ตอนที่ 4 สหายรัก

หลังจากที่บิดา มารดาและพี่ชายทั้งสองจากไปได้สักพัก ด้านหน้าประตูเรือนนอนของลู่ฟางหนิงพลันบังเกิดเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้น หลังเสียงนั้นเงียบหายไปไม่นานก็ปรากฏร่างของสตรีผู้หนึ่งในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน

“หนิงหนิง เจ้าฟื้นแล้วหรือ”

ซูเยี่ยนหลิงพรวดพราดเข้ามาอย่างไร้มารยาท เพราะถือว่าตนเองเป็นสหายสนิทของลู่ฟางหนิง สาวใช้ด้านนอกจึงไม่กล้าห้ามปรามนาง ส่วนเสียงดังเอะอะโวยวายนั้น เป็นเพราะสาวใช้ของซูเยี่ยนหลิงบอกให้นางรักษากิริยามารยาท นางจึงหันไปด่าสาวใช้นางนั้นด้วยความไม่พอใจ

ยามที่ซูเยี่ยนหลิงพบว่าสหายรักของตนมีสภาพที่อิดโรยเพราะนอนซมจากพิษไข้ นางก็เผยสีหน้าราวกับเป็นห่วงเป็นใยออกมา หากแต่ลู่ฟางหนิงในยามนี้ไม่สามารถมองสตรีตรงหน้าเป็นสหายรักได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระนั้นนางก็ไม่คิดที่จะแสดงความรู้สึกเกลียดชังที่อัดแน่นอยู่เต็มอกออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้

เพราะนางจะกระทำทุกวิถีทางให้ชีวิตของซูเยี่ยนหลิงย่อยยับเหมือนกับนางในชาติที่แล้ว อีกทั้งนางก็ยังไม่รู้ว่าในยามนี้ซูเยี่ยนหลิงได้ร่วมมือกับโจวหยางเทียนคิดร้ายต่อนางแล้วหรือไม่ นางต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเสียก่อน

“หนิงหนิง เป็นเพราะข้าไม่ดีเองจึงทำให้เจ้าพลัดตกน้ำจนล้มป่วยเช่นนี้” ซูเยี่ยนหลิงนั่งลงพร้อมกับเอื้อมไปกุมมือของลู่ฟางหนิงเอาไว้ หากเป็นเมื่อก่อน ลู่ฟางหนิงคงจะเชื่อสนิทใจว่าซูเยี่ยนหลิงเป็นห่วงนางจากใจจริง แต่เมื่อนางได้มีโอกาสหวนคืนกลับมาในชีวิตที่สอง นางจึงมองออกว่าการกระทำของสตรีตรงหน้านั้นเสแสร้งมากเพียงใด

ลู่ฟางหนิงนึกย้อนไปถึงวันที่นางตกสระน้ำ นางก็ราวกับจะจดจำได้ว่าก่อนที่จะตกลงไปในสระน้ำอันเย็นเฉียบ นางรู้สึกเหมือนมีมือของใครบางคนผลักนาง ในตอนนั้นจำได้ว่าอิ๋นฉายเป็นคนบอกกับนางว่าเห็นซูเยี่ยนหลิงผลักนางตกน้ำ หากแต่ยามนั้นนางไม่เคยนึกแคลงใจอีกฝ่ายจึงไม่ได้เก็บคำพูดของอิ๋นฉายมาใส่ใจเท่าใดนัก และคิดว่าตนเองลื่นล้มจนพลัดตกน้ำไปเอง

แต่เมื่อลองไตร่ตรองให้ดีอีกครั้ง ในตอนนั้นมีเพียงแค่นางกับซูเยี่ยนหลิงเท่านั้นที่อยู่ตรงสระน้ำด้วยกัน หากไม่ใช่ฝีมือของซูเยี่ยนหลิงแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้อีกเล่า

เมื่อคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของซูเยี่ยนหลิง ประกายตาของลู่ฟางหนิงก็เผยความเย็นชาออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะจางหายไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตเห็น

