ตอนที่ 6 ถุงหอมมีปัญหา

เช้าวันรุ่งขึ้น

ครอบครัวสกุลลู่ทั้งสี่ชีวิตกำลังเตรียมตัวเดินทางไปเข้าร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ที่ภายในหนึ่งปีจะจัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่ลู่ฟางหนิงสามารถเข้าร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ได้

ลู่ฮูหยินออกมาส่งสามี บุตรชายและบุตรสาวขึ้นรถม้าที่หน้าประตูจวน ภายในใจของนางยังมีความกังวลมากมายเพราะบุตรสาวเพิ่งหายจากอาการป่วย แม้ในใจของลู่ฮูหยินไม่อยากให้ลู่ฟางหนิงเข้าร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ครั้งนี้ แต่ในเมื่อบุตรสาวขอร้องอ้อนวอนขนาดนั้น นางจะใจจืดใจดำรั้งบุตรสาวไว้ได้อย่างไร ดังนั้นลู่ฮูหยินจึงกำชับให้สามีและบุตรชายทั้งสองคนดูแลลู่ฟางหนิงให้มากเป็นพิเศษ อย่าให้นางได้รับอันตรายใดๆ เด็ดขาด

“ท่านแม่อย่าเป็นกังวลเลย ท่านพ่อ พี่ใหญ่และพี่รองมีฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจขนาดนั้น คงไม่ปล่อยให้ข้าได้รับอันตรายง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”

ลู่ฟางหนิงผละออกจากอ้อมกอดของมารดา พร้อมกับพูดปลอบใจให้นางเลิกกังวลเสียที ทว่าลู่ฮูหยินก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลได้ อย่างไรลู่ฟางหนิงก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง ลู่หนิงเหอเห็นเช่นนั้นก็เข้าไปโอบบ่าภรรยา กล่าวว่า “ฮูหยินไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลหนิงหนิงของพวกเราเป็นอย่างดี”

“พวกเราทั้งสองก็จะดูแลหนิงหนิงไม่ให้คลาดสายตา ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ” ลู่จางหมิ่นกับลู่เหว่ยหรงก็กล่าวเสริมอีกเสียง เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่ฮูหยินจึงยอมให้พวกเขาทั้งสี่คนขึ้นรถม้าเดินทางไปยังเทศกาลล่าสัตว์ โดยที่ลู่ฟางหนิงนั่งรถม้าของจวนสกุลลู่ไป ส่วนบิดากับพี่ชายทั้งสองขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าเพื่อดูแลความปลอดภัยให้นาง

ขบวนเดินทางล่าสัตว์มุ่งหน้าออกจากเมืองหลวง จุดหมายปลายทางคือลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ซึ่งอยู่นอกเมือง ขบวนด้านหน้าที่มีทหารคุ้มกันอย่างหนาแน่นเป็นของฮ่องเต้และฮองเฮา ถัดมาเป็นขบวนขององค์รัชทายาท จากนั้นจึงเป็นของเหล่าสนมชายา ขบวนของเหล่าอ๋องและองค์หญิงองค์ชาย สุดท้ายจึงเป็นขบวนของเหล่าขุนนางและครอบครัว

ปีนี้ขบวนล่าสัตว์ดูคึกคักกว่าทุกปีที่ผ่านมา หาใช่เพราะว่าฮ่องเต้ทรงพระราชทานเงินรางวัลมากเป็นพิเศษแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะยามนี้องค์รัชทายาทถึงวัยเลือกคู่ครองแล้ว ดังนั้นขุนนางหลายคนจึงได้ให้บุตรสาวที่ถึงวัยออกเรือนของพวกตนติดตามมาด้วย หวังว่าบุตรสาวเหล่านั้นจะถูกตาต้องใจองค์รัชทายาทเข้า ภายภาคหน้าพวกนางอาจจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์หงส์ ปกครองหกตำหนักของวังหลัง

