“เจ้ารู้อะไรอีก บอกมาให้หมด”
อาจจะเพราะเสียงของเหยียนฮ่าวสั่นสะท้านฟังดูแล้วมิได้หนักแน่นอย่างเช่นเคยจึงทำให้
อวี๋เฟยฮวามิทันได้ฉุกใจคิด พูดออกไปตามความสัตย์จริงว่า
“อาหยางกับอาเยว่บอกว่าถ้าเจอท่านพ่อแล้ว ต้องถามคำถามหนึ่ง” นางนึกอยู่ครู่ใหญ่ค่อยพูดออกมา “คำถามคือ ‘ท่านรู้จักสถานที่ที่พระอาทิตย์และพระจันทร์มาบรรจบพบเจอกันหรือไม่’ ถ้าตอบถูกถึงจะเป็นท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เหยียนฮ่าวทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ในอกเขารู้สึกได้ถึงดวงใจที่เต้นพรวดพราด สมุนไพรนั่นอยู่ใกล้จนมือเอื้อมถึง มิว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด
“เช่นนั้นคำตอบเล่า เจ้ารู้คำตอบใช่หรือไม่”
อวี๋เฟยฮวาที่เคยตอบฉะฉานมาโดยตลอด มาถึงตอนนี้ก็ถึงกับส่ายหน้าไม่รู้บ้างแล้ว “ไม่รู้เจ้าค่ะ
อาหยางกับอาเยว่ไม่เคยบอกข้า ข้ารู้เพียงแต่ว่าทั้งสองสัญญากับท่านแม่ตนเองไว้ ว่าจะไม่ยอมบอกคำตอบให้ใครรู้สักคนเดียว”
กล่าวจบอาหลีก็เดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าบรรจุอาหารหลายใบ เขาโค้งกาย เอ่ยเสียงเบา “นายท่าน ของเตรียมพร้อมแล้วขอรับ”
เหยียนฮ่าวมองใบหน้าอัปลักษณ์ของเด็กสาวครั้งหนึ่งก่อนมองของในมืออาหลีครั้งหนึ่ง ส่วนหนึ่งในใจเขาบอกว่าเด็กและหยกหาได้เกี่ยวกัน แต่อีกใจหนึ่งก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เร่งเร้าให้เขาไปเยือนอารามร้างนั่นสักครา
เหยียนฮ่าวปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่งค่อยลืมขึ้น “อย่างไรนางก็ตัวเท่านี้ เช่นนี้ข้าเอาอาหารไปส่งให้ที่อารามแล้วกัน”
อวี๋เฟยฮวาพยักหน้ารับ ทั้งยังกล่าวเยินยอไปอีกคำหนึ่ง “นายท่านช่างจิตใจดีงาม”
เหยียนฮ่าวยังคงไม่เลิกสงสัย เขาถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจจริง ๆ นะ ว่านั่นหมายถึงสถานที่” ในความคิดเขา สถานที่ซึ่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บรรจบไม่มีอยู่จริง แม้แต่ในตำราเก่าแก่ภายในหุบเขายังไม่เคยกล่าวถึงสถานที่นั้นไว้สักครา
อวี๋เฟยฮวาเงยหน้ามองเหยียนฮ่าวคล้ายคิดไม่ถึงเล็กน้อย นางหัวเราะเสียงดังลั่น กว่าจะควบคุมตนเองได้ ใบหน้าของชายสวมหน้ากากก็เขียวคล้ำไปทั้งแถบแล้ว
“นายท่าน ท่านช่างซื่อบื้อจริง ๆ” อวี๋เฟยฮวาไม่คิดว่าเขาจะฆ่านางเพราะประโยคเดียว ดังนั้นคำพูดอะไรที่อยากจะพูด นางก็พูดออกมาเสียหมด “นายท่าน สิ่งที่ข้าพูดไม่ได้หมายความตามนั้นเสียหน่อย เป็นคำเปรียบเปรยต่างหาก ท่านมองไม่ออกจริง ๆ หรือ”
เหยียนฮ่าวอืออารับคำแต่ในสมองกลับมีความคิดนับหมื่นนับพันวนเวียน เขาไม่ได้สนใจคำพูดลามปามอย่างที่อวี๋เฟยฮวาคิดไว้จริง ในตอนนี้ นอกจากความคิดที่ว่าเขาเข้าใกล้เบาะแสสำคัญแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีในหัวเหยียนฮ่าวอีก
เหยียนฮ่าวปิดเปลือกตาลง ฉับพลันนั้นเขาคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา อาหยาง- ดวงอาทิตย์ อาเยว่- ดวงจันทร์ ชื่อเด็กหญิงชายดาษดื่นพวกนี้พบเห็นได้ทั่วไป ความหมายตามตัวอักษรก็พบเห็นได้ง่ายเช่นกัน เพียงแต่เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทั้งชื่อสื่อความหมายและมีสัญลักษณ์อยู่บนตัว ต่อให้ไม่ใช่อย่างไรก็ต้องคิดว่าใช่ไว้ก่อน
เหยียนฮ่าวกดข่มความตื่นเต้นในอก เขาตะโกนเสียงดัง “อาหลี! เร่งม้า!”