“เรื่องที่ข้าตกน้ำจะเป็นความผิดของเจ้าไปได้อย่างไร หากมิใช่ว่าเจ้าเป็นคนทำให้ข้าตกน้ำ จริงหรือไม่?” ลู่ฟางหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้สหายรักอย่างซูเยี่ยนหลิงเกิดอาการร้อนตัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“หนิงหนิง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนผลักเจ้าตกน้ำได้อย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเจ้าที่ไม่ระวังเอง ข้าแค่ยื่นมือไปช่วยเจ้าไม่ทันก็เท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวหาข้าเช่นนี้ ข้าเป็นสหายที่ดีของเจ้ามาโดยตลอด เจ้ากล่าวเช่นนี้ออกมา ข้าเสียใจมากรู้หรือไม่”

แม้จะแสร้งบีบน้ำตาออกมาเพื่อเรียกความสงสารจากลู่ฟางหนิง ทว่าภายในใจของซูเยี่ยนหลิงกลับเต้นสั่นระรัวไม่หยุด เพราะนางจงใจผลักลู่ฟางหนิงตกน้ำจริงๆ ส่วนสาเหตุนั้นล้วนเกิดจากความอิจฉาริษยาทั้งสิ้น

ที่จริงแล้วซูเยี่ยนหลิงในยามนี้รู้สึกริษยาลู่ฟางหนิงมาโดยตลอดเพราะฝ่ายนั้นมีหน้าตาที่งดงามกว่า มีฝีมือการต่อสู้และการยิงธนูที่เก่งกาจกว่า อีกทั้งยังเก่งศาสตร์ทั้งสี่ที่สตรีพึงมี นับว่าลู่ฟางหนิงเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นทั้งความสามารถและชาติตระกูลในกลุ่มของหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน

ส่วนเหตุผลที่ซูเยี่ยนหลิงเข้ามาตีสนิทกับลู่ฟางหนิงนั้นเป็นเพราะนางอยากทำให้ตนเองดูโดดเด่นบ้าง แต่กาอย่างซูเยี่ยนหลิงก็ยังเป็นกาอยู่วันยังค่ำ ต่อให้ย้อมขนเป็นสีขาวทั้งตัวก็มิอาจกลายเป็นหงส์เทียบเคียงกับลู่ฟางหนิงได้

“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นคนผลักข้าตกน้ำเสียหน่อย ข้าเพียงแค่พูดเปรยๆ ออกมาก็เท่านั้น แล้วเจ้าจะร้อนตัวไปเพื่อเหตุอันใด”

ยิ่งได้เห็นสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนของซูเยี่ยนหลิง ลู่ฟางหนิงจึงมั่นใจว่าสาเหตุที่นางพลัดตกน้ำเป็นฝีมือของซูเยี่ยนหลิงจริงๆ มิเช่นนั้นอีกฝ่ายคงจะไม่ร้อนรนเช่นนี้

ทางด้านของซูเยี่ยนหลิงเมื่อเห็นว่าลู่ฟางหนิงราวกับกำลังจ้องจับผิดตน นางก็รู้สึกเคลือบแคลงใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเวลาที่นางพูดอันใดออกไป ลู่ฟางหนิงมักคล้อยตามนางอยู่เสมอ และไม่เคยโต้แย้งนางแม้เพียงประโยคเดียว แต่เมื่อลู่ฟางหนิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่นอนซมเพราะพิษไข้สามวันสามคืน อีกฝ่ายก็ราวกับว่าจะไม่เชื่อคำโกหกของนางอีกต่อไปแล้ว หรือว่าพิษไข้จะทำให้ลู่ฟางหนิงฉลาดขึ้นมามากกว่าเดิม

และเพราะไม่อยากให้ลู่ฟางหนิงจับคำโกหกของตนได้ ซูเยี่ยนหลิงจึงแสร้งคุยเรื่องอื่นกลบเกลื่อน ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานเทศกาลล่าสัตว์ที่จะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้มากกว่า