ใช้เวลาเดินทางเพียงสองชั่วยามเท่านั้น ขบวนเสด็จของฮ่องเต้และเหล่าขุนนางก็มาถึงลานล่าสัตว์ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองหลวง เมื่อมาถึงฮ่องเต้ก็ยังมิได้เปิดพิธีอย่างเป็นทางการ แต่กลับสั่งให้ทุกคนแยกย้ายไปยังที่พักของตนเอง ตามที่ทางพระราชวังได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ เพื่อได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนที่จะต้องเข้าป่าล่าสัตว์

ที่พักของเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์นั้นจะแยกกันอย่างเป็นสัดส่วนโดยมีเหล่าทหารองครักษ์คอยป้องกันและดูแลความปลอดภัยให้ ส่วนที่พักของลู่ฟางหนิงนั้นเป็นกระโจมขนาดกลาง ด้านในมีเตียงนอนหนึ่งหลังกับโต๊ะอาหารเพียงหนึ่งชุดเท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างจากของเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เป็นเรือนรับรองขนาดใหญ่

หลังจากที่จัดเก็บข้าวของและเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย ลู่ฟางหนิงจึงพบว่าซูเยี่ยนหลิงกำลังเดินเข้ามาหานางในกระโจมที่พัก ถึงแม้ไม่อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ลู่ฟางหนิงจำต้องเก็บกลั้นอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้ และแสร้งทำเป็นดีกับซูเยี่ยนหลิงเหมือนที่อีกฝ่ายเคยทำกับนางเมื่อชาติก่อน

“หนิงหนิง ข้าได้ยินมาว่าการเข้าป่าล่าสัตว์นั้นอันตรายยิ่งนัก เจ้าควรพกถุงหอมถุงนี้ไว้ติดตัวเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายนะ” หลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้ ซูเยี่ยนหลิงจึงยื่นถุงหอมที่ได้รับมาจากโจวหยางเทียนส่งให้กับลู่ฟางหนิงทันที

แม้ในใจไม่อยากมอบให้ แต่ถ้าหากนางพบกับรุ่ยอ๋องเข้าโดยบังเอิญ นางจะอธิบายกับเขาว่าอย่างไรเล่า ดังนั้นจึงได้นำถุงหอมถุงนี้มามอบให้กับลู่ฟางหนิงตามที่เขาเอ่ยบอก

ลู่ฟางหนิงมองถุงหอมสีชมพูตรงหน้า นางก็หวนนึกถึงความทรงจำในชาติก่อนของตนเอง ยามนั้นซูเยี่ยนหลิงก็เคยมอบถุงหอมถุงนี้ให้กับนางเช่นกัน จากนั้นม้าของนางก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

และหลังจากที่พี่ชายทั้งสองของนางได้ตรวจสอบก็พบว่าถุงหอมถุงนี้มีความผิดปกติ ด้านในนั้นมีสมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งทำให้สัตว์ที่สูดดมเข้าไปเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เมื่อสอบถามจากซูเยี่ยนหลิง ฝ่ายนั้นก็บอกว่าไม่รู้อะไร ซูเยี่ยนหลิงบอกเพียงแค่ว่าซื้อถุงหอมถุงนี้มาจากร้านค้าริมทางเท่านั้นและไม่รู้ว่าด้านในมีส่วนผสมของอะไรบ้าง ดังนั้นซูเยี่ยนหลิงจึงรอดตัวไป

ทว่าในชาติก่อน ก่อนที่ลู่ฟางหนิงจะสิ้นใจตาย โจวหยางเทียนเป็นคนสารภาพออกมาเองว่าเป็นฝีมือของเขาที่ทำให้ม้าของนางเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ดังนั้นลู่ฟางหนิงจึงมั่นใจว่าถุงหอมถุงนี้ต้องเป็นโจวหยางเทียนที่ให้ซูเยี่ยนหลิงมามอบให้กับนางอย่างแน่นอน

“รับไว้สิ หนิงหนิง” เมื่อเห็นว่าลู่ฟางหนิงไม่ยอมรับถุงหอมไปจากตนเสียที ซูเยี่ยนหลิงจึงเอ่ยเร่งเร้าสหายอีกครั้ง หากแต่ลู่ฟางหนิงกลับเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าเอาถุงหอมถุงนี้มาจากไหนหรือ?”