เพียงชั่วจิบชา รถม้าคันใหญ่ก็จอดอยู่ตรงลานกว้างหน้าอารามร้างแล้ว อวี๋เฟยฮวาเดินลงไปก่อน ในที่แห่งนี้นางถือเป็นเจ้าบ้าน แม้เขาจะเป็นผู้มีพระคุณแต่อย่างไรนี่ก็คือที่ของนาง อาหยางและอาเยว่หลบอยู่ข้างมุมประตู อาหยางท่าทีดูพร้อมจะวิ่งหนีตลอดเวลา ส่วนอาเยว่ก็ดูพร้อมจะร้องไห้เช่นกัน เห็นเช่นนี้
อวี๋เฟยฮวาก็ไม่กล้ารอช้าอีก นางวิ่งตรงเข้าไป ร้องเรียกเสียงดัง
“อาหยาง อาเยว่ พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ากลับมาแล้ว” แต่เด็กทั้งสองยังไม่ยอมก้าวเท้าออกมา
อวี๋เฟยฮวาหันมองด้านหลังเล็กน้อย อาหลียืนอยู่ด้านหลังเจ้านาย สีหน้าขึงขังมือไพล่อยู่แถวบั้นเอว ส่วน
เหยียนฮ่าวนั้นแม้จะไม่ได้มีท่าทีคุกคามอันใด แต่ด้วยสายตาเย็นชาที่ทอดมองมา เท่านี้ก็ทำให้เด็กห้าขวบหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับเท้าแล้ว
อวี๋เฟยฮวาผินหน้ากลับมา พูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “อาหยาง อาเยว่ คนผู้นี้ไม่ทำอันตรายพวกเจ้าหรอก จำที่พี่หญิงใหญ่เคยเล่าให้พวกเจ้าฟังได้หรือไม่ คนผู้นี้ก็คือท่านผู้มีพระคุณนั่นอย่างไรเล่า เจ้าเองก็เคยเจอที่งานเทศกาล ลืมไปแล้วหรืออย่างไร”
อาหยางขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย เห็นทีจะมีเรื่องเช่นนั้นอยู่จริง ๆ ในคืนงานเทศกาลเขาก็เห็นพี่หญิงใหญ่คุยกับบุรุษผู้หนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นบรรยากาศรอบข้างไม่ค่อยมีแสงไฟเท่าไหร่นักจึงมองไม่ชัดถนัดตา ทำได้เพียงฟังเสียงจากบทสนทนาระหว่างเขากับพี่หญิงใหญ่
อาหยางก้าวเท้าออกมาจากหลังประตูทีละก้าว จนเมื่อวางใจได้หมดจด เขาถึงได้สับเท้าวิ่งเข้าหาอ้อมกอดอวี๋เฟยฮวา อาเยว่กลัวว่าจะถูกทิ้งอยู่คนเดียวจึงวิ่งตามมาเช่นกัน
เหยียนฮ่าวขยับเท้าเข้าใกล้ ในคืนเทศกาลเขามัวแต่สนใจเด็กหญิงหน้าตาอัปลักษณ์ แม้จะเห็นว่ามีเด็กสองคนยืนแอบมองอยู่ด้านหลังแต่ก็ไม่ได้มองให้ละเอียดมาก มาคราวนี้ฟ้าเปิดโล่งสว่าง แสงส่องผ่านลงบนพื้นดินและใบหญ้า เหยียนฮ่าวมองอาหยางและอาเยว่อย่างพิจารณาครั้งหนึ่ง
เนิ่นนานกว่าเขาจะถอนสายตาออก เหยียนฮ่าวหันไปหาอวี๋เฟยฮวา กล่าวเสียงเบา “ข้าอยากดูสัญลักษณ์นั่น”
