีหรือจะไม่รู้ว่าบุตรตนเองตายหรืออยู่ เขายังทำใจไม่ได้ก็ปล่อยเขาไป ไม่ใช่ธุระอะไรที่ข้าจะต้องทำให้เขาเบิกตายอมรับความจริง”

“ขอรับ นายท่าน”

เหยียนฮ่าวเอนกายพิงผนังรถม้า เขาหยิบจอกชาขึ้นดื่มน้ำอึกหนึ่ง “อาหลางส่งรายงานมาหรือยัง”

“ส่งมาแล้วขอรับ เป็นฝีมือสำนักดับตะวันเช่นเคย เห็นว่าคราวนี้เป็นศิษย์เอกที่ลงมือเอง ต่อมาเขาถูกคนจากหลายสำนักล้อมไว้ทำให้หนีลำบาก มิรู้ว่าศิษย์เอกผู้นั้นคิดอันใดถึงได้ปลิดชีพตนเองโดยการระเบิดพลังปราณ นอกจากเขาแล้ว คนที่ยืนอยู่ใกล้ต่างถูกระเบิดพัดพาร่างไปด้วยขอรับ”

“ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของสำนักดับตะวัน ที่แท้ก็ได้แค่นี้เอง” เหยียนฮ่าวปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน มิรู้ว่าเพราะเหตุใดชั่วขณะนั้นเขาถึงได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอัปลักษณ์ของเด็กคนหนึ่งขึ้นมา

เหยียนฮ่าวขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก แต่มิว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจปัดสีหน้านั้นทิ้งไปได้เลย

สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจมันอีก เพียงปิดตาพักผ่อนจนรถม้าเคลื่อนไปถึงโรงสุราบังหน้าหอข่าว เหยียนฮ่าวก้าวเท้าลงจากรถด้วยท่าทางงามสง่า ก่อนหายลับไปท่ามกลางกลุ่มคนที่รวมหัวร่ำสุรากันบริเวณชั้นล่าง

เพราะสิบตำลึงทองก็อยากได้ ห้าสิบอีแปะก็เสียดายทิ้งไม่ลง อวี๋เฟยฮวาจึงหามรุ่งหามค่ำคัดอักษรจนแล้วเสร็จในกลางดึก นางนอนหลับไปได้เพียงสองชั่วยามเท่านั้นก็ถึงเวลานัดที่บอกกล่าวกับนายท่านไว้แล้ว อวี๋เฟยฮวาขยับกายลุกออกจากกองฟาง หาได้มีท่าทีง่วงงุนแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตของนางเป็นประกายระยิบระยับ แทบจะคั้นคำว่าเงินตำลึงออกมาได้อยู่แล้ว

นางเดินไปทางถังน้ำที่ตักไว้ตั้งแต่เมื่อวาน วักน้ำล้างหน้าลวก ๆ ครั้งหนึ่งก็หันไปหยิบตำราขึ้นกอดแนบอก ก่อนเดินออกจากอารามร้างยังมีแก่ใจหันไปบอกอาหยางและอาเยว่ว่า

“วันนี้พี่หญิงใหญ่จะออกไปหาเงิน เป็นเด็กดีรออยู่ที่นี่นะ แล้วข้าจะซื้อเป็ดย่างมาให้”

อาหยางและอาเยว่ยังเป็นเด็ก กินแต่โจ๊กเปล่ากับผัดผักมานานก็ย่อมต้องรู้สึกเบื่อ เด็กน้อยรีบพยักหน้ารับรัวเร็วถึงขั้นรับปากหนักแน่น

“พี่หญิงใหญ่วางใจได้ ข้าจะเป็นเด็กดีรอท่านอยู่ที่นี่ ส่วนน้องสาว ข้าจะไม่ให้คลาดสายตาแน่นอน”

“อาหยางเด็กดี”

กล่าวเพียงเท่านั้นอวี๋เฟยฮวาก็เดินออกจากอารามร้างไปด้วยฝีเท้าเร่งร้อน นางเงยหน้ามองท้องนภาด้านบนเล็กน้อย เห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดมากแล้วก็ยิ่งขยับขาเดินให้เร็วขึ้นอีกหน่อย อวี๋เฟยฮวาไม่แน่ใจนักว่าเหตุใดนายท่านถึงได้นัดเด็กตัวน้อย ๆ เช่นนาง แต่ในเมื่อเขามีงานให้ทำ นางเองก็ย่อมต้องทำให้ดี