ลู่ฟางหนิงเพียงแค่ต้องการหยั่งเชิงซูเยี่ยนหลิงเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน นางคงจะรับถุงหอมถุงนี้มาจากซูเยี่ยนหลิงด้วยความดีใจแล้ว แต่ในเมื่อนางรู้ว่าอีกฝ่ายมิได้ประสงค์ดีกับนาง นางก็ต้องการทดสอบอะไรบางอย่างก่อนที่จะรับมา

“เอ่อ…ข้าซื้อมาจากร้านค้าริมทางน่ะ เห็นเขาบอกว่ามันสามารถช่วยไล่สัตว์ร้ายไม่ให้เข้ามาใกล้ได้” ซูเยี่ยนหลิงจงใจโกหกออกไป เพราะนางไม่อยากให้ลู่ฟางหนิงรู้ว่าถุงหอมถุงนี้เป็นของที่รุ่ยอ๋องมอบให้ อีกอย่างนางอยากให้ลู่ฟางหนิงซาบซึ้งในน้ำใจและคิดว่านางเป็นสหายที่ดีที่สุด

ลู่ฟางหนิงรู้ว่าซูเยี่ยนหลิงกำลังโกหก ดังนั้นนางจึงอยากทดสอบอีกครั้งว่ายามนี้ซูเยี่ยนหลิงได้ร่วมมือกับโจวหยางเทียนแล้วหรือไม่

“หากว่าข้าอยากเปลี่ยนถุงหอมกับเจ้า เจ้าจะว่าอันใดหรือไม่”

“เปลี่ยน? เหตุใดต้องเปลี่ยนด้วย”

ซูเยี่ยนหลิงรู้สึกไม่พอใจ เพราะถุงหอมของนางเป็นสีฟ้าซึ่งเป็นสีที่นางโปรดปรานมาก ส่วนถุงหอมของลู่ฟางหนิงเป็นสีชมพูและเป็นสีโปรดของลู่ฟางหนิงเหมือนกัน

“ข้าแค่รู้สึกว่าถุงหอมถุงนี้กลิ่นมันหอมฉุนเกินไป เลยอยากขอเปลี่ยนเป็นอันที่กลิ่นไม่แรงก็เท่านั้น”

“ไม่หรอกมั้ง ถุงหอมก็คงจะเหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ”

ซูเยี่ยนหลิงปฏิเสธ เพราะนางชอบถุงหอมสีฟ้ามากกว่า แต่กระนั้นก็ยังยกถุงหอมสีชมพูขึ้นมาดมเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ลู่ฟางหนิงเอ่ยมาเป็นความจริงหรือไม่

ลู่ฟางหนิงเห็นว่าซูเยี่ยนหลิงปฏิเสธคำขอ นางก็เกือบจะมั่นใจแล้วว่าในยามนี้ซูเยี่ยนหลิงได้ร่วมมือกับโจวหยางเทียนแล้ว ทว่าในชั่วอึดใจต่อมา ซูเยี่ยนหลิงกลับยื่นถุงหอมสีฟ้าของตนเองให้กับนาง ก่อนจะกล่าวว่า “จริงด้วย ถุงหอมสีชมพูมีกลิ่นหอมมากกว่า เช่นนั้นข้าเอาถุงนี้ ส่วนถุงนั้นมอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

ลู่ฟางหนิงรับถุงหอมสีฟ้ามา ก่อนจะมองดูซูเยี่ยนหลิงที่กำลังคล้องถุงหอมสีชมพูไว้ข้างเอวของตน หากซูเยี่ยนหลิงยอมแลกถุงหอมกับนาง เช่นนั้นก็หมายความว่าซูเยี่ยนหลิงไม่รู้ว่าถุงหอมถุงนั้นมีปัญหา

หรือว่าซูเยี่ยนหลิงในยามนี้ยังไม่ได้ร่วมมือกับโจวหยางเทียน บางทีซูเยี่ยนหลิงก็อาจจะเป็นหมากที่โจวหยางเทียนหลอกใช้เช่นเดียวกันกับนาง เพียงแต่เมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ เขากลับเขี่ยนางทิ้งแล้วเลือกซูเยี่ยนหลิงแทน

โพสต์ข้อความ