อวี๋เฟยฮวาพยักหน้ารับ นางหยิบกระดาษแผ่นเล็กมาจากมือเหยียนฮ่าวก่อนจะยื่นไปตรงหน้าเด็กทั้งสอง พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือความอ่อนโยน “อาหยาง อาเยว่ ท่านอาท่านนี้มาจากที่ห่างไกล เขาเอากระดาษแผ่นนี้มาด้วย ต้องการจะหาคำตอบ ข้าจำได้ว่าเจ้าสองคนมีสัญลักษณ์นี้ติดตัวมา ขอให้ท่านอาดูได้หรือไม่”
อาหยางลังเลอยู่บ้างส่วนอาเยว่ยังคงหวาดระแวง เอาแต่ยืนก้มหน้าก้มตาไม่พูดสักคำเดียว
อาหยางหันมองอวี๋เฟยฮวาครั้งหนึ่งหันมองเหยียนฮ่าวครั้งหนึ่งค่อยพยักหน้ารับ ยื่นแขนมาตรงหน้าทั้งยังถกแขนเสื้อขึ้นสูง อาหยางแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ เด็กชายสายตาไม่ว่อกแว่กทั้งยังไม่เบนหลบสักนิดเดียว
เหยียนฮ่าวใช้เวลาตามหาหยกคู่ชิ้นนี้มานานเท่าไหร่ก็ลืมไปแล้ว ในแต่ละวันเขามักจะหยิบมันออกมาดู ไล่ปลายนิ้วพิจารณาแต่ละส่วนให้ถี่ถ้วน พยายามนึกหาความหมายเบื้องหลัง นานวันเข้าก็จดจำลักษณะเด่นทั้งหมดได้แม่นยำ เพราะฉะนั้นตอนที่อาหยางยื่นมือออกมา เขากวาดมองเพียงครั้งก็แน่แก่ใจแล้วว่ามันคือรูปสลักอันเดียวกัน
ความตื่นเต้นดีใจที่พวยพุ่งกะทันหันทำเอาเหยียนฮ่าวรู้สึกดวงตามืดบอดไปชั่วขณะ เขาหอบหายใจแรงทั้งร่างกายยังซวนเซเล็กน้อย อาหลีเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้ารอช้า รีบขยับกายประชิด มือหนึ่งเตรียมจะจับประคองนายเหนือหัวของตน เพียงแต่เหยียนฮ่าวตั้งตัวได้แล้ว เขาพยักหน้าช้า ๆ เอ่ยเสียงสั่น
“ดี ดีมาก” อวี๋เฟยฮวารู้สึกราวกับคำนั้นเขาต้องการกล่าวกับนางโดยเฉพาะ เหยียนฮ่าวโบกมือครั้งหนึ่ง อาหลีก็วิ่งกลับไปที่รถก่อนกลับมาพร้อมกับตะกร้าบรรจุอาหารที่หอบหิ้วมาจากเหลาขึ้นชื่อนั่นด้วย
“เด็กน้อย คราวนี้เจ้าทำได้ดีมากจริง ๆ”
เหยียนฮ่าวหยิบถุงเงินที่แขวนไว้ข้างเอวยัดใส่มืออวี๋เฟยฮวา จากสิบตำลึงทองกลายเป็นเหรียญตำลึงนับไม่หวาดไม่ไหว อวี๋เฟยฮวาถูกจำนวนและความหนักของมันทำให้บื้อใบ้ไปเสียแล้ว กว่านางจะได้สติกลับคืน สามเด็กน้อยบนรถม้าของเหยียนฮ่าวก็หายลับไปจากลานกว้าง ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันตลบไปทั่วทั้งบริเวณ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?