อวี๋เฟยฮวารีบเอาตำราที่คัดได้ไปส่งยังร้านเขียนหนังสือ นางได้รับเงินห้าสิบอีแปะก็เก็บเข้าอกเสื้ออย่างทะนุถนอมก่อนรีบวิ่งไปอีกฟากหนึ่งของตลาด ตอนที่ฝีเท้านางหยุดอยู่หน้าโรงหมอ รถม้าคันใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาจอดพอดิบพอดี

อวี๋เฟยฮวาสูดลมหายใจลึกเข้าปอด นางขยับริมฝีปากยิ้มแย้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “นายท่าน”

เหยียนฮ่าวไม่ได้ลงจากรถม้าเลยสักนิด เขาเพียงสั่งให้อาหลีพาตัวอวี๋เฟยฮวาขึ้นรถ นางนั่งลงบนพื้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ นิดหน่อย แต่เมื่อปรับตัวให้ชินกับผนังรถม้าได้ เด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้น มองชายสวมหน้ากากเต็มตา

“นายท่าน มีอันใดให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ”

อาจจะเพราะสายตาที่ทอดมองมาหาได้มีความเขินอายหรือความเทิดทูนสักกระผีกริ้น มีเพียงสายตาที่มองเห็นเงินทองเท่านั้นจึงทำเอาเหยียนฮ่าวรู้สึกขบขันเล็กน้อย เขากระแอมไอกลบเกลื่อนท่าที ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“ข้าจะเลี้ยงอาหารเจ้า เลือกมาสักร้านสิ”

อวี๋เฟยฮวากะพริบตาปริบ งุนงงจนรู้สึกบื้อใบ้ไปชั่วขณะ “นายท่าน? งานที่ท่านจะให้ข้าทำ คือการกินหรือเจ้าคะ?”

“ใช่ เลือกมา”

มีคนเลี้ยงข้าวใช่ว่าจะไม่ดี อีกทั้งกินแล้วยังได้เงินเช่นนี้เป็นงานสบายที่หาไม่ได้อีกแล้ว อวี๋เฟยฮวาจึงไม่รอช้า บอกชื่อเหลาอาหารที่นางอยากทานมาตั้งแต่ตอนอยู่ในหออวี้เหริน อาหลีคอยอยู่ก่อนแล้ว ตอนที่ได้ยินชื่อออกจากปาก เขาก็ตวัดแส้ฟาดม้าคราหนึ่ง รถม้าจึงค่อย ๆ เคลื่อนออกไปตามทาง

อวี๋เฟยฮวานั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนพื้นด้านข้าง ไม่ได้ถามถึงสาเหตุทั้งยังไม่ทวงหาเหตุผลเช่นกัน ใบหน้าเด็กหญิงมีรอยยิ้มประดับ สายตามองตรง แต่เมื่อเหยียนฮ่าวขยับมือครั้งหนึ่ง นางก็รีบพุ่งคว้าจอกชาไว้ จัดการรินชาส่งถึงมือเสร็จสรรพ

“นายท่าน เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”

เหยียนฮ่าวชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรับมาดื่มอย่างเป็นธรรมชาติ เขายื่นจอกให้นางเติมให้อีกหนหนึ่ง เห็นท่าทีคล่องแคล่วว่องไวนั่นแล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นมาจนเผลอพูดออกไปอย่างผิดวิสัย

“เจ้าเคยทำงานเป็นสาวใช้?”

อวี๋เฟยฮวายิ้มแย้ม มิได้กล่าวว่านางเคยเป็นเด็กในหออวี้เหรินที่เกือบจะถูกแม่เล้ายัดเข้าห้องขุนนางสูงศักดิ์ในอีกสามสี่ปีข้างหน้า

“มิทราบเช่นกันเจ้าค่ะ แต่พอออกมาอยู่ด้านนอกเพียงคนเดียวทั้งยังมีน้องทั้งสองต้องเลี้ยงดู ต่อให้ทำไม่เป็นก็ต้องหัดให้เป็นไว้เจ้าค่ะ”

“อ้อ”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