แม้ว่า ‘ซูป๋อเหวิน’ บิดาของซูเยี่ยนหลิงจะมีตำแหน่งเป็นเพียงรองเจ้ากรมพิธีการ แต่บิดาของนางก็นับว่าเป็นขุนนางคนหนึ่งในราชสำนัก ดังนั้นครอบครัวสกุลซูจึงได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย

“หนิงหนิง ข้ารู้ว่าเจ้ามีฝีมือการยิงธนูที่เก่งกาจมากกว่าผู้ใด ไปล่าสัตว์ครานี้ข้าอยากได้กระต่ายป่ามาเลี้ยงสักตัว เจ้าจะหามาให้ข้าได้หรือไม่” ซูเยี่ยนหลิงพยายามใช้น้ำเสียงออดอ้อน หวังว่าลู่ฟางหนิงจะยอมทำตามคำขอของนาง ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงนั้น นางได้ไปคุยโอ้อวดกับใครต่อใครว่านางจะล่ากระต่ายป่ามาให้ดู

ลู่ฟางหนิงจดจำได้ว่าในชีวิตก่อนซูเยี่ยนหลิงก็เอ่ยเช่นนี้กับนาง และเมื่อนางหากระต่ายป่ามาได้ นางก็มอบให้อีกฝ่ายทันที ทว่านางกลับมารู้ทีหลังว่าซูเยี่ยนหลิงเอากระต่ายป่าตัวนั้นไปโอ้อวดกับสตรีคนอื่นๆ ว่าเป็นตนเองที่ล่ามาได้ แต่เพราะนางไม่อยากทำร้ายจิตใจของซูเยี่ยนหลิง นางจึงปล่อยเรื่องนี้ไปและให้ซูเยี่ยนหลิงได้โอ้อวดกับสตรีคนอื่นๆ ตามใจชอบ แต่ชาตินี้อย่าหวังเลย นอกจากนางจะไม่ล่ากระต่ายป่ามาให้ นางยังจะทำให้ซูเยี่ยนหลิงรู้สึกอับอายจนต้องมุดแผ่นดินหนีเลย คอยดู!

“ได้สิ เพียงแค่กระต่ายป่าตัวเดียว เหตุใดข้าจะหามาให้เจ้าไม่ได้”

“ขอบใจเจ้ามากนะหนิงหนิง” ซูเยี่ยนหลิงได้ยินดังนั้นก็แย้มรอยยิ้มออกมา ทว่าในใจวางแผนการร้ายไปแล้วร้อยแปดตลบ “เช่นนั้นข้าก็ควรจะต้องรีบไปเก็บของเหมือนกัน แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้นะ”

หลังจากกล่าวคำลาเสร็จสิ้น ซูเยี่ยนหลิงก็เดินทางออกจากจวนสกุลลู่อย่างอารมณ์ดี อย่างไรในงานเทศกาลล่าสัตว์วันพรุ่งนี้ นางจะต้องโดดเด่นกว่าสตรีในวัยเดียวกัน เพราะผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางผู้มีอำนาจและเหล่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่ง บางทีหากนางมีผลงานที่โดดเด่น นางอาจจะเข้าตาบุรุษสักคน โดยเฉพาะรุ่ยอ๋อง บุรุษที่นางเคยพบเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง

เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม อีกทั้งยังมีนิสัยอ่อนโยน เพียงแค่นึกถึงหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หัวใจของซูเยี่ยนหลิงก็เต้นสั่นไหวขึ้นมาจนยากจะควบคุม และในระหว่างทางที่กำลังกลับจวน นางก็พบเข้ากับรุ่ยอ๋องโดยบังเอิญ

ทว่านางหารู้ไม่ ว่าการพบกันในครานี้หาใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่นางคิด เพราะทุกอย่างล้วนถูกรุ่ยอ๋องวางแผนการมาแล้วทั้งสิ้น

“คุณหนูซู พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”

ซูเยี่ยนหลิงได้ยินน้ำเสียงที่สุดแสนจะนุ่มนวลและอ่อนโยนของชายหนุ่มตรงหน้า นางถึงกับสติหลุดลอยไปชั่วขณะ

โพสต์ข้อความ